ตอนที่ 135 คำพูดบางทีก็เหมือนยาพิษ
ความประทับใจแรกของหวังลิ่งต่อนักร้องหนุ่มคนนั้นคือ เขามีสำเนียงที่แตกต่างจากคนทั่วไป ถ้าเอาเรื่องพวกนี้ทิ้งไป โดยรวมแล้วถือว่าเขาร้องค่อนข้างดี อย่างน้อยก็ตรงจังหวะ…
แต่ถ้าหากเด็กหนุ่มคนนั้นอยากจะชนะการประกวดหรือการแข่งขันที่ไหน เขายังต้องฝึกอีกเยอะ…
ความเข้าใจด้านดนตรีของหวังลิ่งก็ค่อนข้างน้อยนิด เขาแค่เคยเล่นกีตาร์ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าวิจารณ์เด็กหนุ่มคนนี้ ว่าควรจะปรับปรุงส่วนไหนในการแสดง
เขารู้สึกว่าการที่จะเป็นนักดนตรีที่โด่งดังได้นั้นจำเป็นต้องการสเสน่ห์ดึงดูดบางอย่าง
อย่างแรก คนคนนั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นคนหน้าตาดี แต่ว่าอย่างน้อยก็ต้องมีบุคลิกดี
อย่างที่สอง บางทีเสียงก็ไม่จำเป็นต้องดีมาก แต่อย่างน้อยก็ต้องมีความโดดเด่น เพียงแค่ร้องตรงคีย์ไม่เพี้ยนนั้นไม่เพียงพอ
อย่างสุดท้ายและเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด… คนคนนั้นต้องมีประวัติที่น่าสงสาร ยิ่งน่าสงสารมากเท่าไรยิ่งเรียกน้ำตาจากกรรมการและคนดูได้มากขึ้นเท่านั้น…
ซึ่งคนคนนี้ไม่ได้มีอะไรตรงกับสามสิ่งที่กล่าวมาเลย
นักดนตรีพเนจรถังยุนหนิง เขาไม่ได้สนใจภาพลักษณ์ของเขาเลย คนส่วนใหญ่เห็นเขาก็จะมองเขาเป็นคนสกปรกตั้งแต่แรกเห็น ประวัติของเขาก็ไม่น่าสงสารมากพอ เป็นแค่นักดนตรียาจกที่ยังคงตามหาความฝัน ซึ่งก็มีคนประเภทนี้มากมายบนโลก… ‘ถ้าหากคุณต้องการจะเข้าร่วมการประกวดอย่างน้อยก็ควรจะต้องมีคนในครอบครัวป่วยสิ’
ในขณะที่กำลังเคี้ยวเนื้อในปากอยู่นั้น หวังลิ่งได้ทำวิจารณ์เด็กหนุ่มคนนี้ภายในใจ ส่วนเด็กหนุ่มนักดนตรีคนนั้นจ้องไปยังมันฝรั่งหนอนไหมบิบิมบับด้วยดวงตาอันแดงก่ำจากการร้องไห้ “นี่เรา…เราจะเป็นนักร้องไม่ได้เลยหรือ”
มันเป็นเสียงตัดพ้ออันเบาหวิวจากเด็กหนุ่ม แต่ทุกคนในร้านก็ได้ยินเสียงเขาชัดเจนทุกคำพูด
เจ้าของร้านทานปิดเครื่องดูดควัน และทำความสะอาดมือของเขาด้วยผ้าเช็ดมือ เขาค่อยๆเดินไปหาเด็กหนุ่มและวางมือลงบนไหล่ของเด็กหนุ่มคนนั้น “เงยหน้าขึ้น เจ้าหนูถัง”
เจ้าของร้านทานนั้นเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรง ถ้าหากเทียบกับเด็กหนุ่มนักดนตรีคนนั้นแล้ว หวังลิ่งจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากเจ้าของร้านบะหมี่นี้จะเผลอทำไหล่เด็กหนุ่มคนนั้นหลุด…
