มือสีดำขนาดมหึมาลอยขึ้นเหนือหัวฉิงเฟิงและคนอื่นๆด้วยพลังมารราวกับว่ามันจะทุบพวกเขาให้บี้แบนในเวลาต่อมา
มือนี้ทรงพลังเกินไปจนแม้แต่ชั้นบรรยากาศก็ไม่อาจทานทนนับประสาอะไรกับมนุษย์ ยามที่มันกระทบร่างมนุษย์คงต้องแบนราบเป็นแพนเค้ก
ฉินเซียนจื่อเงยหน้าขึ้นมองมือสีดำขนาดใหญ่ด้วยความตกใจขอบคุณพระเจ้าที่ฉิงเฟิงรีบพาเธอลงมาจากยอดเขา มิฉะนั้นเธอคงจะตายไปนานแล้ว
แม้ว่าฉินเซียนจื่อจะแข็งแกร่งแต่เธอก็เทียบไม่ได้กับมือยักษ์สีดำข้างนี้แม้แต่น้อย
ร่องรอยที่ซับซ้อนปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันงดงามของฉินเซียนจื่อเธอวางมือลงบนท้องของเธอ ที่ซึ่งมีพลังงานมหาศาลกักเก็บไว้ … เธอจะไม่มีวันใช้พลังนี้จนกว่าจะจำเป็นจริงๆ ในขณะที่เธอกำลังตัดสินใจว่าจะใช้พลังนี้ดีหรือไม่ฉิงเฟิงก็พูดขัดจังหวะการตัดสินใจของเธอ
คุณวิ่งช้าเกินไปแล้วมา ผมจะช่วยคุณเอง ฉิงเฟิงกล่าวพร้อมกับช้อนตัวเธอขึ้นมาและวิ่งหนีต่อทันที
อ๊ะ! …
ฉินเซียนจื่อร่ำร้องเสียงเล็กแหลมออกมาใบหน้าของเธอแดงก่ำราวกับดอกกุหลาบที่เบ่งบาน เธอเขินอายสุดขีด
ไม่ว่าจะอย่างไรฉินเซียนจื่อก็เป็นถึงบุตรสาวคนแรกแห่งตำหนักโห่วเย่อหวงตี้ผู้ทรงอำนาจ เรือนร่างอันบริสุทธิ์ของเธอไม่เคยแตะต้องชายใด นี่เป็นครั้งแรก
เมื่อมองใบหน้าของฉิงเฟิงฉินเซียนจื่อก็รู้สึกเขินอาย หัวใจของเธอเต้นระรัวและปิดตาแน่น เธอไม่กล้าลืมตาขึ้น
ฉิงเฟิงที่ได้มีโอกาสมองวงหน้าของเธอในระยะใกล้ๆก็พบว่าเธอนั้นช่างสวยเหลือเกินใบหน้าของเธอละเอียดอ่อน ผิวของเธอขาวและนุ่มนวลไร้ที่ติ เรียวขาของเธอยาวเหยียดตรง เรือนร่างของเธอสมบูรณ์แบบและงามสง่าเหมือนนางเงือก
ถ้าหากเขาไม่ได้วุ่นวายกับการหลบหนีฉิงเฟิงก็อยากจะผลักเธอลงกับพื้นและกระทำชำเราเธอเดี๋ยวนี้ อย่างไรก็ตาม เขากลัวเกินกว่าที่จะทำตามสัญชาตญาณดิบเถื่อนของเขา เพราะเธอเป็นถึงลูกสาวคนโตของจ้าวตำหนักโห่วเย่อหวงตี้ผู้ทรงอำนาจ
ฉิงเฟิงอุ้มฉินเซียนจื่อและวิ่งดั่งสายลมมาถึงเชิงเขาทันทีจากนั้นผู้อาวุโสและคนของนิกายแวมไพร์ก็ตามมาติดๆ
เมื่อรับรู้ว่าพวกเขาหนีไปได้มือสีดำนั้นก็กระแทกลงพื้นอย่างโหดเหี้ยม การโจมตีครั้งนี้มีพลังมหาศาล อากาศระเบิดออกและก่อให้เกิดหลุมดำขนาดใหญ่ ถ้าหากมันกระทบร่างกายของฉิงเฟิง เขาคงดับสิ้นในทันที
ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้จู่ๆฮวาเซียนจือก็ขว้างกระจกออกมา กระจกนี้มีขนาดเท่ากับฝ่ามือและมีสีขาวอย่างสมบูรณ์ มันแกะสลักไว้ด้วยรูปดอกบัวสีขาว
กระจกดอกบัวนี้บินไปกลางอากาศและขยายตัวออกเป็นกระจกยาวนับสิบเมตรทันทีบนนั้น, ดอกบัวสีขาวก็ปรากฏขึ้นและมีความยาวประมาณสิบเมตร มันเปล่งแสงสีขาวแพรวพราวออกมาซึ่งต้านทานมือสีดำขนาดใหญ่นั้นในทันที
อุปกรณ์วิญญาณระดับสวรรค์‘บัวกระจกเงา’ แม่สาวน้อย เจ้าเป็นคนของตำหนักร้อยบุปผา มารผู้ฝึกตนถามขึ้นในทันที
ถูกต้องท่านรู้มากมายไม่น้อยทีเดียว ฮวาเซียนจือกล่าวด้วยรอยยิ้มที่งดงาม
อะไรนะ
ฮวาเซียนจือมีอุปกรณ์วิญญาณระดับสวรรค์
