บทที่ 282 – ฤดูที่สาม (7)
[เริ่มจากชั้นที่ 81 เป็นต้นไปมอนสเตอร์ที่ตรงกันกับระดับพลังของนักสำรวจจะปรากฏออกมา นี้คือวิธีที่ดันเจี้ยนจะใช้เพื่อช่วยยกระดับของนักสำรวจ ถ้าหากว่านักสำรวจมาเป็นปาตี้ ศัตรูก็จะถูกปรับให้ตรงกับมาตราฐานของป้าตี้]
“…นี่มันเยี่ยมเลยนะ แต่แล้วบอสประจำชั้นล่ะ?”
[ถ้าหากสำรวจในปาตี้ล่ะก็บอสจะถูกเปลื่ยนไป ถ้าคังชินปีนดันเจี้ยนไปเพียงลำพังแบบนี้เรื่อยๆ พวกเราก็มีบอสประจำชั้นพิเศษที่เตรียมเอาไว้ นรกสีชาติบนชั้นนี้เป็นแค่ร่างโคลนของนรกสีชาดของจริงเท่านั้น ร่างจริงของมันอยู่บนชั้นที่ 85]
เจ้าพวกนี้มันเป็นแค่ร่างโคลน? พลังที่น่ากลัวแบบนี่อะนะ? ทันใดนั้นฉันก็ได้เริ่มที่จะชื่นชมในนักสำรวจและนักรบที่ต่อสู้เอาชนะไอ้เจ้าพวกนี้มาได้ ในเวลาเดียวกันในท้ายที่สุดแล้วเชอริฟิน่าก็พูดปิดท้ายด้วยสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น
[นอกจากนี้นี่ก็เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ดันเจี้ยนถูกก่อตั้งขึ้นมาที่นรกสีชาดได้ถูกใช้เป็นมอนสเตอร์ ถ้าหากว่าคุณยังทะลวงดันเจี้ยนต่อไปเพียงลำพังอย่างนี้คุณจะได้รับรางวัลที่เหมาะสมกับความสำเร็จนี้]
“อืมม นั่นมันล่อใจมากเลยนะ”
[เพราะลักษณ์พิเศษของศัตรูของโลก บียอนก็ยังมีมอนสเตอร์ของตัวเองเช่นกัน โปรดจำไว้ให้ขึ้นใจ]
“ถ้างั้นต่อให้ฉันต่อสู้กับศัตรูของโลกที่นี่ พวกมันก็จะไม่ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งในบียอนชั้นที่ 41 ใช่ปะ? ถ้างั้นฉันจะต้องเผชิญกับเวอร์ชั่นที่แข็งแกร่งกว่าที่นักสำรวจคนอื่นเจอสินะ?”
[ใช่]
นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการเลย แต่ว่านะ…. เธอเอาศัตรูของโลกมาในดันเจี้ยนได้ยังไงกัน!? ศัตรูของโลกคือบอสสุดท้ายของการโจมตีโลกนี่ เธอเอาพวกมันเข้ามาที่นี่ได้ยังไงกัน? เชอริฟิน่าได้เสริมต่อขึ้นมาทันทีราวกับเธออ่านใจฉันได้
[พลังของศัตรูของโลกไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน ระหว่างถูกกำจัดกับเชื่อฟัง ก็มีอยู่หลายคนที่เลือกยอมเชื่อฟัง]
“นี่มันน่าทึ่งมาก”
ฉันได้พึมพัมเงียบๆ แม้ว่าจะมีศัตรูของโลกจะถูกขังอยู่ในดันเจี้ยน… ฉันก็ยังรู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่มากกว่าที่เชอริฟิน่าพูดออกมา เชอริฟิน่าจะอาจจะแข็งแกร่งพอที่จะช่วยโลกทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องให้ใครมาช่วยด้วยซ้ำ แน่นอนว่ามันจะต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอทำแค่จัดการตั้งดันเจี้ยนขึ้น
[ศัตรูของโลกทั้งหมดนับจากนี้จะไม่สามารถคาดเดาได้ ฉันขอแนะนำให้คุณใช้เวลาในการวิเคราะห์พลังของพวกเขา]
“ไม่ ไม่เป็นไร”
ฉันไม่เคยคิดว่าดันเจี้ยนจะแสดงมอนสเตอร์ที่ตรงกับมาตราฐานของฉันเลย แต่ว่าต่อให้ฉันรู้ว่าดันเจี้ยนชั้นที่ 81 จะเป็นแบบนี้ฉันก็ไม่ได้มีแผนที่จะขอข้อมูลของพวกมันจากโรเล็ตต้าอยู่ดี การได้ข้อมูลจากโรเล็ตต้ามันจะเป็นไปได้แค่ในดันเจี้ยนแต่กลับโลกอื่นๆแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉันจะรู้เกี่ยวกับศัตรูทุกๆตัวที่ฉันพบ ฉันอยากจะสู้กับศัตรูที่ไม่รู้จักมากกว่า
…แต่มันก็ยังมากเกินไปแล้ว!
