ตอนที่ 160 สองสีผู้ยิ่งใหญ่
พื้นที่รอบๆถนนหวงตะวันออกนั้นค่อนข้างบ้านนอก นอกเหนือไปจากรถบรรทุกขนของที่วิ่งผ่านไปมา ก็มีรถเพียงไม่กี่คันที่วิ่งผ่านถนนเส้นนี้ ดังนั้นคนแถวนี้จึงเรียกพื้นที่แถวนี้ว่า “เขตป่าภูเขา” เมื่อชายในชุดสูททั้งสองเห็นบ้านหลังหนึ่งในเขตพื้นที่นี้ พวกเขารู้สึกประหลาดใจและคิดว่าใครกันที่จะมาอาศัยอยู่แถวนี้
หลังจากราคาบ้านฟองสบู่แตก บ้านราคาก็ไม่ได้แพงเหมือนแต่ก่อนแล้ว แม้แต่ชนชั้นกลางก็สามารถซื้อบ้านพื้นที่กว่าหลายร้อยปิงได้ (1ปิง มีเนื้อที่ประมาณ 3.3 ตารางเมตร) ด้วยฐานเงินเดือนของพวกเขา ถ้าหากพื้นที่ใช้สอยไม่พอ พวกเขายังสามารถให้งานก่อสร้างขยายพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีขยายมิติได้อีก
เทคโนโลยีก็เจริญกาวหน้าจนถึงขั้นนี้แล้ว
ครอบครัวนี้เขาคิดอะไรกันอยู่?
ชายในชุดสูทยังรู้สึกเคลือบแคลงใจ แต่คําสั่งของนายหญิงพวกเขาไม่อาจฝ่าผืนได้
ชายทั้งสองใช้เครื่องรางล่องหน มีแสงสว่างขึ้นมาก่อนที่ร่างกายของพวกเขาจะโปร่งใส เครื่องรางล่องหนนี้สามารถซ่อนตัวและรวมไปถึงพลังวิญญาณของพวกเขาด้วย และการใช้งานมันนั้นเป็นสิ่งผิดกฎหมาย มีแค่เพียงหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลเท่านั้นที่สามารถใช้งานมันได้
เครื่องรางล่องหนชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นโดยปราสาทตระกูลโม่อย่างลับๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งผิดกฎหมายหากพวกเขาถูกจับได้พวกเขาคงไม่พ้นถูกจับเข้าตารางแน่นอน
เมื่อพวกเขาเริ่มเคลื่อนตัวเข้าใกล้บ้านหลังนั้นมากขึ้นพวกเขาก็เริ่มรู้สึกคลายความกังวลลงไปได้บ้าง
เพราะหลังจากใช้พลังวิญญาณตรวจจับ พวกเขาไม่พบพลังวิญญาณภายในบ้านหลังนั้นเลย
“หรือจะเป็นแค่ครอบครัวคนธรรมดา?”
พวกเขาต่างเก็บงําความสงสัยไว้ ถ้าหากเป็นแค่ครอบครัวคนธรรมดาจริง การปฏิบัติงานของพวกเขามันก็คงจะง่ายขึ้น
“หน้าต่างบนชั้นสองเปิดอยู่ เราไปเช็คจากตรงนั้นก่อน” หลังจากตกลงวางแผนกันเสร็จแล้ว ทั้งสองกระโดดผ่านหน้าต่างชั้นสองเข้าไปอย่างเงียบเชียบ
ห้องของหวังลิ่งนั้นค่อนข้างใหญ่ เมื่อพวกเขาเข้ามาได้พวกเขาเดินสํารวจรอบๆห้องอย่างระมัดระวัง
และเมื่อพวกเขากําลังจะเดินไปที่ประตู ทันใดนั้นเองเจ้าสัตว์ขนปุยสีเขียวก็ค่อยๆหย่อนตัวลงมาจากเพดาน
ชายทั้งสองตกใจรีบกระโดดถอยหลังเพื่อเว้นระยะห่าง ก่อนที่จะเพ่งมองว่าสิ่งสิ่งนั้นคืออะไร
พวกเขาเห็นสุนัขพันธุ์อกิตะขนสีเขียวห้อยตัวลงมาแบบกลับหัวจากเพดานคล้ายกับสไปเดอร์แมน และกําลังจ้องพวกเขาด้วยสายตาเอาเรื่อง!
