ฉิงเฟิงรู้สึกไม่ค่อยพอใจแน่นอนว่าเขาย่อมไม่ยอมทำตามคำสั่งของผู้หญิงที่จะให้เขาลงจากรถ เขากลัวว่าผู้หญิงคนนี้จะยึดรถถ้าเขายอมลงมา
เขาไม่มีเวลาที่จะมาต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิงคนนี้เพราะเขาต้องรีบกลับไปรับจางหยุนเหอจากนั้นก็กลับเมืองตงไห่
กล่าวรวบรัดเขากำลังรีบเท่านั้นเอง
คนสวยถือว่าเมตตาผมสักครั้งก็แล้วกัน ปล่อยผมไปเถอะ ฉิงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
ไม่ได้ลงมาจากรถซะ เดี๋ยวนี้ด้วย ซูปิงปิงกล่าวย้ำอีกครั้ง
ที่รักผู้หญิงคนนี้เหมือนซูเมิ่งเหยาราวกับพิมพ์เดียวกันเลย หลินเสวี่ยกล่าวขึ้นทันที เธอเคยพบกับซูเมิ่งเหยามาก่อนและเห็นว่าผู้หญฺงคนนี้เหมือนตำรวจสาวซูเมิ่งเหยามาก
ฉิงเฟิงพยักหน้าเขาก็เห็นเช่นเดียวกับหลินเสวี่ย ทั้งสองคนนี้ใบหน้าคล้ายกันมากรวมไปถึงบุคลิก
คนสวยคุณรู้จักผู้หญิงที่ชื่อซูเมิ่งเหยาหรือเปล่า ฉิงเฟิงถามด้วยรอยยิ้ม
หือ
ซูเมิ่งเหยา
ซูปิงปิงขมวดคิ้ว เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของชั้นเอง พูดสั้นๆก็พี่สาวนั่นแหละ
โอ้ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจัง ! ซูเมิ่งเหยาเป็นเพื่อนของผมและคุณเป็นน้องสาวของเขา งั้นพวกเราก็เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ปล่อยผมไปเถอะ ฉิงเฟิงพยายามหว่านล้อมเธอ
ความบังเอิญบนโลกนี้ช่างน่าอัศจรรย์ฉิงเฟิงไม่ได้คาดคิดว่าจะได้พบกับลูกพี่ลูกน้องของซูเมิ่งเหยาในเมืองเทียนจิง
คุณรู้จักลูกพี่ลูกน้องของชั้นจริงๆเหรอ ซูปิงปิงถามด้วยความสงสัย
มันฟังดูน่าสงสัยเพราะซูเมิ่งเหยาทำงานในสถานีตำรวจในเมืองตงไห่แต่ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในเมืองเทียนจิง ทั้งสองเมืองนี้อยู่ค่อนข้างห่างกัน
ถูกต้องพวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันมาก ฉิงเฟิงยิ้มและกล่าวยืนยัน เขาหวังว่าซูปิงปิงจะเห็นแก่ซูเมิ่งเหยาและปล่อยเขาไป
ซูปิงปิงไม่เชื่อเขาง่ายๆดังนั้นเธอจึงโทรหาซูเมิ่งเหยาเพื่อเป็นการยืนยัน หลังจากได้คุยกับซูเมิ่งเหยาจึงรู้ว่าฉิงเฟิงพูดความจริง
แต่ซูปิงปิงก็ยังไม่ยอมปล่อยฉิงเฟิงไปอยู่ดีเธอกล่าวว่า หลี่ฉิงเฟิง ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นเพื่อนของพี่สาวชั้น แต่คุณก็ทำผิดกฎจราจรในระหว่างขับรถ ดังนั้นคุณต้องลงจากรถและให้ชั้นตรวจสอบ ซูปิงปิงเงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างชอบธรรม
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉิงเฟิงก็กลอกตาและคิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนปัญญาอ่อนหรือเปล่า ขอกันตรงๆกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังไม่ยอม
แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมลงจากรถและปล่อยให้เธอตรวจค้นถ้าหากพวกเขายอม ไม่เพียงแค่เสียเวลา แต่พวกเขาจะถูกกล้องจับภาพไว้
เมื่อเส้นสายของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซูเมิ่งเหยาไร้ประโยชน์ฉิงเฟิงจึงต้องหาทางแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่น
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรหาถังเจียงเฮอทันทีเขาเป็นหัวหน้าตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนจิง เขาน่าจะมีวิธีช่วยฉิงเฟิงให้พ้นจากสถานการณ์นี้
ฉิงเฟิงอธิบายสถานการณ์ให้ถังเจียงเฮอฟังเขาบอกว่าจะจัดการเรื่องเล็กน้อยนี้ให้ทันที
ถังเจียงเฮอมีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่มีประโยชน์มากมายในเมืองเทียนจิงเขาโทรหาเพื่อนของเขาคนหนึ่งให้บอกซูปิงปิงเพื่อปล่อยฉิงเฟิงไป หลังจากรับสายซูปิงปิงจ้องมองไปที่ฉิงเฟิงและจากไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ตอนนี้ฉิงเฟิงเข้าใจความสำคัญของคอนเนคชั่นแล้วเขารู้สึกยินดีไม่น้อยที่ตัดสินใจไว้ชีวิตถังเจียงเฮอและรับเขาเป็นข้ารับใช้ มิฉะนั้นเขาคงต้องเถียงกับซูปิงปิงไปอีกนาน
จากนั้นพวกเขาก็ขับรถไปที่โรงแรมและรับจางหยุนเหอก่อนขับรถออกจากเมืองเทียนจิง
ปัญหาที่เกิดขึ้นในเมืองเทียนจิงคลี่คลายลงแต่ฉิงเฟิงก็ยังกังวลอยู่ ไม่เพียงแค่ศาลากระบี่ แต่ยังรวมไปถึงกองกำลังที่ไม่ทราบตัวตน
ไม่นานหลังจากฉิงเฟิงออกจากเมืองเทียนจิงเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากฉินเซียนจื่อ เธอบอกเขาว่าอาวุโสฉินถูกสังหารระหว่างทางที่มาช่วยฉิงเฟิง เขาถูกสังหารในพื้นที่ของตำหนักโห่วเย่อหวงตี้ด้วยซ้ำ
ผู้อาวุโสฉินประทับใจในตัวฉิงเฟิงเขามอบเตาปรุงยาโบราณให้ฉิงเฟิงในการชุมนุมชาวยุทธ์เมื่อหลายวันก่อน แต่ตอนนี้เขาตายแล้วหลังจากพยายามออกมาช่วยฉิงเฟิง
ฉินเซียนจื่อกล่าวกับฉิงเฟิงต่อไปว่าที่ศพของอาวุโสฉินมีบาดแผลฉกรรจ์สีดำที่ดูแปลกประหลาดที่มีกลิ่นอายของอาวุธจิตวิญญาณนอกรีต
อุปกรณ์จิตวิญญาณนอกรีต
!
ฉิงเฟิงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยกับคำอธิบายของฉินเซียนจื่อผู้ฝึกยุทธ์โบราณแบ่งออกได้เป็นสองเส้นทาง สายดั้งเดิม(ธรรมะ)และสายนอกรีต(อธรรม) อุปกรณ์วิญญาณก็แบ่งเป็นสองฝ่ายเช่นกัน ซึ่งอุปกรณ์วิญญาณดั้งเดิมจะมีออร่าและกลิ่นอายเป็นแสงสว่าง ในขณะที่อุปกรณ์วิญญาณนอกรีตจะหอบหุ้มไปด้วยความมืดมิดและหนาวเหน็บ
ฉิงเฟิงพบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นซับซ้อนกว่าที่เห็นในฉากหน้าเขารู้ว่าคนที่ลงมือสังหารอาวุโสฉินด้วยอาวุธวิญญาณนอกรีตย่อมเป็นศัตรูของเขาและแข็งแกร่งมาก
ในตอนนี้ศัตรูของเขาไม่เพียงแค่เป็นคนจากศาลากระบี่เท่านั้นแต่ยังมีศัตรูที่แฝงตัวอยู่ในความมืดอีกด้วย
…………………….
