ตอนที่ 1003 อีกมิติที่อยู่หลังบาเรียแสง
สี่นิกายเหล่านี้ทรงพลังอย่างแท้จริง
ฉิงเฟิงคิดในใจในขณะที่สัมผัสได้ถึงออร่าที่แข็งแกร่งจากพวกเขา
สี่นิกายระดับโลกายึดครองที่พื้นในแต่ละจุดหน้าภูเขาคุนหลุนและตรงกลางก็คือนิกายนภาโฉด
นิกายนภาโฉดเป็นนิกายนอกรีตและเป็นนิกายระดับโลกาที่ทรงอำนาจมหาศาล
ประมุขนิกายนภาโฉดคือเซี๊ยะหมิงเขาเป็นยอดฝีมือระดับจิตโลกาขั้นปลายที่แข็งแกร่งมาก เขามีดวงตาสีเขียวและแผ่พลังงานชั่วร้ายอันน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดผวาออกมา
นอกเหนือห้านิกายใหญ่ระดับโลกาแล้วก็ยังมีนิกายระดับจิตวิญญาณด้วยซึ่งก็คือตำหนักจักรพรรดิเพลิง,ตำหนักร้อยบุปผาและศาลากระบี่ ทั้งหมดนี้รั้งอยู่ด้านหลัง
ในหมู่พวกเขาฉินอ้าวเทียน,ประมุขร้อยบุปผาและประมุขศาลากระบี่ต่างก็มีพลังในระดับจิตโลกาทั้งสิ้น
ฉิงเฟิงได้พบเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมายในหมู่คนเหล่านี้ฮวาเซียนจื่อ, ฉินเซียนจื่อและคนอื่นๆอีกมากมาย ในหมู่พวกเขาไม่มีผู้ใดอ่อนแอ
ที่ทางเข้าของแดนต้องห้ามคุนหลุนมีสิ่งกีดขวางชนิดหนึ่งอยู่มันคือแสงลึกลับที่ปกป้องทางเข้า การที่จะเข้าไปด้านในพวกเขาต้องทำลายบาเรียแสงนี้ให้ได้
จ้าวเทียนเจียน,เฮยอู๋หยา, พานซานและเซวี่ยจินหลุนต่างก็นำอุปกรณ์วิญญาณของพวกเขาออกมาและพุ่งไปที่บาเรียแสง ภายใต้แรงกระแทกที่รุนแรง บาเรียแสงก็แตกเป็นชิ้นใหญ่
รอยร้าวในบาเรียแสงเริ่มมากขึ้นด้วยแรงโจมตีที่เพิ่มขึ้นของพวกเขาทันใดนั้นมันก็สลายไปพร้อมกับเสียงดังปัง ! แดนต้องห้ามคุนหลุนเปิดแล้ว!! ทุกคนเข้าไปกันเร็ว ! ผู้คนโดยรอบต่างก็ตื่นเต้นมาก พวกเขากรูกันเข้าไปในนั้นทันที
แน่นอนว่ากลุ่มที่เร็วที่สุดก็คือคนของนิกายกระบี่สวรรค์นิกายดาบทมิฬ,นิกายศิลาและนิกายอสูรโลหิตตามมาติดๆและรั้งท้ายด้วยนิกายอื่นๆที่ตามเข้ามา
ฉิงเฟิงและทีมเขี้ยวหมาป่าต่างก็อยู่หลังๆเช่นกันและรีบตามเข้าไปข้างใน
วูบบบบบ!
เพียงแสงกระพริบวูบเดียวฉิงเฟิงก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางทิวเขา
ที่แท้ภายใต้ฉากหน้าของเทือกเขาคุนหลุนกลับมีมีมิติลับ!
