หัวหน้าทีมของทีมสิงคโปร์เห็นอาการลังเลของหลี่เทียนหมิงจึงกล่าวขึ้นว่า หลี่เทียนหมิง เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งในภูมิภาคของเรา เจ้าต้องสู้กับมัน
การแสดงออกของหลี่เทียนหมิงเปลี่ยนไปเขาเพิ่งตัดสินใจยอมแพ้ แต่หัวหน้าทีมของเขากลับร่ำร้องบอกให้เขาต่อสู้กับหลี่ฉิงเฟิง
แต่เห็นได้ชัดว่าหลี่เทียนหมิงไม่เต็มใจที่จะสู้เช่นเดียวกับทุกคนที่เป็นประจักษ์พยานในหุบเขาอัสนีเพลิงนรก เขาได้เห็นพลังที่ราวกับปีศาจของฉิงเฟิงไปแล้ว
ข้าขอยอมแพ้ หลี่เทียนหมิงปฏิเสธที่จะเชื่อฟังหัวหน้าทีมของเขา
ผู้คนทั่วทั้งสี่ทิศตกอยู่ในความเงียบจากคำพูดของเขาทุกคนต่างตกตะลึง
เกิดอะไรขึ้น มีผู้เข้าแข่งขันสามรายที่ประกาศยอมแพ้ ? นั่นสิหลี่ฉิงเฟิงน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ
เขาเป็นเพียงชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆแท้ๆเขาแข็งแกร่งขนาดไหน
ผู้คนรอบๆต่างก็หันไปพูดคุยกัน
เป็นที่เข้าใจและพอยอมรับได้สำหรับการที่มีหนึ่งหรือสองคนประกาศยอมแพ้แต่สามคนนั้นทำให้เรื่องราวค่อนข้างแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
บางคนเย้ยหยันหลี่เทียนหมิงว่าเป็นคนขี้ขลาดแต่เขาก็ไม่สนใจเพราะเขารักชีวิตของตนเองมากกว่าเกียรติยศที่กินไม่ได้
เมื่อหลี่เทียนหมิงลงจากเวทีหัวหน้าทีมของเขาก็ถามว่า ข้าบอกให้เจ้าต่อสู้กับหลี่ฉิงเฟิงไม่ใช่หรือไง ทำไมเจ้าถึงยอมแพ้ !?
เพราะข้าไม่ใช่คู่มือเขา
เจ้ายังไม่ทันเริ่มสู้เลยรุ้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน
หัวหน้าหากข้าเริ่มสู้กับมัน ข้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย หากท่านคาใจก็ไปสู้กับมันได้เลย แต่ข้าไม่สู้กับมันแน่ หลี่เทียนหมิงกล่าวอย่างจริงจัง
เขาคิดว่าหัวหน้าทีมของเขาช่างโง่งมนักเพียงแค่เห็นยอดฝีมือสองคนก่อนหน้านี้ประกาศยอมแพ้ เขาก็น่าจะตระหนักได้แล้วว่าหลี่ฉิงเฟิงแข็งแกร่งแค่ไหน
หัวหน้าทีมของหลี่เทียนหมิงหงุดหงิดมากแต่เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
คู่แข่งคนที่สี่ยอมแพ้
คู่แข่งคนที่ห้ายอมแพ้
คู่แข่งคนที่หกยอมแพ้
…
เมื่อคู่แข่งคนที่สามสิบประกาศยอมรับความพ่ายแพ้กรรมการจากเกาะแปซิฟิกก็รู้สึกหงุดหงิด ผู้เข้าแข่งขันเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งในแต่ละประเทศ แต่ตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาจะกลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาวและยอมรับความพ่ายแพ้ต่อหลี่ฉิงเฟิงอย่างไม่อาย
กรรมการและตัวแทนของแต่ละประเทศต่างก็รู้สึกงงงวยในขณะที่ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ในหุบเขาต่างรู้สำนึกดีว่า ผลลัพธ์เดียวสำหรับการต่อสู้กับหลี่ฉิงเฟิงก็คือความตาย
ในท้ายที่สุดผู้เข้าแข่งขันทุกคนก็ยอมแพ้
ผู้ตัดสินรู้สึกโมโหมากแต่เขาต้องก็ทำตามกฎ เขาประกาศออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก หลี่ฉิงเฟิงจากทีมหัวเซี่ยเป็นผู้ชนะการแข่งขันในรอบที่สอง
หลังจากฉิงเฟิงเดินลงจากเวทีผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆก็จับสลากแข่งขันกันต่อ พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่านเพื่อชิงอันดับที่ 2 และ 3
สุดท้ายแล้วผู้ชนะก็คือฮวาเซียนจือและฉินเซียนจื่อทั้งสองคนนี้ต่างก็แข็งแกร่งมาก ฮวาเซียนจือสามารถทำให้คู่ต่อสู้หมดสภาพได้ในฝ่ามือเดียวเท่านั้น
ส่วนฉินเซียนจื่อก็แข็งแกร่งขึ้นมากตั้งแต่ที่เธอบ่มเพาะเคล็ดวิชาดัชนีจักรพรรดิเพลิงที่สามารถปลดปล่อยคลื่นพลังขนาดใหญ่ออกมาจนคู่ต่อสู้ไม่อาจทนรับไหว