แสดงให้เห็นว่าเจ้าของร้านนั้นไม่ใช่คนธรรมดาที่สามารถควบคุมพลังของเขาได้
ระดับพลังของเขาอย่างน้อยต้องอยู่แก่นแท้ปราณทองคำแน่นอน
หวังลิ่งนั้นรู้อยู่แล้วตั้งแต่ที่เขาก้าวเท้าเข้ามายังภายในร้านแห่งนี้
“มีคนคนหนึ่งเคยพูดไว้ว่า พรสวรรค์นั้นมีค่าเพียงหนึ่งเปอเซ็น ส่วนที่เหลืออีกเก้าสิบเก้านั้นมาจากการฝึกฝน บางทีนะเจ้าหนู นายเองก็ต้องพยายามให้มากขึ้นกว่านี้อย่าพึ่งถ้อถอย”
เด็กหนุ่มนักดนตรีเงยหน้าขึ้นมามอง “จริงหรอครับ”
แต่ทันทีที่ทั้งคู่พูดจบ ปากพาซวยของพ่อหวังลิ่งก็เริ่มแผลงฤทธิ์ “แล้วพวกคุณรู้หรือเปล่าว่าประโยคต่อไปของประโยคนั้นจะพูดว่าอย่างไร แต่หนึ่งเปอเซ็นนั้น เป็นหนึ่งเปอเซ็นที่สำคัญที่สุดสำคัญยิ่งกว่าความพยายามทั้งหมด”
เจ้าของร้าน “…”
เด็กหนุ่มเริ่มทำท่าจะร้องไห้ต่ออีกครั้ง
หวังลิ่ง “…”
คงจะพูดได้ว่าปากเสียๆของพ่อเขานั้นเริ่มจะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น
เด็กหนุ่มคนนั้นไม่สามารถรับความจริงข้อนี้ไหวและเจ้าของร้านก็ไม่รู้จะช่วยปลอบอย่างไร
แต่พ่อของหวังลิ่งนั้นกลับคิดว่าสิ่งที่เขาพูดออกไปนั้นเขาไม่ผิด
เขาคิดว่าถ้าหากคนคนนั้นไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มันจะเสียเวลามากถ้าหากยังยึดติดกับสิ่งสิ่งนั้น ในแต่ละอาชีพนั้นมีคนเก่งอยู่แล้ว แล้วทำไมถึงยังดึงดันจะปีนต้นไม้ต้นนั้น ทำไมถึงไม่ลองมองต้นไม้ต้นอื่นดูบ้าง
การทำลายความฝันคนคนหนึ่งด้วยคำพูด…พ่อของหวังลิ่งรู้สึกว่าเขากำลังสอนเด็กหนุ่มให้เข้าใจถึงความจริงของโลกใบนี้เร็วขึ้นก่อนที่มันจะสายเกินไป
“หลิงหลิง ลองร้องเพลงไหม” และตอนนั้นเองจู่ๆ พ่อของหวังลิ่งก็หันไปหาเขาพร้อมกับคำถามที่ชวนให้งุนงง
“…” หวังลิ่งเองก็ไม่เข้าใจสิ่งที่พ่อของเขาต้องการจะสื่อ
“ลูกของนายเรียนด้านดนตรีมาเรอะ” เจ้าของร้านถามมาด้วยความสงสัย
คุณพ่อหวังส่ายหัว “เขาเป็นแค่เด็กนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีที่หนึ่ง เขาเคยเล่นกีตาร์นิดนึงตอนเขาว่าง คุณจะพูดก็ได้ว่าเขาเป็นแค่พวกมือสมัครเล่น แต่ฉันเชื่อว่าถ้าหากเขาใช้พรสวรรค์ของเขา วงการดนตรีคงจะต้องตกไปอยู่ในเงื้อมมือของเขากว่าครึ่ง”
เจ้าของร้านบะหมี่ส่ายหัว “ไม่หรอก อาจารย์หวังบานบินั้นถือครองอำนาจของวงการนี้อยู่ครึ่งหนึ่ง”
“…”