เมื่อได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสองฉิงเฟิงและคนอื่นๆต่างก็ตกตะลึง ในที่สุดฉิงเฟิงก็เข้าใจแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้สัมผัสของเขาแจ้งเตือนให้ระวังฮวาเซียนจือปรากฏว่าเธอเป็นผู้ครอบครอง ‘บัวกระจกเงา’ อุปกรณ์วิญญาณระดับสวรรค์นั่นเอง
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฮวาเซียนจือมาเกาะทมิฬโดยไร้วี่แววของอาการหวั่นวิตกต่อภยันตรายด้วยอุปกรณ์วิญญาณระดับสวรรค์ในมือของเธอ ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์คนใดในที่นี้ที่เป็นคู่ต่อสู้ของเธอได้ แม้แต่ผู้ฝึกตนทั่วๆไปก็ยังทำอะไรเธอไม่ได้
เธอต้องมีโชคและวาสนาอย่างยิ่งถึงจะได้รับบัวกระจกเงาของผู้ฝึกตนชิ้นนี้มาครอบครองฉิงเฟิงคิดในใจด้วยความตกใจ
อย่างไรก็ตามรู้สึกโล่งใจเมื่อคิดถึงเกี่ยวกับกระบี่เพลิงคะนองของเขา ยามที่เขาปลดผนึกทั้งสามชั้นออกได้ กระบี่เล่มนี้จะกลายเป็นกระบี่วิญญาณระดับสวรรค์อันทรงอำนาจ อีกทั้งกระบี่เล่มนี้มีวิญญาณของจักรพรรดิราตรีสถิตอยู่ ดังนั้นเมื่อวันนึงที่เขาต้องสู้กับฮวาเซียนจือ เขาย่อมแข็งแกร่งกว่าเธอ
หลังจากมันถูกบัวกระจกเงาปิดกั้นการโจมตีมือสีดำนั้นก็ล่าถอยไป เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่คู่ต่อสู้กับอุปกรณ์วิญญาณระดับสวรรค์โดยตรง แม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่มันก็ยังต้องถอนพลังกลับไปที่ยอดเขา
หลี่ฉิงเฟิงข้าช่วยชีวิตท่านไว้ ท่านเป็นหนี้ข้าแล้วนะ ฮวาเซียนจือเหลียวมองและกล่าวกับฉิงเฟิง
เธอเฝ้ามองเหตุการณ์จากด้านล่างของภูเขาเธอไม่ได้ขึ้นไปบนยอดเขาเพราะเธอรู้ว่ามันอันตรายมาก
สำหรับช่วงเวลาเมื่อครู่ที่เธอลงมือช่วยเธอต้องการช่วยฉิงเฟิงและฉินเซียนจื่อ แต่เธอกลับช่วยชีวิตคนอื่นๆอย่างไม่ตั้งใจเพราะพวกเขาอยู่ในรัศมีการคุ้มครองของบัวกระจกเงาพอดี
ใช่ผมเป็นหนี้คุณ ขอบคุณมาก ฉิงเฟิงกล่าวพร้อมกับพยักหน้า โดยไม่รู้ว่าเธอเจตนาหรือไม่แต่เธอก็ช่วยชีวิตเขาไว้ในยามคับขันจริงๆ ดังนั้นฉิงเฟิงเป็นหนี้บุญคุณเธอครั้งใหญ่
มารผู้ฝึกตนตกอยู่ในความขัดแย้งเขายืนอยู่บนยอดเขาพร้อมกับวิญญาณสองดวงในร่างที่กำลังต่อสู้กันในสมองของเขา
เจ้าฉลามคลั่งยอมให้ข้ากลืนวิญญาณของเจ้าซะ มันเป็นหนทางเดียวของพวกเราในการปลดพันธนาการ มารผู้ฝึกตนพูดขึ้นในสมองของเขา
อย่าแม้แต่จะคิด! เจ้ามารร้ายผู้บ่มเพาะพลัง เจ้าไม่มีทางกลืนกินวิญญาณหรือแม้แต่ครอบครองกายหยาบของข้าได้หรอก ไม่มีวัน !! ราชาอสูรฉลามคลั่งตะโกนออกมาในใจของเขา
ร่างกายของเขาอยู่บนยอดเขาส่วนข้อเท้าของเขาถูกล็อคไว้ด้วยโซ่เหล็กหนาก่อนหน้านี้ผู้ฝึกตนลึกลับคนนั้นได้ล่ามเขาไว้ด้วยโซ่เหล็กนี้ บางครั้งบางคราว ลึกลงในจิตใจของเขา วิญญาณทั้งสองก็จะสู้กันเองเพื่อชิงสิทธิ์ครองร่าง มารผู้ฝึกตนต่อสู้เพื่อกลืนกินวิญญาณของเขาและครอบครองกายหยาบนี้ ส่วนตัวเขาต่อสู้เพื่อขัดขืนเจตจำนงค์ของมัน
ทันใดนั้นเองวิญญาณของราชาอสูรฉลามคลั่งก็กลับมาควบคุมร่างกายของตัวเองชั่วคราว
ชึ่บ!
