ตอนที่ 1030 ทะลวงผ่านจิตโลกาขั้นกลาง
ความจริงที่ปรากฏเบื้องหน้าเฮยหยาง, พานฮงและเซวี่ยหยานถูกสังหารอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดความตกใจในหมู่ฝูงชนที่อยู่ชั้นสอง
พวกเขารู้ว่าข่าวการเสียชีวิตของคนเหล่านี้จะจุดประเด็นอันร้อนแรงในหัวเซี่ยอย่างแน่นอนเพราะนี่คือห้าอันดับแรกของรายชื่อผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ในขอบเขตจิตโลกา
ส่วนในอีกด้านหนึ่งลู่ซวนจี๋และเซี่ยตงกำลังพัวพันกันในการต่อสู้ ยังไม่มีผู้ใดเหนือกว่ากัน จนในที่สุดลู่ซวนจี๋ก็ขว้างแผ่นผังแปดทิศที่มีสีดำออกมา ด้วยตัวอักษรและสัญลักษณ์บนนั้น มันดูแปลกตาและซับซ้อนมาก
ผังแปดทิศปลดปล่อยพลังงานที่ทรงพลังออกมาพร้อมกับแสงที่แตกต่างกันแปดชนิดและครอบคลุมร่างของเซี่ยตง
มันคือกรงแปดทิศที่พันธนาการเซี่ยตงเอาไว้จากนั้นลู่ซวนจี๋ก็ชักกระบี่ยาวออกมาและพุ่งเข้าหาเซี่ยตง, กระบี่ยาวแทงทะลุลำคอของเขาจนโลหิตฉีดพุ่งและตายในที่สุด
เซี่ยตงอันดับห้าขอบเขตจิตโลกา ตายแล้ว
จนถึงตอนนี้ยอดฝีมือรุ่นเยาว์4 ใน 5 อันดับแรกล้วนตกตายไปหมดสิ้น เหลือเพียงจ้าวอี้เจียนเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้
ถึงแม้ว่าจะยังไม่ตายแต่มือขวาของเขาก็ถูกฉิงเฟิงตัดขาดไปแล้ว ใบหน้าของเขาซีดขาวในขณะที่สมรรถภาพในการต่อสู้ลดทอนลง
ฉิงเฟิงกระชับกระบี่เพลิงคะนองในมือและเดินไปหาจ้าวอี้เจียนทั่วร่างของเขาปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความตายออกมา
หลี่ฉิงเฟิงเจ้าคิดจะทำอะไร ! จ้าวอี้เจียนถามด้วยความตื่นตระหนก
ฉิงเฟิงยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวว่า ฉันคิดจะทำอะไร ยังมีหน้ามาถามอีก แน่นอนว่าต้องฆ่าแก
เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ข้าคือศิษย์อาวุโสของนิกายกระบี่สวรรค์ ข้าเป็นศิษย์เอกของท่านประมุข ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว, จ้าวอี้เจียนรีบพูดออกมา เขาหวังว่าการอ้างชื่ออาจารย์จะทำให้ฉิงเฟิงกริ่นเกรง
แกยังมีหน้ากล้ามาขุ่มขู่ฉันอีกเหรอ ฉิงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา แววตาทอประกายเย็นเฉียบ เขาเกลียดการถูกข่มขู่มากที่สุด ดังนั้นวันนี้จ้าวอี้เจียนต้องตาย
เพลิงภูเขาไฟระเหย
!
ฉิงเฟิงใช้กระบวนท่าที่สี่ของวิชากระบี่เพลิงภูเขาไฟมายาภูเขาไฟสีขาวสูงกว่าห้าร้อยฟุตตกลงบนร่างของจ้าวอี้เจียน
เปลวเพลิงอันร้อนระอุที่เผาอากาศจนเกิดควันเริ่มลุกไหม้เท้าของจ้าวอี้เจียนจากนั้นก็ลามมาที่ขา เอวและหน้าอกในที่สุด
มะ…ไม่ ! อ้ากกกกกกก !!
