เมื่อมาถึงนครเบรทเทล หานซั่วก็แนะนำเอลิซาเบธให้กับแจ็คและทุก ๆ คนได้รู้จัก หลังจากที่ฝากฝังและทิ้งคำสั่งไว้เล็กน้อย เขาก็มุ่งหน้าไปยังห้องลับ และจัดวางวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายในทันที
เมื่อมาถึงสุสานแห่งความตาย หานซั่วก็รู้สึกดีใจอย่างเหลือล้น เพราะแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวที่เคยไล่ตามตัวเขาราวกับเงา ได้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“มันหายไปแล้ว!”
หานซั่วร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
ตั้งแต่ตอนที่ออกจากหุบเขาทารัค หานซั่วก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่เสียดแทงเข้าไปถึงกระดูกจากราชาหกเขาแห่งเผ่าวิญญาณมาโดยตลอด แต่เมื่อเข้ามาภายในสุสานแห่งความตาย ความกดดันอันหนักอึ้งบริเวณหน้าอกกลับไม่รู้สึกอีกแล้ว
เขาเดินออกมาจากห้องโถง และมองลงไปยังกองกระดูกสีขาวราวหิมะใต้ฝ่าเท้า จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นไปยังท้องฟ้ามืดหม่น ตอนนั้นเอง ที่หานซั่วตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ดูเหมือนว่าเขตแดนที่ครอบคลุมทั่วทั้งสุสานแห่งความตายนั้นจะเป็นสิ่งที่ปิดกั้นหานซั่วจากราชาหกเขา ที่กำลังไล่ล่าวิญญาณของเขาอยู่ ตราบใดที่เขาอยู่ในสุสานแห่งความตาย หานซั่วเชื่อว่าราชาหกเขา จะไม่สามารถหาตัวเขาพบได้อย่างแน่นอน
** Please note : หากท่านไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้จากบล็อก https://gdk-th.blogspot.com/ แปลว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับคนที่กำลังสุขสบายกับการหาเงินง่าย ๆ ด้วยการใช้นิ้วคลิกก๊อบผลงานแปลของเพจไปขายอีกต่อหนึ่ง **
ก่อนที่จะมาถึงสุสานแห่งความตาย หานซั่วก็ได้พยายามอย่างหนักและคิดแผนการหนีไว้มากมาย เขาถึงกับคิดที่จะใช้คทาหัวกะโหลกส่งวิญญาณของตนเองเข้าไปในมิติมืดเพื่อใช้เป็นที่ลี้ภัยทันทีที่เข้ามายังสุสานแห่งความตาย แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นเสียแล้ว เพราะเขตแดนลึกลับของสุสานแห่งความตายกลับตอบโจทย์ความกังวลของเขาได้อย่างไม่คาดคิด
“สุสานแห่งความตายเอ๋ย… สุสานแห่งความตาย แกเก็บงำความลับไว้อีกมากมายแค่ไหนกันนะ?”
หานซั่วอดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญออกมา
เมื่อมันสามารถปิดกั้นสัมผัสอันทรงพลังของราชาหกเขาที่ไล่ล่าวิญญาณของเขามาโดยตลอดได้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะอธิบายว่าเขตแดนของสุสานแห่งความตายนี้ทรงพลังอำนาจมากแค่ไหน
สตรัทโฮล์มที่น่าสงสาร บางทีท่านอาจจะออกจากหุบเขาสแตรงเกิลธอร์นเพื่อหาที่ฝึกฝนอย่างสันโดษไปแล้วก็ได้ แต่ถึงท่านจะยังอยู่ในหุบเขาสแตรงเกิลธอร์น สุสานแห่งความตายก็ไม่ใช่ที่ที่ท่านสามารถเข้ามาได้อยู่ดี หานซั่วคิดในใจ