“ฟู่…!”
ฉันได้สูดหายใจลึกและเหวี่ยงหอกยิงคลื่นออร่าลอยออกไป มันดูเหมือนว่าพวกมันจะดูดออร่าที่ทรงพลังไม่ได้ทำให้เลือดได้ระเบิดไปทั่วทุกๆที่ จากนั้นฉันก็ได้เพิ่มพลังของวิญญาณสัมบูรณ์ขึ้นจนถึงขีดสุด ไม่ว่าเลเวลของวิญญาณสัมบูรณ์จะมากแค่ไหน ฉันก็ไม่มีทางที่จะดูดมานาจากผู้กินมานาได้อย่างอิสตระ แต่ว่าอย่างน้อยฉันก็สามารถจะลดจำนวนมานาที่ฉันเสียไปได้บ้าง
“ใช่แล้ว ฉันก็แค่คิดว่าชั้นนี้มันเป็นที่ที่เอาไว้ฝึกวิญญาณสัมบูรณ์”
ถึงแม้ว่าฉันจะทำเป็นพูดตลกๆแบบนั้น ฉันก็ยัขมวดคิ้วขึ้น ถ้าหากว่าจะมีสิ่งหนึ่งที่ฉันมั่นใจนั่นมันก็คงจะเป็นฉันไม่มีทางจะทะลวงชั้นนี้ได้ในไม่กี่ชั่วโมงแน่ ถ้าหากว่าฉันพยายามจะบินที่นี่ ฉันก็คงถูกคลื่นสึนามิเลือดกวาดจนตายแน่
“เอาล่ะไปกันเถอะ”
ฉันจะทำอะไรงั้นหรอ? ฉันได้คิดถึงในตอนที่ฉันฟาดพวกมันด้วยหอก ออร่าและพลังภูติธาตุของฉันมันจะเหลือพลังแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น พลังเทพสายฟ้าก็ค่อนข้างจะมีประสิทธิภาพอยู่ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด การสัมผัสกับพวกมันทรงๆมันให้ผลเสียมากกว่าผลดี
“ไพก้า ริยู! ทะลวงไปด้านหน้าเดี๋ยวนี้!”
[เข้าใจแล้ว]
[อื้อ]
ฉันไม่จำเป็นจะต้องมาถนอมมานาแล้ว ฉันได้ถ่ายมานาทั้งหมดไปให้พวกเธอและตั้งสมาธิกับวงจรเพรูต้า มานาที่ทะลุ 500,000 ไปแล้วได้โคจรรอบๆร่างกายของฉันเติมเต็มร่างกายและปรากฏออกมาด้านนอก มันดูเหมือนกับวังวนของมานาที่ปรากฏออกมารอบๆตัวนี้มันจะดูน่าอร่อยสำหรับพวกร่างโคลนนรกสีชาดทำให้พวกมันกระโจนเข้ามาหาฉันเหมือนกับคลื่นทันที คนจากทวีปแพนไทแรนสู้กับมันโดยไม่มีวิญญาณสัมบูรณ์ได้ยังไงกันนะ? ฉันได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ฉันนึกอะไรออกแล้ว….”