รอบที่สองจึงจบลงด้วยการที่หลี่ฉิงเฟิงได้อันดับ1 ฮวาเซียนจือและฉินเซียนจื่อได้ 2 และ 3 ตามลำดับ
ตามกฎแล้วทั้งสามคนนี้จะต้องสู้กันเองแต่เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดเป็นทีมเดียวกัน ดังนั้นการต่อสู้ก็ไม่จำเป็น
ในการแข่งขันครั้งนี้มีทั้งหมดสามรอบรอบแรกคือรอบคัดออก การแข่งขันรอบที่สองคือการแข่งขันแบบขั้นบันได และรอบที่สามคือรอบที่สำคัญที่สุด มันเป็นการแข่งขันทีมต่อทีม
เนื่องจากทีมหัวเซี่ยได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันทั้งสองรอบและทีมเกาะแปซิฟิกเป็นประเทศเจ้าภาพในการแข่งขันครั้งนี้ ทั้งสองทีมจึงมีคุณสมบัติพอที่จะต้องปะทะกันในรอบที่สาม โดยที่แต่ละทีมจะมีสมาชิกสิบคน
อีกด้านหนึ่งผู้อาวุโสสาม,อิซุ โอโนะกำลังคุยกับหัวหน้าทีมบูชิโดและทีมคาราเต้
ซากุระเจ้าเป็นหัวหน้าทีมบูชิโดดังนั้นเจ้าจะต้องเป็นตัวแทนของเกาะแปซิฟิกในการสู้กับหลี่ฉิงเฟิง โอโนะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
การแสดงออกของซากุระเปลี่ยนไปเขารีบกล่าวขึ้นในทันทีว่า นายท่าน ข้าน้อยไม่ใช่คู่มือของหลี่ฉิงเฟิงขอรับ
ซากุระเจ้าเป็นอัจฉริยะของตระกูลบูชิโด เจ้าขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้ได้อย่างไร !
โอโนะกล่าวด้วยความโกรธ
ในเวลานี้โอมัตสึเมจิ หัวหน้าทีมคาราเต้ก็กล่าวจากด้านข้างว่า ท่านโอโนะ ซากุระกล่าวไม่ผิด ในหมู่พวกเราไม่มีใครเป็นคู่มือของมันได้ ชายผู้นี้สามารถระเบิดร่างของซาบุโร่ได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันความแข็งแกร่งของชายหนุ่มคนนี้ได้เป็นอย่างดีขอรับ
มาถึงตอนนี้โอโนะก็เข้าใจในที่สุดว่าซาบุโร่ตายได้อย่างไร ไม่น่าแปลกใจที่ผู้เข้าแข่งขันทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างประกาศยอมแพ้ต่อหลี่ฉิงเฟิง พวกเขากลัวจะถูกฉิงเฟิงฆ่า
โอโนะรู้ว่าชายทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าเขาจะต้องตายอย่างแน่นอนหากสู้กับหลี่ฉิงเฟิงเพราะพวกเขาทั้งสองมีพลังระดับเดียวกับซาบุโร่
ถ้าหากพวกเขาตายโอโนะก็กริ่นเกรงว่าตระกูลบูชิโดและคาราเต้จะเอามาโทษเขา แต่ในขณะเดียวกัน โอโนะก็ไม่อาจปล่อยให้ฉิงเฟิงลอยหน้าลอยตาเช่นนี้ได้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราต้องฆ่าหลี่ฉิงเฟิงให้จงได้ไม่ใช่เพื่อการล้างแค้นให้ซาบุโร่เพียงอย่างเดียว แต่พวกเราต้องได้ที่ 1 เพื่อป้องกันมิให้ตราประทับเก้ามังกรกลับคืนสู่หัวเซี่ย มันเป็นศักดิ์ศรีของประเทศเรา โอโนะกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ซากุระกล่าวว่า ท่านโอโนะ หลี่ฉิงเฟิงไร้เทียมทานในขอบเขตแกรนด์มาสเตอร์ การจะล้มมัน ข้าน้อยคาดว่าจำต้องอาศัยอุปกรณ์วิญญาณ
อุปกรณ์วิญญาณ
ในฐานะผู้อาวุโสของตระกูลเคนโด้แห่งเกาะแปซิฟิกโอโนะรู้ดึถึงการดำรงอยู่ของอุปกรณ์วิญญาณอย่างแน่นอน แต่ทว่า แม้แต่ในตระกูลเค็นโด้ก็ยังหาอุปกรณ์วิญญาณได้ยากมาก
การจะฆ่ามันจำเป็นต้องถึงขั้นใช้อาวุธวิญญาณเลยหรือ
หลังจากโอโนะตรึกตรองอยู่ชั่วครู่เขาก็ตัดสินใจนำอาวุธวิญญาณอันมีค่าออกมา เพราะเขามุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อฆ่าหลี่ฉิงเฟิงให้ได้
นี่คือดาบไซโคลนหัวหน้าตระกูลมอบให้ข้ามาเพื่อเป็นรางวัลสำหรับการสร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลในอดีต ตอนนี้ข้าจะให้เจ้ายืมใช้มัน เจ้าต้องฆ่าหลี่ฉิงเฟิงให้ข้าให้ได้ โอโนะกล่าวพร้อมกับส่งดาบยาวสีน้ำเงินให้แก่ซากุระด้วยใบหน้าที่ดุร้าย
ซากุระรับดาบไซโคลนมาและเดินไปที่กลางเวทีเขาชี้ดาบไปที่ฉิงเฟิงและกล่าวอย่างเย่อหยิ่งว่า หลี่ฉิงเฟิง ข้าขอท้าเจ้าในนามของตระกูลบูชิโดแห่งเกาะแปซิฟิก ขึ้นมารับความตายได้แล้ว !