ตอนที่ 113 ยืมสิงโตหน่อย
หลังจากที่เทพมือระเบิดทำการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างเก่าๆทั้งหมดในเขตสวนหลังบ้านของเขาเมื่อคราวที่เขาได้บ้านมา เขาก็ได้สร้างเรือนกระจกเพื่อที่จะทดลองปลูกพืชวิญญาณ
เมื่อตอนที่เขาเป็นเด็กความฝันของเขาคือการที่จะเป็นบิดาแห่งพืชวิญญาณของโลก
เขาพยายามพัฒนาหญ้าวิญญาณสำหรับคนจนซึ่งสามารถปลูกและเติบโตได้ง่าย ซึ่งจะช่วยให้เด็กที่อยู่ในเขตยากจนสามารถเอื้อมถึงทรัพยากรในส่วนนี้ได้
ก่อนหน้าที่เขาจะย้ายเข้ามายังเหวินเฉียนเขาก็ยุ่งกับการทดลองเหล่านี้
เขามักจะประสบปัญหาหลายอย่างตลอดระยะเวลาที่เข้าได้ทำการทดลองวิจัยพืชวิญญาณเหล่านี้ ทำให้เขาไม่สามารถที่จะคิดค้นสิ่งใหม่ได้
แต่เมื่อเขาได้รับการชี้แนะจากคุณปู่หวัง…ด้วยบล็อคโคลี่ชิ้นนั้นทำให้เขามีพลังฮึดที่จะกลับมาพัฒนาพืชวิญญาณของเขาต่อ
โดยอย่างแรกที่เขาลงมือทำหลังจากกลับมาจากบ้านของหวังลิ่งก่อนจะโทรหาน้องแบล็ค เขานำบล็อกโคลี่ชิ้นนี้ไปปลูกในดินพลังวิญญาณภายในเรือนกระจก แม้ว่าคุณปู่หวังจะต้มเจ้าบล็อกโคลี่ชิ้นนี้แล้ว…แต่ดินพลังวิญญาณจะช่วยทำให้มันกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้
นี่ถือว่าเป็นก้าวสำคัญสำหรับการปฏิวัติวงการผู้ฝึกตน เทพมือระเบิดรู้สึกว่ายังไงก็ตามเขาจะต้องช่วยเจ้าบล็อกโคลี่ชิ้นนี้ไว้ให้ได้!
…………………..
เมื่อแสงแดดสาดส่องผ่านม่านหมอกลงมา เป็นสัญญาณบอกว่ายามเช้าของวันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม มาถึงแล้ว เทพมือระเบิดกำลังนั่งสมาธิอยู่ที่สวนหลังบ้าน
ตั้งแต่ที่นำบล็อกโคลี่ต้นนั้นไปปลูกใหม่ มันก็กลายเป็นกิจวัตรของเขาไปแล้วในการที่มานั่งสมาธิอยู่หน้าเรือนกระจกในยามเช้าและทำการบริหารดวงตาของเขาด้วยการดูคลิปชักกะตุก
เขาเอามือกอดอกและนั่งขัดสมาธิมองไปยังต้นบล็อกโคลี่…เขารู้สึกว่าสมองของเขาปลอดโปร่งขึ้นและทำให้สามารถรับรู้พลังธรรมชาติได้ดีขึ้น ถือว่าเป็นก้าวครั้งสำคัญในการที่จะก้าวพ้นระดับแก่นแท้วิญญาณไปได้เสียที
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคิดไม่ออกสักทีว่าการที่คุณปู่หวังมอบบล็อกโคลี่ให้แก่เขามันหมายความว่าอะไร
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเองเขาก็ได้รับข้อความจาก “Unknown Region” เทพมือระเบิดก็รู้ทันทีว่านั่นคือน้องแบล็คนั่นเอง
เขาเปิดข้อความขึ้นมาอ่าน เขาค่อยๆเลื่อนข้อความลงมาจนถึงข้อความสุดท้ายและแสดงท่าทางตกใจออกมาผ่านทางสีหน้า
เขาเริ่มอ่านข้อความใหม่อีกรอบเพื่อย้ำให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรตกหล่น….
หลังจากนั้นเขาจึงสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่
เพราะสิ่งที่น้องแบล็คส่งมาให้นั้นเป็นข้อมูลของปราสาทตระกูลโม่ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับจอมมารชีผี
หรือมันจะเป็นเด็กคนนั้นเด็กผู้ซึ่งเป็นลูกของจอมมารชีผี?
ไม่มีใครรู้เรื่องราวที่แท้จริงเนื่องจากไม่มีหลักฐานอะไรหลงเหลือเลยสำหรับเหตุการณ์ในครั้งนั้น
แม้แต่การสืบของน้องแบล็คก็ยังไม่สามารถหาข้อมูลที่แน่ชัดได้
น้องแบล็คได้เขียนถึงการประมวลข้อมูลทั้งหมดว่ามีมูลความจริงน่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใดและผลออกมาว่าข้อมูลในส่วนนี้มีความน่าเชื่อถือได้ถึง 58%
“58 เปอเซ็น…” แม้ว่าเจ้าของปราสาทตระโกลโม่อาจจะไม่ใช่ลูกของจอมมารชีผี แต่มันก็ยังคงมีความเชื่อมโยงอยู่บ้าง ตามข่าวลือและบันทึกต่างๆบอกว่า จอมมารชีผีไม่มีโอกาสได้สั่งสอนลูกของเธอก่อนจะถูกประหาร
ถ้าอย่างนั้น…
‘ถ้าหากเจ้าของปราสาทตระกูลโม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจอมมารชีผี…จะเป็นใครไปได้อีก?’