อาจารย์หวังบานบิที่เจ้าของร้านบะหมี่พูดถึงนี้ เขาเป็นแค่คนประหลาดที่ชอบพูดจาเวิ่นเว้อ
ตอนนี้ก็ได้เกิดสงครามน้ำลายขึ้นเล็กน้อย เมื่อพ่อของเขาพยายามที่จะขี้โม้เกี่ยวกับตัวเขา ซึ่งมันทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่พ่อใจสักเท่าไร “ผมเรียนดนตรีมา…ลูกชายของคุณก็แค่มือสมัครเล่น การที่พูดว่าจะครองวงการดนตรีนั้น ไม่ใช่ว่ามันดูเกินไปหน่อยหรอครับ”
“ไปเลยหลิงหลิง ได้เวลาแสดงความสามารถของลูกแล้ว” พ่อของดันตัวเขาและยกนิ้วโป้งให้
“…” ‘ไปที่น่าพ่อแหน่ะ’
แน่นอนว่าหวังลิ่งไม่อยากจะทำมัน แค่เล่นกีตาร์นิดหน่อยก็พอทำได้อยู่ แต่ถ้าจะให้ทั้งร้องและเล่นไปพร้อมกัน…มันค่อนข้างจะเป็นปัญหา เพราะโดยปกติแล้วเขาจะตั้งค่าตัวเองอยู่ที่โหมดเก็บเสียง
แต่ด้วยสายตาของพ่อเขานั้นเอง เขาจึงต้องยอมจำนน…
อย่างแรกเลย เขากลัวว่าพ่อของเขาจะตัดเงินค่าขนมถ้าหากเขาปฏิเสธ อย่างที่สองเขาไม่ค่อยชอบสายตาเหยียดหยามจากเด็กหนุ่มคนนั้น
‘แสดงนิดหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง’
หวังลิ่งเดินเงียบๆไปยังมุมที่กีตาร์ของถังยุนหนิงวางอยู่ เขาหยิบมันขึ้นมา ด้วยความตื่นเต้นที่จะเล่นดนตรีต่อหน้าคนอื่นตอนนี้ มันตื่นเต้นยิ่งเสียกว่าตอนที่เขาต้องทำกิจกรรมกลุ่มร่วมกับเพื่อนในห้องเสียอีก
ถังยุนหนิงยืนกอดอกและตั้งใจที่จะดูการแสดงจากหวังลิ่ง “เป็นไง รู้สึกตื่นเต้นไหม ขนาดฉันร้องเพลงตามข้างถนนประจำ ฉันยังคงตื่นเต้นทุกครั้งที่มีคนมาฟังเพลงที่ฉันร้องเลย”
หวังลิ่งเพียงแค่ชายตามอง เขาไม่ได้สนใจคำพูดอะไรของถังยุนหนิงมากนัก
‘แล้วเราจะร้องเพลงอะไรดี’
หวังลิ่งใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่ง… จริงๆแล้วมันก็มีเพลงดังจำนวนไม่มากนัก ประเทศจีนนี้ก็ไม่ค่อยจะสนับสนุนอุตสาหกรรมด้านนี้สักเท่าไร แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าหวังลิ่งจะไม่รู้จักเพลงดีๆเหล่านั้นนะ ด้วยหูทิพย์ของเขา เขาสามารถได้ยินเสียงเพลงจากทั่วทุกมุมโลกราวกับเครื่องรับสัญญาณ
หลังจากไตร่ตรองเสร็จ หวังลิ่งก็เริ่มทบทวนเนื้อเพลงที่เขาได้เลือกซึ่งเขาคิดว่ามันคงจะไปได้สวยกับกีตาร์ตัวนี้
หลังจากจับกีตาร์เขาก็เริ่มจูนเสียงของมัน
และเมื่อเขาพร้อมเขาก็เริ่มดีดช่วงอินโทรของมัน ทำนองของมันเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก และจากนั้นเองเขาก็เริ่มเปล่งเสียงออกไป