ทั้งสองคนจํามันได้แทบจะในทันที พวกเขาคิดไว้แล้วว่าสุนัขตัวนี้จะต้องไม่ใช่สุนัขธรรมดา และผลก็ชี้ชัดแล้วว่าพวกเขาคิดถูก!
และยิ่งไปกว่านั้นสุนัขตัวนี้ไม่ใช่ว่ามันตัวใหญ่ไปหน่อยเรอะ?! แค่มองจากภายนอกก็รู้แล้วว่าสุนัขตัวนี้มันจะต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่!
แต่ที่จริงแล้วสิ่งที่ทําให้พวกเขาประหลาดใจนั้นไม่ใช่รูปลักษณ์ของมัน…แต่เป็นมันที่สามารถมองเห็นพวกเขาได้ทั้งๆที่พวกเขาใช้งานเครื่องรางล่องหนอยู่ ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าพลังของมันนั้นเผลอๆสูงกว่าพวกเขาเสียอีก
“เราจะทํายังไงกันดี? ดูเหมือนเจ้าสุนัขตัวนี้มันจะแข็งแกร่งเอาเรื่อง…เราควรจะถอยดีไหม?”
“เรามาถึงตรงนี้แล้ว! มันจะดูน่าอายไปไหมที่จะถอยตอนนี้! พวกเราก็มีระดับถึงแก่นแท้ปราณทองคําขั้นสูง แค่สุนัขตัวเดียวจะไปกลัวมันทําไม?”
“แก่นแท้ปราณทองคําขั้นสูงงั้นเหรอ?”
สองสีทิ้งตัวลงมาจากเพดานและทําจมูกฟุดฟิด แม้ว่าตอนที่มันอยู่ที่โรงเรียนอันดับที่60ก่อนหน้านี้ มันก็ไม่เกรงกลัวผู้ฝึกตนระดับแก่นแท้ปราณทองคําสักนิดเดียว
ตอนนี้สถานะของพวกเขาถูกเปิดเผยแล้ว พวกเขาก็ไม่จําเป็นต้องหลบซ่อนอีกตัวไป
เกิดแสงเรืองขึ้นบนมือของพวกเขา พวกเขาเรียกกระบี่วิญญาณขึ้นมา และชายคนหนึ่งชี้กระบี่มาทางสองสี “พวกเราแค่อยากตรวจสอบอะไรบางอย่างไม่ได้อยากจะทําร้ายแกเลย แต่ถ้าแกยังขวางทางพวกเรา อย่าถือสาพวกเราละกันที่ต้องทําแบบนี้!”
ทั้งสองคนตั้งท่าเตรียมต่อสู้ด้วยกระบี่และเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงกัน
แต่เห็นได้ชัดว่าคนที่ทํางานให้กับปราสาทตระกูลโม่ทุกคนต้องผ่านการฝึกใช้กระบี่ ข้อดีของมันก็คือพวกเขาจะสามารถใช้งานได้จริงในระยะเวลาอันสั้น แต่ข้อเสียของมันก็คือการเคลื่อนไหวของมันดูออกง่ายเกินไป ถ้าหากเจอผู้ที่ฝึกฝนวิชากระบี่มานาน พวกเขาสามารถดูการเคลื่อนไหวเหล่านี้ออกอย่างง่ายดาย
โดยวิชากระบี่ที่ปราสาทตระกูลโม่สอนนั้นเป็นวิชาที่ใช้สําหรับการฆ่า พวกเขาไม่ต้องการเสียเวลากับการต่อสู้มาก นั่นก็เพราะว่าหากยิ่งใช้เวลามากมันอาจเกิดข้อผิดพลาดตามมาได้
แต่สําหรับสองสีนั้น มันรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของสองคนนี้ดูเชื่องช้ามากจนมันแทบอยากจะหลับใส่
มันนึกย้อนไปสมัยตอนที่มันยังคงอยู่ในโลกปีศาจ เมื่อตอนที่มันได้มีโอกาศพูดคุยอย่างสนุกสนานกับราชากระบี่ปีศาจหัวไล่ฉี ไอเจ้าสองตัวนี่อาจจะยังไม่เกิดเลยมั้ง
ชายในชุดสูททั้งสองแทงกระบี่มาขัดจังหวะการละลึกความหลังของสองสี
สายตามันจ้องไปยังปลายกระบี่ และก่อนที่กระบี่ทั้งสองจะเข้ามาใกล้ไปมากกว่านี้ พวกมันก็หยุดอยู่กับที่ราวกับรถที่เหยียบเบรกติดไฟแดง
“คลื่นตรึ่งวิญญาณ!”
