ตอนที่ 184 Winner Winner Chicken Dinner!
วันที่ 9 มิถุนายน สองคิงชูผู้ซึ่งปัจจุบันทําหน้าที่เป็นคนเฝ้าบ้านให้กับเทพมือระเบิด พบว่าเมล้ดฮาวธอร์นนั้นได้แตกกลายเป็นต้นอ่อนแล้ว แม้ว่าตอนนี้มันยังเป็นเพียงแค่ต้นอ่อน แต่ภายใต้ดินพลังวิญญาณมันสามารถเติบโตได้เร็วกว่าปกติถึงสิบเท่า
เทพมือระเบิดได้ทําการค้นคว้าวิจัยดินพลังวิญญาณชนิดนี้ด้วยตัวของเขาเอง จึงทําให้มันมีประสิทธิภาพดีกว่าดินพลังวิญญาณตามท้องตลาดทั่วไปถึงหนึ่งร้อยเท่า ดินที่สามารถฟื้นคืนชีวิตให้แก่บล็อกโคลี่ที่สุกแล้วได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมล็ดพืชธรรมดาเลย
เทพมือระเบิดรู้ว่าดินพลังวิญญาณตัวนี้เป็นผลลัพธ์ที่ประสบความสําเร็จจากการค้นคว้าวิจัยของเขา และเป็นจุดเริ่มต้นที่สําคัญของเขาในการที่จะเป็นบิดาแห่งการเพาะปลูกหญ้าพลังวิญญาณในอนาคต
แม้ว่าที่จริงแล้วจะไม่มีใครทราบเลยว่าหลังจากเมล็ดฮาวธอร์นโตขึ้น และเด็กผู้หญิงปั้นโคลนคนที่เจ้าของร้านบะหมี่ทานซิมมิ่งบอก ท้ายที่สุดแล้วจะสามารถจบปัญหาเหล่านี้ได้หรือไม่
แน่นอนว่าเทพมือระเบิดไม่รู้เรื่องของวิเศษแฝดและไม่คิดว่าหน้ากากผีดิบอีกอันจะอยู่ในการครอบครองของเจียงหลิวเย่ เรื่องรางทั้งหมดเริ่มที่จะซับซ้อนขึ้น หนทางการแก้ไขไม่ใช่แค่เพียงผนึกหน้ากากนั้นอีกครั้ง…นั่นก็เพราะจอมมารกัวผีได้ทําการตกลงอะไรบางอย่างกับเจียงหลิวเย่และพร้อมที่จะหวนคืนอยู่โลกมนุษย์อีกครั้ง
ในระหว่างสองวันที่ผ่านมา มีภาพนิมิตบางอย่างผ่านเข้าสู่หัวของหวังลิ่งหลายครั้งหลายคราวแต่มันสั้นเกินไปจนเขาไม่สามารถจับใจความอะไรได้ มันเป็นภาพของชายคนนึงนั่งพิงกําแพงอยู่ในบ่อเลือดชุดสีขาวของเขาชุ่มไปด้วยเลือดนั่งก้มหน้าปิดตาหายใจอย่างแผ่วเบา..
นี่เป็นหนึ่งในความสามารถของตาสวรรค์ของเขาซึ่งมีความแม่นยํามากเสียยิ่งกว่าหนังตากระตุกทั้งสองสิ่งนั้นทํางานเหมือนกันก็คือการเตือนภัย สิ่งที่แตกต่างก็คือหนังตากระตุกจะเตือนภัย เฉพาะที่เกิดขึ้นกับเขา แต่ภาพนิมิตนั้นจะแสดงถึงบุคคลใกล้ชิดกับเขา
ภาพนิมิตของตาสวรรค์ปกติแล้วจะแสดงภาพให้เห็นแค่เพียงสามครั้ง และในแต่ละครั้งที่แสดงจะค่อยๆเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้มันแสดงให้เขาเห็นสองครั้งแล้ว ทําให้หวังสิ่งเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นผู้ชายซึ่งรอบข้างเต็มไปด้วยเลือด ดูเหมือนว่าเขายังจําเป็นต้องรอให้ภาพนี้เด่นชัดขึ้นในครั้งหน้า เพื่อที่เขาจะได้เห็นใบหน้าของผู้ชายคนนั้นชัดๆ
สายลมเขื่อยๆพัดผ่านหน้าต่างของห้องหวังสิ่งกระทบใบหน้าและเส้นผมของเขา เขาเลิกตาขึ้นและมองไปยังเพดานโป่งใสของเขา เขารู้สึกไม่สบายใจ