ฉิงเฟิงมองไปรอบๆและเห็นเพียงตนเองกับลู่ซวนจี๋เท่านั้นที่อยู่ด้วยกันทีมเขี้ยวหมาป่าที่เหลือและคนอื่นๆต่างถูกส่งไปอีกที่หนึ่งด้วยลำแสงนั่น
บอสครับพวกเราจะมุ่งหน้าไปทางไหนกันดี ลู่ซวนจี๋ถาม
ฉิงเฟิงปล่อยพลังวิญญาณของเขาออกมาเพื่อสัมผัสถึงสภาพแวดล้อมเขาชี้ไปทางทิศเหนือและพูดว่า พวกเราไปทางนั้นกันเถอะ
เทือกเขาคุนหลุนช่างเต็มไปด้วยความลึกลับมันมีภูเขาสูงล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่มโหฬาร, แม่น้ำ, ทะเลสาบ, หนองน้ำและที่ราบลุ่ม
นอกจากนี้ยังมีสัตว์อสูรที่บินไปมาบนท้องฟ้าและวิ่งผ่านผืนแผ่นดินเพียงเดินทางไปได้ไม่นานฉิงเฟิงก็พบกับสัตว์อสูรตัวหนึ่ง
นี่คือสัตว์อสูรร้ายอันทรงพลังที่มีพลังในระดับจิตวิญญาณแท้จริงขั้นสูงสุดมันราวกับเงาทมิฬที่สูงนับสิบเมตรที่มีขนเงาวาว
เจ้ามนุษย์! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้มาบุกรุกสนามหญ้าของข้า ข้าคือราชาอินทรีดำและข้าจะกินเจ้า ราชาอินทรีดำกล่าวกับฉิงเฟิง โครกคราก….!
กระเพาะอาหารของฉิงเฟิงร้องด้วยความหิวเนื่องจากวันนี้เขาไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวันนกอินทรีที่อยู่ตรงหน้าเขาตัวนี้ดูเหมือนอาหารแสนอร่อยและดวงตาของเขาก็เปล่งแสงสีเขียวออกมา
ซวนจี๋นายหิวเปล่า ฉิงเฟิงถามลู่ซวนจี๋
ลู่ซวนจี๋ก็ท้องร้องเช่นกันเขาพยักหน้าและตอบว่า หิวดิครับบอส
ฉิงเฟิงชี้ไปที่นกอินทรีดำตรงหน้าและหัวเราะว่า งั้นจับมันมาทำบาร์บีคิวกินกันเถอะ
ผู้ที่ผ่านไปมาต่างก็ตกใจเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดเหล่านี้
สองคนนี้ช่างป่าเถื่อนและขวัญกล้านัก! ราชาอินทรีดำเป็นสัตว์อสูรที่ทรงพลังมาก พวกเขาจะกินมันได้อย่างไร
เจ้ามนุษย์ชั่ว! พวกเจ้ากล้าอย่างไรถึงคิดจะกินข้า ! ข้าจะกินพวกเจ้าก่อน ! ดวงตาของอินทรีดำเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะที่มันตะโกนใส่ฉิงเฟิงด้วยความโกรธ
ตูม!!
ราชาอินทรีดำได้ปลดปล่อยพลังอันยิ่งใหญ่ออกมามันโบกปีกอันใหญ่โตของมันและพุ่งเข้าใส่ฉิงเฟิงอย่างดุเดือด
เช้ง!
ฉิงเฟิงชักกระบี่เพลิงคะนองออกมาเขาสะบัดกระบี่เพียงครั้งเดียวหัวของราชาอินทรีดำก็หลุดจากร่าง
ในขณะที่หัวของมันขาดร่างอันใหญ่โตของมันก็ร่วงลงกับพื้นด้วยเสียงดังสนั่นและทำให้สัตว์ทุกตัวที่อยู่บริเวณรอบๆตกใจกลัว
ก่อไฟทำอาหารกินกันเถอะซวนจี๋ ฉิงเฟิงกล่าวอย่างเฉยชา
ทีมเขี้ยวหมาป่าเคยปฏิบัติภารกิจในทวีปหมาป่ามาก่อนในอดีตพวกเขาพบเจอสัตว์ป่าดุร้ายบ่อยครั้งเช่นเสือและเสือชีตาห์และพวกเขาก็ฆ่าพวกมันเพื่อนำมาทำเป็นอาหาร เห็นได้ชัดว่าลู่ซวนจี๋มีประสบการณ์ในการจัดการชำแหละและทำความสะอาดสัตว์มันใช้เวลาไม่นานเขาก็สามารถทำความสะอาดและแล่เนื้อมัน