ชายในชุดสูททั้งสองรู้สึกตกใจ!
นี่คือผลของความต่างของพลังอย่างชัดเจน เผ่าปีศาจนั้นขึ้นชื่อเรื่องการต่อสู้โดยใช้คลื่นพลัง “คลื่นตรึงวิญญาณ” นั้นเป็นการปล่อยคลื่นพลังวิญญาณออกไปเพื่อยับยั้งการโจมตีจากอาวุธ ซึ่งมันเป็นวิชาขั้นสูง! เหตุผลที่ทําไมเผ่าปีศาจถึงจัดการยากก็เป็นเพราะคลื่นตรึงวิญญาณนี่แหละ
สําหรับเผ่าปีศาจ คลื่นตรึงวิญญาณนั้นเปรียบเสมือนระบบป้องกันภัยฉุกเฉิน ซึ่งสามารถป้องกันตัวพวกมันจากอันตรายของอาวุธรวมไปถึงอาวุธวิเศษได้
เมื่อหกปีก่อนสองสีรู้สึกอับอายเพราะคลื่นตรึงวิญญาณของมันไม่มีผลอะไรเลยกับหวังลิ่ง! เพราะในตอนนั้นหวังลิ่งจัดการมันด้วยเพียงการต่อยเพียงหมัดเดียว
ตอนนี้พละกําลังของมันบางส่วนได้กลับคืนมาแล้ว มันสามารถที่จะใช้งานคลื่นตรึงวิญญาณได้อีกครั้ง
มันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจเพราะว่ามันรอคอยเวลานี้มานาน
ท่าที่ของผู้ฝึกตนจากปราสาทตระกูลโม่เปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกหวาดกลัวเพราะพวกเขาตระหนักได้ว่าพวกเขาไม่สามารถเอาชนะสุนัขตัวนี้ได้อย่างแน่นอน! มันรู้วิชาของเผ่าปีศาจ…ไอสุนัขตัวนี้ มันเป็นตัวอะไรกันแน่วะเนี่ย?!
“ถอยยยย!”
พวกเขาทั้งสองหันหลังเพื่อที่จะหนี แต่ก็พบว่าร่างกายของพวกเขาไม่ตอบสนองคําสั่งของพวกเขาเลย!
ไม่เพียงแค่กระบี่ของพวกเขาที่ถูกตรึงไว้ ร่างทั้งร่างของพวกเขาก็โดนคลื่นตรึงวิญญาณหยุดไว เช่นกัน
“พวกแกไม่ควรมาที่นี่…” สองสีพูดเป็นภาษามนุษย์และชําเลืองตามองชายในชุดสูททั้งสองอย่างเชื่องช้า มันดึงพลังวิญญาณของมันกลับ ร่างกายหดเล็กลงและนัยน์ตาของมันก็กลับสู่สภาวะปกติ มันไม่รู้ว่าอาจจะเป็นเพราะมันอยู่กับหวังลิ่งมานานหรือยังไง ทําให้มันไม่ได้อยากจะฆ่าคนเหมือนเมื่อตอนที่มันอยู่โรงเรียนอันดับที่60แล้ว เพราะตอนที่นักฆ่าจากองค์กรเงาสายธารบุกโรงเรียนมันก็จัดการฆ่าและกินวิญญาณคนเหล่านั้นเสียจนหมด
แต่ตอนนี้ เบื้องหน้าของมันมีวิญญาณแก่นแท้ปราณทองคําอันโอชะ แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกสนใจเลยแม้แต่น้อย
“แล้วจะให้พวกเราทํายังไงกับพวกเขาดี?”
และในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างหลังของชายในชุดสูททั้งสอง
ในเวลานี้คนจากปราสาทตระกูลโม่ทั้งสองหน้าซีดด้วยความกลัวไปเรียบร้อยแล้ว ข้างหลังพวกเขาก็คือสองพี่ศรีพี่น้องปากกาและยางลบปีศาจ
สองสีหมอบนอนลงบนพื้นและแกว่งหางไปมา ก่อนที่มันจะชําเลืองมองชายในชุดสูททั้งสองและยกอุ้งมือของมันกางกงเล็บและแสดงท่าทางลากกงเล็บผ่านลําคอของตัวมันเองอย่างเชื่องช้า…