ในตอนที่ฉันส่งไพก้ากับริยูออกไปก็ทำให้มานาของฉันลดไปประมาณ 10% ในทีเดียว ฉันก็ได้ตรวจสอบทักษะทั้งหมดที่อยู่ในหน้าต่างทักษะและทันใดนั้นฉันก็หยุดลงเมื่อเห็นทักษะหนึ่ง ลมหายใจแห่งความตาย มันคือทักษะที่ฉันได้มาจากการเอาชนะอัศวินแห่งความตาย
“ทักษะนี่มันทำให้ฉันใช้ออร่าแห่งความตายได้”
มันเป็นทักษะที่ทำให้ฉันสามารถจะดูดพลังชีวิตมาได้ ฉันสามารถจะปล่อยลมหายใจออกมาและใช้มันโจมตีได้ แต่ว่าฉันก็ยังสามารถใใช้ออร่านี้มาหุ้มอาววุธของฉันเหมือนกับที่ฉันใช้พลังเทพสายฟ้าหรือภูติธาตุได้ด้วยเหมือนกัน ยกตัวอย่างคือทักษะนี้มันจะทำให้ฉันใช้ออร่าแห่งความตายที่ปกติมักมีอยู่ในอันเดตระดับสูงสุดได้ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่มั่นใจนักเพราะฉันไม่เคยใช้มันเลย แต่ว่ามันก็น่าจะได้ผลที่น่าทึ่งกับศัตรูทุกๆตัวที่มีชีวิต
คลื่นเลือดได้พุ่งเข้ามาหาฉันโดยไร้เสียง ริยูกับไพก้าก็ดูจะดันมันกลับไปแต่ด้วยความที่คลื่นที่ใหญ่กว่าจากข้างหลังก็ดันมาอีกทำให้มันกลายเป็นวงจรที่ไร้จุดสิ้นสุด ฉันไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะได้เห็นฉากๆนี้ในดันเจี้ยนที่หนึ่ง
ฉันได้ใช้ลมหายใจแห่งความตายทันทีก่อนที่จะสายไและค้นหาพลังแห่งความตายที่ถูกฉันเก็บเอาไว้ มันเป็นทรงกลมเล็กๆอยู่ใกล้ๆหัวใจของฉัน เนื่องจากว่าฉันได้ฆ่าศัตรูในทวีปอีเดียสไปเป็นจำนวนมากจนน่ากลัวทำให้ พลังทรงกลมนี้เต็มไปด้วยพลังจนถึงขั้นที่พลังของมันเล็ดลอดออกมา
ในตอนฉันฉันฟาดหอกออกไปพร้อมด้วยงจรเพรูต้าทำให้หอกโกลาหลได้มีพลังงานที่ดูน่าขนลุกผุดขึ้นมาและมันได้ย้อมหอกจนเป็นสีดำเข้ม แม้ว่าฉันจะไม่อยากสัมผัสกับออร่านี้ด้วยมือของฉันก็ตามแต่ว่าฉันก็ทำไม่ได้
“เพลิงโกลาหล”
ฉันได้พูดออกมาเบาๆและจุดเพลิงโกลาหลได้ ในตอนที่เพลิงโกลาหลได้ผสมเข้ากับออร่าแห่งความตายทำให้เพลิงสีดำนี้ลุกขึ้นมาจากหอกของฉัน พลังนี้มันดน่ากลัวยิ่งกว่าออร่าที่อัศวินแห่งความตายใช้ซะอีก ฉันได้ควบคุมออร่านี้ไว้และตรวจสอบพลังของมัน ฉันรู้สึกตกใจมากเมื่อรู้ว่าฉันสามารถคงสภาพเอาไว้มากกว่าหนึ่งปี
ฉันฆ่าคนที่มีชีวิตอยู่ในทวีปอีเดียสไปมากจริงๆสินะ….
“เอาเถอะอย่างน้อยฉันก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพลังของมันจะหมดแล้ว!”
มันเป็นเรื่องที่ดีมาก! ฉันได้ทดสอบพลังใหม่นี้ทันที ถึงแม้ว่ามันจะถูกเรียกว่าพลังแห่งความตายแต่มันก็ไม่สามารถจะต้านทานการควบคุมของวงงจรเพรูต้าได้ เพลิงแหงความตายนี้ได้หุ้มหอกเป็นรูปร่างคลื่นวังวนและหมุนอย่างรุนแรง ในตอนนี้ไพก้ากับริยูก็ไม่สามารถจะต้านได้อีกต่อไปและก้าวถอยกลับมา ฉันได้แทงหอกไปข้างหน้าทันทีและยิงวังวนเพลิงออกไปรอบๆด้าน
“ลองนี้ดูเป็นไง!?”