ในระหว่างกระบวนการนี้เขาพบแกนอสูรในท้องของราชาอินทรีดำนี่คือสิ่งสำคัญที่กักเก็บพลังทั้งหมดของราชาอินทรีดำตัวนี้เอาไว้ มันถูกลู่ซวนจี๋ดูดซับในทันทีจนทำให้เขาทะลวงผ่านไปสู่ขอบเขตจิตวิญญาณแท้จริงขั้นต้น
ลู่ซวนจี๋ก่อไฟ,ถอนขนจากนั้นก็วางเนื้อบนตะแกรงและก่อไฟเพื่อย่างเนื้อ มันส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่ว
น่องของอินทรีดำนั้นมีสีเหลืองทองมันกรอบและชุ่มฉ่ำมาก ฉิงเฟิงฉีกน่องของมันและแบ่งให้ลู่ซวนจี๋ พวกเขากินกันอย่างมีความสุข
เนื้อส่วนขาของอินทรีดำบรรจุไว้ด้วยพลังแท้และมีแคลอรี่สูงเพียงแค่กัดคำเดียวฉิงเฟิงก็รู้สึกว่ารูขุมขนทั้งหมดในร่างกายของเขาเปิดออกและพลังแท้ในร่างก็เพิ่มขึ้นอีกด้วย
ใครจะไปรู้ว่าเนื้อของสัตว์อสูรเหล่านี้สามารถเพิ่มพลังได้
ฉิงเฟิงและลู่ซวนจี๋มีความสุขมากพวกเขาใช้เวลาไม่นานในการกินอาหารมื้อนี้ สุดท้ายพวกเขาก็ลูบท้องด้วยความอิ่มและพึงพอใจ
ไม่เพียงแค่ฉิงเฟิงเท่านั้นที่พลังแท้เพิ่มขึ้นลู่ซวนจี๋ก็เช่นเดียวกัน จากนั้นพวกเขาก็เดินทางต่อไปยังทิศเหนือ
ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงทะเลสาบแห่งหนึ่งด้านหน้าของมันมีสาวกสี่คนของนิกายกระบี่สวรรค์และสาวกสี่คนของตำหนักจักรพรรดิเพลิง จ้าวไค่ซวนเป็นผู้นำของเหล่าสาวกนิกายกระบี่สวรรค์กลุ่มนี้ ฉินเซียนจื่อเป็นผู้นำของสาวกตำหนักจักรพรรดิเพลิง
จ้าวไค่ซวนและฉินเซียนจื่อมองหน้ากันด้วยสีหน้าเย็นชาแววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวังอย่างยิ่ง เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นสมุนไพรสีขาวหนึ่งกิโลกรัม มันเป็นสมุนไพรวิญญาณระดับสองซึ่งก็คือสมุนไพรน้ำแข็งเจ็ดดารา มันสามารถเพิ่มพูนพลังแท้ได้
ไม่ว่าจะเป็นจ้าวไค่ซวนจากนิกายกระบี่สวรรค์หรือฉินเซียนจื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องการสมุนไพรชิ้นนี้ ในช่วงเวลานั้นเองฉิงเฟิงก็มาถึงพอดี
ไสหัวไป!
จ้าวไค่ซวนขมวดคิ้วและตะโกนออกมาทันทีที่เขาเห็นฉิงเฟิงและลู่ซวนจี๋เดินเข้ามา
จ้าวไค่ซวนคิดว่าฉิงเฟิงมาที่นี่เพื่อแย่งชิงสมุนไพรน้ำแข็งเจ็ดดาราดังนั้นเขาจึงไล่ฉิงเฟิงให้ไปไกลๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉิงเฟิงก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเขาเพิ่งมาถึงแต่กลับถูกขับไล่
เมื่อเช้านายแปรงฟันหรือเปล่า เหม็นชิบ ฉิงเฟิงเหลือบมองจ้าวไค่ซวนอย่างเย็นชา
คิกคิก !
ฉินเซียนจื่อหัวเราะออกมาใบหน้าที่น่าหลงใหลของเธอเริ่มผ่อนคลายลงหลังจากได้เห็นฉิงเฟิง ชายคนนี้ยังคงปากคอเราะร้ายเหมือนเดิม