‘เหตุผลที่เจ้าของปราสาทตระกูลโม่อยากได้หน้ากากผีดิบนั่น…เพื่อการแก้แค้นรึไง?’
สำหรับตอนนี้นี่คือการคาดเดาทั้งหมดจากข้อมูลที่มี แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นปัญหาที่ไม่สามารถเมินเฉยได้
เขาได้ไปอาสารับปากกับน้องลิ่งและเหล่าผู้อาวุโสไปแล้ว!
เขารับปากไว้แล้วเขาจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะได้พบกับคนทำหน้ากากใบนี้ และปกป้องหน้ากากใบนี้ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี!
……………………………….
หลังจากการออกกำลังกายในตอนเช้า เทพมือระเบิดก็ไปทำอย่างอื่นต่อ นั่นก็คือการเสริมพลังผนึกบนหน้ากากผีดิบ
หน้ากากต้องสาปใบนี้มีความพิศวงและความอันตรายอยู่
แม้ว่าเขาจะผนึกและเก็บมันไว้ในห้องใต้ดิน ระบบรักษาความปลอดภัยนั่นเขาก็ออกแบบมันเองกับมือ และยันต์ผนึกซึ่งเขาทำมันขึ้นมาเองกับมือเพื่อที่จะสะกดพลังของหน้ากากผีดิบ และยังมีโซ่อเวจีทั้งสี่เส้นที่ขึงมุมของห้องนิรภัยเข้ากับหน้ากากใบนี้
โซ่อเวจีชิ้นนี้เทพมือระเบิดซื้อมันมาจากตลาดแห่งหนึ่ง มันทั้งแข็งและมีพลังในการซ่อมแซมตัวเองสูง มันไม่มีทางเลยที่ผู้บุกรุกจะมาขโมยหน้ากากนี้ออกไปได้เว้นแต่ว่าพวกเขาจะตัดโซ่อเวจีพวกนี้เสียก่อน
การป้องกันนี้มันเป็นอะไรที่แน่นหน้ามาก แต่เทพมือระเบิดก็รู้สึกว่ายังคงมีจุดบกพร่องอยู่
การป้องกันถูกตั้งไว้ทั้งภายในและภายนอก และห้องนี้ก็อยู่ภายใต้การสอดส่องดูแลของเขา เขาสามารถดูความเคลื่อนไหวของห้องผ่านนาฬิกาข้อมือของเขาแม้ว่าเขาจะไม่อยู่ก็ตาม
แต่เขายังคงรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป
เขายกมือขึ้นแตะคางอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะคิดอะไรบางอย่างออก!
โดยปกติระบบการรักษาความปลอดภัยที่สมบูรณ์แบบมันต้องมีสุนัขเฝ้ายาม!
หลังจากที่เขาคิดเสร็จเขากดนาฬิกาข้อมือของเขาเพื่อที่จะต่อสายไปยังโทยะจอมอมตะ
เมื่ออีกฝ่ายรับสายเขาก็ได้ยินเสียง “ตู้ม” ดังผ่านเข้าโทรศัพท์มา…
เขารู้ได้ทันทีเลยว่า…เตาหลอมของโทยะจอมอมตะนั้นระเบิดอีกแล้ว
“แค่ก…แค่ก แค่ก!”
โทยะจอมอมตะไออย่างรุนแรงเพราะสำลักควันจากการระเบิดเมื่อครู่
“แค่ก แค่ก…ฮัลโหล ใครน่ะ? นี่โทยะเอง มีอะไรก็ว่ามา…”
“ฮัลโหล…นี่เทพมือระเบิดพูดอยู่…”
“โอ้ว…รุ่นพี่เทพมือระเบิด”
“น้องชายโทยะ นายกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?”
“หืม…เมื่อกี้ผมกำลังยุ่งกับการทำยาวิเศษตัวใหม่อยู่ มันคือยาเม็ดWIFI เมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้คนคนนั้นสามารถปล่อยสัญญาณWIFIออกมาได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง รุ่นพี่มีอะไรให้ผมช่วยหรอครับ?”
เทพมือระเบิดพูดออกไปตรงๆในสิ่งที่เขาต้องการ เพราะเขาและโทยะก็รู้จักกันมานานเขาก็ไม่ต้องอ้อมค้อมอะไรมาก
หลังจากที่ได้ฟังคำขอของเทพมือระเบิดแล้ว โทยะจอมอมตะก็นิ่งไปครั่วครู่ “หืม ปรมาจารย์ผู้ฝึกตน? ทำไมรุ่นพี่ถึงมาบอกผมเรื่องต้องการปรมาจารย์ผู้ฝึกตน รุ่นพี่ควรจะไปถามตระกูลเสี่ยว แต่บรรดาปรมาจารย์ที่หลงเหลืออยู่ก็เห็นแค่คนแก่คนหนึ่ง…พวกเขาไม่มีพลังอะไรหลงเหลืออีกแล้วไม่สามารถใช้พลังชี่และพลังวิญญาณ พวกเขานั้นค่อนข้างจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ซึ่งทำได้แค่เพียงเป็นยามเฝ้าสวนตระกูลเสี่ยว”
เทพมือระเบิดถึงแสดงสีหน้าแบบกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเนื่องจากว่าโทยะเข้าใจคำพูดของเขาผิดไปเสียหมด “น้องโทยะ ฉันถามถึงสิงโตนักสู้ไม่ใช่ปรมาจารย์ผู้ฝึกต้น! สิงโตน่ะ! ที่นายได้รับเป็นรางวัลชนะการแข่งขันปรุงยาวิเศษเมื่อตอนนั้น!”
“…”