เขารู้ดีว่ามันมีบางสิ่งเกิดขึ้นแต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
อีกทางดานหนึ่ง หลังจากเจียงหลิวเยู่ทําข้อตกลงกับจอมมารกัวผี พวกเขาก็เริ่ม “ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน” ภายในร้านสะดวกซื้อส่วนหนึ่งของห้างสรรพสินค้า ซึ่งนักฆ่าสาวใช้เป็นสถานที่ฝึกวิชาลับของเธอ
หลังจากได้รับการถ่ายทอดวิชา เจียงหลิวเย่ก็เข้าใจวิชาฟื้นคืนสภาพขึ้นมาบ้าง เมื่อเธอเริ่มใช้งานมัน เธอรู้สึกถึงพลังแห่งจักรวาล เธอรู้สึกถึงมันได้หลังจากที่เธอเข้าใจเคล็ดวิชา เธอรู้สึกว่ามันเป็นวิชาที่ดึงเอาพลังวิญญาณที่เกินขอบเขตของโลก มาช่วยเร่งการฟื้นฟูพลัง แต่ทว่า โทษของการใช้วิชานี้ก็คือช่วงชีวิตของผู้ใช้จะสั้นลงดังนั้นมันจึงถือว่าเป็นวิชาต้องห้ามวิชาหนึ่ง
ช่วงชีวิตของผู้ใช้แลกกับพลังของผู้ฝึกตน.
เจียงหลิวเยได้แต่คิดว่า ถึงต่อให้มันจะเป็นวิชาต้องห้ามแต่ยังไงเสียมันก็ไม่อาจฝืนกฎของธรรมชาติได้
ผู้ฝึกตนระดับแก่นแท้วิญญาณมีช่วงชีวิตประมาณสองพันปี ถ้าหากเธอฟื้นคืนพลังได้กลับมาทั้งหมด ช่วงชีวิตของเธอจะถูกลดลงไปเป็นเวลา 600 ปี ตามระดับพลังของเธอ
เธอรู้ถึงความเสี่ยงดีแต่เธอไม่มีทางเลือก
หลังจากทดลองใช้วิชานี้สองครั้ง เธอรู้สึกว่าเธอสามารถกลับมาใช้วิชาเก่าๆของเธอได้มากขึ้น
จอมมารกัวผีซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเธอกําลังดูนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะ เธอใช้เวลาอยู่นานพอสมควรกว่าจะสอนจอมมารเข้าใจถึงวิธีใช้ นั่นก็เพราะ “คนแก่” มักจะซึมซับสิ่งใหม่ๆได้ช้า
เป็นเพราะว่าเขาถูกขัง(ขังตัวเอง)อยู่ในหน้ากากผีดิบมาเป็นเวลานาน จอมมารกัวไม่สามารถเลื่อนหน้าจอของนาฬิกาได้ จนเขาจําเป็นต้องปล่อยควันออกมาเพื่อออกเสียงคําสั่งแก่นาฬิกา
“ในยุคปัจจุบัน แม้แต่ใบขับขี่กระบี่บินยังมีกําหนดวันคู่วันคีด้วย? ถ้าหากฉันเป็นอิสระเมื่อไรฉันจะล้มล้างกฎหมายบ้าๆข้อนี้ทิ้ง…โอ้วนั่นมันเครื่องยนต์กลไกมีสี่ล้ออะไรดูดีขนาดนั้น ฉันจะมีโอกาสได้ขับขี่มันไหม?”
เจียงหลิวเยเริ่มที่จะชินกับการตื่นเต้นต่อโลกของจอมมารแล้ว
ที่แรกเธอสงสัยว่าเธอคนบ้านนอกเข้าเมือง…แต่หลังจากเธอได้มีเวลาคิดทบทวน เธอรู้สึกว่าจอมมารกัวผีนั้นเป็นหนึ่งในคนที่น่าสงสาร
ทั้งนี้เพราะเขาบังเอิญขังตัวเองไว้ในหน้ากากกว่าพันปี พอออกมาก็เจอเข้ากับเทคโนโลยียุคปัจจุบันเป็นครั้งแรกในชีวิต
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจากข้างหน้าร้าน และเธอได้ยินเสียงผู้ชายแปลกหน้า“สวัสดีครับ! มีใครอยู่ไหม? ของที่สั่งได้แล้วนะครับ!”