เมื่อได้เห็นร่างของตนเองที่ถูกไฟคลอกไปเรื่อยๆจ้าวอี้เจียนก็กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวสิ้นหวังและจบลงด้วยการกลายเป็นกองขี้เถ้าและสลายไปในอากาศ
เมื่อได้เป็นประจักษ์พยานในการสลายไปของจ้าวอี้เจียนทุกคนรอบตัวต่างก็ตกตะลึง ชายคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขาไม่เพียงแค่เป็นศิษย์อาวุโสของนิกายกระบี่สวรรค์เท่านั้น แต่เขายังเป็นอันดับหนึ่งในการจัดอันดับรุ่นเยาว์ในขอบเขตจิตโลกาอีกด้วย ถึงกระนั้น เขาก็ตายโดยไม่หลงเหลือแม้แต่ศพ
ฉิงเฟิงเก็บท่วงทำนองจิตวิญญาณสวรรค์เอาไว้และไม่สนใจเรื่องอื่นอีกต่อไปเขานั่งไขว่ห้างบนพื้นและเริ่มอ่านเนื้อหาข้างในม้วนไม้ไผ่
ทุกสิ่งระหว่างสวรรค์และโลกาคือจิตวิญญาณทุกอย่างต่างก็มีจิตวิญญาณที่ได้ถือว่าเป็นวิญญาณแห่งสรวงสวรรค์
,
จงสัมผัสและดูดซับจิตวิญญาณจากสรวงสวรรค์และโลกาที่ดำรองอยู่
,
เปลี่ยนมันเป็นพลังภายใน…..
ฉิงเฟิงทวนเนื้อหาในท่วงทำนองจิตวิญญาณสวรรค์ในใจของเขาและเริ่มฝึกฝนอย่างรอบคอบ
เขานั่งอยู่กับที่ยกมือทั้งสองขึ้นช้าๆและทำมือเป็นรูปลักษณ์ผนึกที่แปลกประหลาด จากนั้นก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาตามที่อ่านมา
พลังแท้สายหนึ่งจากสวรรค์และโลกหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของฉิงเฟิงซึ่งเป็นการเพิ่มพลังแท้ในร่างเขาขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อปริมาณของพลังแท้ที่ดูดซึมจากสวรรค์และโลกเพิ่มขึ้นจนถึงจุดหนึ่งแก่นวิญญาณที่เป็นสีแดงของฉิงเฟิงก็ขยายใหญ่ขึ้นเช่นกัน จนในที่สุดมันก็แบ่งออกเป็นสองซึ่งเป็นสัญญาณของการทะลวงผ่านไปสู่ขอบเขตจิตโลกาขั้นกลาง
ปริ….เปรี๊ยะ
!
ฉิงเฟิงลุกขึ้นยืนพร้อมกับเสียงปริแตกดังไปทั่วร่างกายกระดูกของเขายังคงปะทะกันและเสียดสีกันจนเกิดเสียงปริแตกเหมือนถั่วเหลืองที่เผาบนกองไฟ มันเป็นผลมาจากการปะทะกันระหว่างพลังภายใน
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ในร่างกายของเขาฉิงเฟิงก็รู้สึกยินดีด้วยดวงตาที่เป็นประกาย อุปกรณ์วิญญาณระดับราชันอยู่บนชั้นสามและตอนนี้เขาได้พัฒนาไปสู่ขอบเขตจิตโลกาขั้นกลางแล้ว ดังนั้นโอกาสในการได้รับอุปกรณ์วิญญาณเหล่านั้นก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
หลังจากการพัฒนาพลังงานทางจิตวิญญาณและความสามารถในการรับรู้ของฉิงเฟิงก็ดีขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน เขาปล่อยพลังงานวิญญาณออกไปและรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีม่านแสงป้องกันอยู่ทางด้านเหนือของเจดีย์สีเขียวซึ่งเป็นทางเข้าสู่หลุมฝังศพชั้นที่สามของราชันวิญญาณ
ฉิงเฟิงก้าวหนักๆลงบนพื้นและกระโจนขึ้นไปในอากาศจากนั้นก็ไปถึงม่านแสงป้องกันอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยฮวาเซียนจือ ฉินเซียนจื่อ ลู่ซวนจี๋และลูกหมาสีดำ