แน่นอนว่าพวกนรกสีชาดไม่ได้ไม่พูดอะไรแต่มันพูดไม่ได้มากกว่า พวกมันทำได้เพียงแค่ตรวจพบมานาและเคลื่อนที่เข้ามาหาอย่างยินดีเท่านั้น ผลของเพลิงแห่งความตายนี่น่ากลัวมาก ไม่ว่าจะเลือดกลุ่มไหนเข้ามาสัมผัสกับเพลิงนี้ก็จะเริ่มมืดลงเรื่อยๆ ความดำมืดนี้ได้แผ่กระกายไปยังส่วนที่ไม่ได้สัมผัสกับเพลิงด้วยเช่นกัน เลือดเหล่านี้ได้ถอยร่นไปทันทีที่ตระหนักได้ถึงสิ่งแปลกๆ แต่ว่าส่วนที่สัมผัสเข้ากับไฟก็ถูกเผาและหายไปแล้ว
เพลิงที่จะเผาจนกระทั่งเป้าหมายตายได้ผสมเข้ากับออร่าแห่งความตาย ไม่ว่าเจ้าพวกนี้มันจะกินมานาได้แค่ไหนก็ตามแต่ยังไงมันก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตอยู่ดี การรวมกันของเพลิงโกลาหลกับออร่าแห่งความตายนี่มันเป็นการโต้กลับเจ้าพวกนี่ไปตรงๆ ฉันได้เจอกับคำตอบแล้ว
“เยี่ยมมาก! ไพก้า ริยู พวกเธอไปพักได้แล้วล่ะ ขอบคุณนะ”
[อื้อ ฉันไม่อยากจะสู้กับเจ้าพวกนี้เลย]
[ถ้านายท่านต้องการให้ช่วยก็เรียกฉันนะ]
เมื่อพวกเธอทั้งคู่ได้พูดออกมาและก็จากไป พวกเลือดนั่นก็พุ่งเข้ามาหาฉันเหมือนกับลืมการสูญเสียที่พวกมันเพิ่งจะเจอไป หรือไม่บางมทีพวกมันก็อาจจะสละบางส่วนของร่างกายออกไปเพื่อให้สามารถกินฉันไปก็ได้ ดูเหมือนว่าฉันจะต้องย้ำเตือนกับพวกมันซะแล้วว่าใครกันแน่คือผู้ล่า
“หุหุ เข้ามาเลย!”
เพลิงแห่งความตายที่เดิมทีหมุนอยู่รอบๆหอกของฉันได้ใหญ่ขึ้นในทันทีเพื่อเพิ่มขนาดของวังวน ในขณะที่วงจรเพรูต้าได้หมุนวนอย่างรุนแรงขึ้นทำให้วังวนรอบๆหอกของฉันห่อหุ้มร่างกายของฉัน ฉันรู้สึกว่าได้มีลมหายใจเล็ดลอดเข้ามาในวังวนนี้เล็กน้อย แต่ว่ามันก็ไม่ได้ถึงขนาดที่ฉันจะต้องหลบผลกระทบนั้น
พูดตามตรงแล้วฉันก็กลัวอยู่นิดหน่อยแต่ว่าฉันเชื่อมั่นมันเช่นกันและกระโดดเข้าไปในคลื่นของเลือด
“ย๊ากกกกกกกกกกกก!”
ความรู้สึกแรกที่ฉันรู้สึกได้ในตอนที่ปะทะเข้ากับพวกมันไม่ได้แย่เลย พวกมันได้ถูกย้อมไปด้วยสีดำและถูกเผาไปจนระเหยไปอย่างทำอะไรไม่ได้ในทันที แต่ว่าคลื่นเลือดนี่ก็ยังคงพุ่งเข้ามาหาฉันซัดกวาดวังวนที่หุ้มตัวฉันเอาไว้ ด้วยลักษณะพิเศษการดูดมานาของมันทำให้ต่อให้พวกมันจะดูดออร่าแห่งความตายไม่ได้แต่พวกมันก็ยังดูดมานาที่สร้างเพลิงโกลาหลขึ้นมาได้ วังวนนี้เริ่มสูญเสียพลังไปทำให้ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อในสายตาตัวเองเลย
“ฉันไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนี้นะ แต่ว่า….!”
ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทุ่มมานาประมาณ 200,000 ไปในวังวน เพลิงแห่งความตายได้เริ่มที่จะแผดเผาออกมาอย่างรุนแรงในทันทีราวกับว่ามันจะระเบิดขึ้น คลื่นเลือดที่เข้ามาก็ดูจะตกใจทำให้มันกระโดดกลับไป
“มาลองดูสิว่ามานาของฉันจะหมดก่อนหรือพวกแกจะระเหยไปก่อน ย๊ากกกกกกกก!”
ฉันได้คำรามออกมาและเริ่มวิ่งเข้าใส่คลื่นเลือดนั้นโดยที่ตัวฉันมีแค่วังวนเพลิง! มือที่ถือหอกของฉันได้ขยับไปรอบๆอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะแทงเปิดทางออกไปด้านหน้าในขณะเดียวกันวังวนเพลิงรอบๆร่างกายฉันก็ดูจะหยุดคลื่นเลือดอย่างไม่สิ้นสุดด้วยมานาของฉัน จากนั้นฉันได้อัญเชิญชาราน่าออกมาและกระทั่งใช้เทพวายุพิโรธ
[เจ้าพวกนี้มันน่ารำคาญมาก ฉันจะเสริมพลังให้ท่านเดี๋ยวนี้แหละนายท่าน!]
ชาราน่าได้เสิรมพลังลมเข้ามาในวังวนเพลิงและสร้างพลังที่น่ากลัวออกมา ในท้ายที่สุดแล้วฉันก็หยุดลงเมื่อเห็นคลื่นเลือดข้างหน้าของฉัน นรกสีชาดที่ซึ่งครั้งหนึ่งอยู่ใกล้มาพอที่จะแตะฉมูกฉันตอนนี้มันได้ถูกวังวนปิดกั้นเอาไว้โดยสมบูรณ์จนไม่สามารถจะเข้ามาใกล้ฉันได้สักนิด
ในเวลาเดียวกันกับที่ฉันวิ่งต่อไปฉันก็กลืนมานาโพชั่งลงไป มันให้รสชาติที่เหมือนกับนมช็อกโกแลต
“อ่า….ฉันถึงขนาดที่เหมือนไม่ได้ดื่มอะไรลงไปเลย”
ไม่ว่ามานาโพชั่นของเขาที่ดื่มไปจะแพงมากแค่ไหนมันก็ไม่พอที่จะเติมเต็มได้ถึง 20% ของมานาเขาเลยและฉันทำได้แต่ใช้มันเป็นตัวช่วยหน่อยๆเท่านั้น โชคดีที่ฉันสามารถจะขโมยมานาของพวกมันได้ด้วยการใช้วิญญาณสัมบูณณ์และโคจรวงจรเพรูต้าเพื่อดูดมานารอบๆมา ฉันแทบจะรักษาสภาพวังวนไม่ได้เลย
“ดีล่ะ ไปต่อแบบนี้แหละ”
[ไว้ใจฉันได้เลยนายท่าน]
พลังของชาราน่าได้สอดประสานเข้ากับพลังของฉันและเสริมขึ้น เธอได้ดึงพลังของเธอออกมาจนถึงขีดสุดและวงวนเพลิงก็ได้ขยายรัศมีออกมาถึง 3 เมตรทำให้พวกนรกสีชาดระเหยไปมากขึ้น ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันได้ยินเสียงร้องอย่างสิ้นหวังของมันอีกด้วย
“อ๊ากกกกกกกกก!”
มันราวกับว่าฉันสามารถจะเอาชนะมันได้แล้ว ฉันได้ตะโกนออกมาสุดบอดและพุ่งต่อไปด้านหน้า
สองวันกับอีกสามชั่วโมงหลังจากนั้นฉันก็ได้จัดการทะลวงผ่านชั้นที่ 81 มาได้ด้วยมานาของฉันที่ถูกใช้ออกไปจนหมด