“ของที่สั่ง?” เจียงหลิวเย่แสดงสีหน้างุนงง
ภายในกลุ่มควันสีดํามีเสียงหัวเราะดังออกมา “ฉันสั่งมันมาเอง เมื่อสักครู่ฉันเห็นแอพที่ชื่อว่าRiceball ในนั้นมีของน่ากินเยอะแยะเต็มไปหมด!”
เจียงหลิวเย: “ฉันคิดว่าคุณในระดับนี้ คุณคงไม่สนใจในอาหารเหล่านั้นหรอกมั้ง…”
จอมมารกัวผี: “ผู้ฝึกตนสามารถมีชีวิตได้โดยที่ไม่ต้องกินอาหารและน้ําเป็นเวลาหลายวัน เพราะว่าพวกเรานั้นสามารถดูดซึมพลังวิญญาณมาใช้งานทดแทนได้ แต่มันก็ไม่แปลกที่เราจะอยากกินอาหารอร่อยๆ ในการที่จะลดค่าใช้จ่าย พวกบรรดาสํานักเก่าแก่สมัยอดีตได้หลอกลวงลูกศิษย์ในสํานักของตน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผิด!”
เจียงหลิวเย: “ ”
จอมมารกัวผี: “และอีกอย่าง เธอยังคงบาดเจ็บอยู่ใช่ไหม? เธอก็ต้องการสารอาหารที่เหมาะสมเพื่อที่จะไปซ่อมแซมส่วนที่เสียหายของร่างกาย!”
เจียงหลิวเย:
แต่คุณจอมมาร ไม่ใช่ว่าสถานะคุณในตอนนี้ไม่สามารถกินอะไรได้หรอ”
จอมมารกัวผีตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เธอไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนั้น แค่ช่วยฉันเปิด ประตูก็พอ”
เจียงหลิวเย่เดินไปเปิดประตูให้แต่ก็ยังคงสงสัยในคําพูดของจอมมารกัวผีอยู่
เมื่อเธอเปิดประตู เธอเห็นเด็กหนุ่มใส่ชุดสีขาวถือกล่องสี่เหลี่ยมสี่กล่องยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างหน้าประตู “สวัสดีครับ นี่เป็นอาหารที่คุณสั่งครับ ปีกไก่บนรสเผ็ดมาก สองร้อยชิ้นครับ”
เธอรับกล่องเหล่านั้นมา และทันใดนั้นเองเธอก็รู้สึกถึงควันดําพุ่งผ่านตัวของเธอไป
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะทันรู้สึกตัวหน้ากากผีดิบก็สวมเข้าที่ใบหน้าของเขาและปักตะขอเกี่ยวลงบนใบหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สองนาทีหลังจากนั้น จอมมารกัวผีก็ได้แลกเปลี่ยนวิญญาณกับร่างของเด็กหนุ่มเป็นที่เรียบร้อยและลุกขึ้นยืน
เขาถอดหน้ากากออกและยกมือขึ้นมาจับที่หน้าอก เขารับรู้ถึงแรงกระเพื่อมที่บริเวณหน้าอกมันเป็นเวลานานมากที่เขาไม่มีร่างเป็นของตัวเองจนเขาเกือบจะลืมความรู้สึกเหล่านั้นไปเสียแล้ว
โชคไม่ดีที่ร่างนี้มีข้อบกพร่องหลายอย่าง ร่างนี้มีระดับแค่เพียงแรกเริ่มลมปราณทําให้เขาใช้เวลาได้สูงสุดแค่เพียงครึ่งชั่วโมง ก่อนที่เขาจะต้องกลับเข้าสู่หน้ากาก
แน่นอนว่าเขาไม่ได้สนใจในเรื่องหยิบย่อยพวกนั้น
ในตอนนี้สิ่งสําคัญที่สุดก็คือปีกไก่รสเผ็ดมากทั้งสี่กล่องตรงหน้าของเขา
จอมมารเฒ่าผู้ซึ่งติดอยู่ในหน้ากากเป็นพันปีกําลังจ้องกล่องทั้งสี่กล่องในมือของเจียงหลิวเย่เขากลืนน้ําลายลงคอไปอีกใหญ่และพูดด้วยน้ําเสียงสั่นเครือ “ฉันติดอยู่ในหน้ากากเป็นพันปีไม่มีโอกาสที่จะได้กินน่องไก่สักน่อง ในที่สุดฉันก็สามารถกินเนื้อได้อีกครั้ง!”