ราชาอสูรฉลามคลั่งดึงอาวุธวิญญาณจากบนยอดเขาและโยนมันไปให้ฉิงเฟิงเขาจำเป็นต้องใช้โอกาสอันน้อยนิดนี้เพื่อสร้างข้อได้เปรียบให้นายน้อยของเขา
อุปกรณ์วิญญาณระดับสวรรค์เจาะผ่านท้องฟ้ามาถึงข้างๆฉิงเฟิงราวกับสายฟ้าฟาดที่ผ่าลงข้างๆเขา
อุปกรณ์วิญญาณระดับสวรรค์ชิ้นนี้เป็นดาบยาวมันมีสีเขียวซึ่งก็เป็นไปตามชื่อของมัน ‘ดาบไผ่เขียว’ พลังของดาบเล่มนี้หลังจากหลุดออกจากแท่นก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงนับสิบเมตร มันคืออาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ ! นายน้อยขอรับลาก่อน นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าน้อยจะทำให้ท่านได้ !
ราชาอสูรฉลามคลั่งมองไปที่ฉิงเฟิงพร้อมกับตะโกนออกมาจากบนยอดเขาในขณะที่ร่างของเขาค่อยๆจมลงสู่ใต้ผืนดิน
ครึกครึก ครึก !
ด้วยน้ำเสียงที่ดุร้ายของมารผู้ฝึกตนที่ออกมาควบคุมร่างอีกครั้งมารผู้ฝึกตนค่อยๆจมลงเรื่อยๆ มันถูกฉุดกระชากลงสู่ใต้ภูเขาด้วยพลังของโซ่เหล็กที่ล่ามขาและถูกผนึกเอาไว้อีกครั้ง
ทั้งยอดเขาแผ่กระจายไอมารออกไปทั่วในขณะที่มันพยายามดิ้นรนขัดขืนภายในร่างกายของเขา อย่างไรก็ตาม มันยังคงล้มเหลวในการต้านทานผนึกที่ผู้ฝึกตนลึกลับเหลือทิ้งไว้ในอดีตและถูกขังอยู่ใต้ภูเขา
เมื่อได้เห็นสิ่งนี้ฉิงเฟิงก็ตื่นตระหนกอย่างมาก เขารีบส่งกระแสจิตถามจักรพรรดิราตรีทันทีว่า ผู้อาวุโส ผมจะช่วยฉลามคลั่งได้อย่างไร เขาถามจักรพรรดิราตรีเพราะรู้ว่าชายชราคนนี้เป็นคนเดียวที่สามารถช่วยเขาได้เขาให้ความสำคัญกับราชาอสูรฉลามคลั่งเป็นอย่างมากเพราะชายคนนี้เป็นผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของพ่อเขา
เจ้าหนูจะช่วยเจ้าฉลามคลั่งมันก็ไม่ได้ยากอะไรหรอก แค่เจ้าต้องบรรลุถึงขอบเขตระดับจักรพรรดิสวรรค์ มิเช่นนั้น เจ้าไม่มีทางทำลายผนึกนั้นได้
ผู้อาวุโสแม้แต่ท่านก็ช่วยเขาไม่ได้หรือ
ถ้ากายหยาบของข้าไม่ได้ถูกทำลายข้าก็ช่วยมันได้ แต่กายหยาบของข้าสลายสิ้นไปหมดแล้ว ข้าไม่มีพลังมากพอที่จะทำลายผนึกนั่น จักรพรรดิราตรีกล่าวเบาๆด้วยน้ำเสียงที่จนใจ
เขามีเหตุผลที่รู้สึกจนใจและจนปัญญาต่อคำขอเล็กจ้อยของฉิงเฟิงเนื่องจากเขาเป็นมนุษย์คนแรกที่เข้าสู่โลกของผู้ฝึกตนตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อน ครั้งหนึ่งเขาเคยปกครองทั่วทั้งยุทธภพ แต่ตอนนี้เขามีสภาพเป็นแค่ร่างวิญญาณ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะรู้สึกหดหู่และจนปัญญาต่อพลังที่มีจำกัดในตอนนี้