สี่ชั่วโมงต่อมา
ฉิงเฟิงขับรถกลับมาถึงเมืองตงไห่เขาไปส่งจางหยุนเหอและหลินเสวี่ยที่บ้านของพวกเขาตามลำดับก่อนที่จะไปหาทีมเขี้ยวหมาป่า
เขาขอให้จางเทียนซี่จัดหาบ้านพักให้กับสมาชิกในทีมเพื่อให้พวกเขามีสถานที่ฝึกฝน
อ้าวบอส ! มาแล้วเหรอครับ ลู่ซวนจี๋กล่าวอย่างตื่นเต้น เขาเป็นคนแรกที่เห็นฉิงเฟิงและกล่าวทักทายทันที
เจ้าโล้นและเทพมรณได้ยินเช่นนั้นก็มองไปที่ฉิงเฟิงด้วยความตื่นเต้นดีใจเช่นกันพวกเขาคิดถึงบอสของพวกเขามากหลังจากที่ไม่ได้เจอมานาน
เป็นไงมั่งละพวกนายฝึกถึงระดับไหนแล้ว ฉิงเฟิงถามด้วยรอยยิ้ม ทีมเขี้ยวหมาป่าคือขุมกำลังลับและไม้ตายสุดท้ายของเขา
บอสครับพวกเราทั้งสามคนฝึกจนถึงขั้นสูงสุดใต้สวรรค์แล้วครับ ลู่ซวนจี๋กล่าวอย่างมีความสุข
ต้องยอมรับว่าสมาชิกทีมเขี้ยวหมาป่าล้วนแต่มีความสามารถและศักยภาพสูงมากพวกเขาเป็นผู้ร่วมพิชิตทวีปหมาป่าพร้อมกับฉิงเฟิง และตอนนี้เมื่อก้าวเข้าสู่โลกแห่งการฝึกวิทยายุทธโบราณ พวกเขาก็มีความก้าวหน้าอย่างน่าทึ่ง
ฉิงเฟิงรู้สึกยินดีมากพรรคพวกของเขาไม่ได้ทำให้ผิดหวัง ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของพวกเขาคือประจักษ์พยานถึงความสามารถที่สูงล้ำและความเข้าใจอันยอดเยี่ยม
เอ้ารับนี่ไป มันคือโอสถเหนือสวรรค์ มันจะช่วยให้พวกนายตัดผ่านไปถึงขั้นเหนือสวรรค์ได้โดยตรง ฉิงเฟิงมอบยาให้กับพวกเขา
บะ..บอสคุณสุดยอดเลย ! คุณมียาเหนือสวรรค์ด้วย ! ลู่ซวนจี๋กล่าวด้วยความตื่นเต้น
คนอื่นๆต่างก็มองเขาด้วยความยำเกรงฉิงเฟิงช่างสมเป็นบอสของพวกเขาจริงๆ เขาสามารถหายาเหนือสวรรค์มามอบให้พวกเขาได้
เนื่องจากพวกเขาได้ฝึกวิทยายุทธโบราณทำให้พวกเขาได้มีความรู้เกี่ยวกับยุทธภพมากขึ้นโอสถประเภทนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง มีเพียงกองกำลังชั้นหนึ่งและกองกำลังชั้นยอดเท่านั้นที่มี พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าบอสของพวกเขาจะมีมันในครอบครอง
ฉิงเฟิงไม่ตอบคำเขาเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย ถ้าหากสมาชิกในทีมเขี้ยวหมาป่ารู้ว่าเขาสามารถสกัดกลั่นยาพวกนี้เองได้คงตกตะลึงจนหงายท้อง