ฉิงเฟิงซัดฝ่ามือเข้าใส่ม่านแสงป้องกันแต่มันก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ คนอื่นๆก็ทดลองดูเช่นกันแต่ก็ยังไร้ผล
เจ้าหนูเจ้าต้องหยดเลือดใส่ม่านแสงนี้เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากมันจึงจะเข้าไปสู่ชั้นสามได้
เสียงของจักรพรรดิราตรีดึงขึ้นในใจของฉิงเฟิง
ฉิงเฟิงพยักหน้าอย่างมีความสุขในขณะที่ได้ยินคำแนะนำของจักรพรรดิราตรี เขากัดนิ้วของตนเองและหยดเลือดลงบนม่านแสงมันส่องแสงสีขาวและดึงตัวเขาเข้าไปข้างในโดยตรง
วินาทีต่อมาเขาก็ปรากฏตัวขึ้นในสุสานชั้นที่3
เมื่อคนอื่นๆเห็นฉิงเฟิงเข้าไปข้างในได้ฮวาเซียนจือ ฉินเซียนจื่อและลู่ซวนจี๋ก็ลองทำตาม พวกเขากัดนิ้วหยดเลือดลงบนม่านแสงเช่นกัน แต่แปลกมากที่ม่านแสงไม่ส่องแสงสีเขียวและดึงพวกเขาเข้าไปในนั้น
เห็นได้ชัดว่าม่านแสงป้องกันไม่เต็มใจที่จะให้พวกเขาเข้าไปซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่ได้รับการยอมรับจากมัน
จากนั้นลูกหมาสีดำก็ทำตามมันกัดเท้าตนเองและหยดเลือดลงบนม่านแสง
เมื่อเห็นพฤติกรรมของลูกหมาสีดำลู่ซวนจี๋ก็เบ้ปากและกล่าวอย่างแดกดันว่า
เหอะแกเป็นแค่ลูกหมา ไม่มีทางที่ม่านแสงนี้จะยอมให้แกเข้าไปได้หรอกโว้ย แต่ในวินาทีต่อมาลู่ซวนจี๋ก็ต้องตกใจจนหน้าเหวอ ม่านแสงนี้ส่องแสงออกมาเล็กน้อยแล้วดึงลูกหมาสีดำให้เข้าไปภายใน
ก๊ากๆๆเห็นมั้ยเจ้านักพรต ลูกพี่หมาผู้นี้ได้รับการยอมรับจากมัน ส่วนเจ้ามันเป็นแค่หมีควายเลยเข้ามาไม่ได้
ใบหน้าของลู่ซวนจี๋ดำทะมึนด้วยความโกรธที่ถูกลูกหมาเหยียดหยามมันแม้แต่ล้อเลียนเขาว่าหมีควาย
ในเวลาต่อมาลูกหมาสีดำก็ปรากฏตัวขึ้นใกล้ๆฉิงเฟิง มันแลบลิ้นกระดิกหางอย่างเย่อหยิ่ง
เมื่อได้เห็นท่าทางหยิ่งผยองของมันฉิงเฟิงก็เหยียดขาเตะตูดมันจนกลิ้งทันที
เจ้าลูกหมาแกมาทำไรที่นี่ ฉิงเฟิงขมวดคิ้วและถาม
มันเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาฮวาเซียนจือ ฉินเซียนจื่อและลู่ซวนจี๋เข้ามาไม่ได้ แต่ลูกหมาสีดำตัวนี้กลับเข้ามาได้ เขาคิดในใจว่า
หรือว่าเจ้าหมากวนประสาทตัวนี้จะมีพรสวรรค์พิเศษอะไรบางอย่าง
ลูกหมาสีดำเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างหยิ่งผยองว่า เจ้ามันกบน้อยในบ่อ ลูกพี่หมาผู้นี้ เคยกวาดผ่านห้วงจักรวาล, คว่ำเหล่าเซียนสวรรค์นับไม่ถ้วนในแดนสวรรค์มาก่อน ไอ้แค่ม่านแสงกระจอกๆเช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องง่ายสำหรับข้าที่จะผ่านเข้ามา
ป้าบ!
ฉิงเฟิงตบหัวของมันโดยไร้คำพูดจาและกล่าวอย่างเย็นชาว่า ยังไม่เข็ดอีก นี่แกยังกล้าเรียกตัวเองว่าลูกพี่หมาอีกหรือ
ลูกหมาสีดำทำหน้าหงอยมันก้มหัวลงและพึมพำว่า โทษๆ ข้าผิดเอง ข้าไม่ใช่ลูกพี่หมา ข้าเป็นน้องหมา