เมื่อปราศจากการคุกคามของราชาหกเขาที่แทบจะหายใจรดต้นคอเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อารมณ์ของเขาจึงผ่อนคลายขึ้นมาก หลังจากนั้น เขาก็นั่งขัดสมาธิ ณ จุดที่เขาใช้หล่อหลอมปีศาจอาคมก่อนหน้านี้ ก่อนจะก็นำคริสตัลที่เขาช่วงชิงมาได้ออกมาจากแหวนมิติ
ในบรรดาคริสตัลทั้ง 3 ลูก ลูกหนึ่งเต็มไปด้วยธาตุแห่งความตาย ลูกหนึ่งเต็มไปด้วยธาตุแห่งความมืด และลูกสุดท้าย ก็เปล่งพลังแห่งการทำลายล้างที่อาจทำให้ใครก็ตามที่ได้สัมผัสต้องสั่นเทิ้มด้วยความหวาดผวา คริสตัลแห่งการทำลายล้าง ซึ่งสตรัทโฮล์มเคยพูดไว้ว่า มีเพียงคนเสียสติเท่านั้นที่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับมัน
ตลอดทางที่พวกเขาหนีมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสนจักรแห่งแสงสว่าง หานซั่วถามสตรัทโฮล์มเกี่ยวกับวิธีที่จะนำคริสตัลต้นกำเนิดไปใช้ และในตอนนี้ ทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางดีแล้ว หานซั่วจึงเพ่งมองไปที่คริสตัลต้นกำเนิดซึ่งปลดปล่อยธาตุแห่งความตายอันบริสุทธิ์ออกมา
ด้วยคริสตัลต้นกำเนิดที่อยู่ในมือของหานซั่วซึ่งแผ่กระจายมวลธาตุแห่งความตายอันบริสุทธิ์ออกมา หานซั่วก็เข้าไปในคริสตัลต้นกำเนิดนั้นด้วยจิตของเขา และสัมผัสถึงธาตุแห่งความตายในปริมาณมหาศาลที่มิอาจหาสิ่งใดเทียบได้ซึ่งเก็บกักอยู่ภายในคริสตัล ต่อจากนั้น หานซั่วก็พยายามทำตามวิธีที่สตรัทโฮล์มอธิบาย เขาเปิดจิตให้โล่ง เพื่อให้คริสตัลต้นกำเนิดผสานรวมเข้ากับจิตของเขา
ทันใดนั้นเอง บางสิ่งที่หานซั่วไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็เกิดขึ้น จิตของเขาสัมผัสถึงธาตุแห่งความตายอันบริสุทธิ์ปริมาณมหาศาลได้ก็จริง แต่เมื่อเขาพยายามทำตามวิธีที่สตรัทโฮล์มอธิบาย ในการหลอมรวมจิตเข้ากับธาตุแห่งความตายนั้น จิตของเขากลับปิดกั้นตัวเองในทันที และไม่ยอมให้แม้เพียงเสี้ยวอณูเล็ก ๆ ของธาตุแห่งความตายเล็ดลอดเข้ามาภายในได้แม้แต่นิดเดียว
จิตของเขาปฏิเสธพลังของคริสตัลต้นกำเนิดอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้เขาไม่สามารถสร้าง “วิญญาณแห่งธาตุ” ซึ่งสตรัทโฮล์มและเทียน่าเคยพูดถึงได้
ตัวอ่อนปีศาจของหานซั่วมีความสามารถอันน่าทึ่งในการดูดกลืนพลังความชั่วร้ายและแปรเปลี่ยนพวกมัน แต่อย่างไรก็ตาม จิตของหานซั่วกลับไม่ยอมให้พลังงานที่ไม่สามารถเข้ากันได้กับเวทย์ปีศาจถูกดูดกลืนเข้ามาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งหานซั่วก็สัมผัสได้ถึงการต่อต้านของจิตอย่างชัดเจน
หรือว่าบางที คริสตัลแห่งการทำลายล้างอาจจะให้ผลดีกว่านี้ก็เป็นได้…
เมื่อเก็บคริสตัลต้นกำเนิดธาตุความตายกลับไปแล้ว หานซั่วก็หยิบคริสตัลที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้างออกมา และพยายามผสมผสานพลังแห่งการทำลายล้างนั้นเข้ากับจิตของเขาด้วยวิธีเดียวกัน
แต่แล้ว จิตของเขากลับเกิดการต่อต้านอีกครั้ง!
ซึ่งเหมือนกับก่อนหน้านี้ ไม่มีพลังแห่งการทำลายล้างแม้เพียงอณูเดียวที่จะสามารถเข้าไปยังจิตของเขาได้ เขาจึงไม่สามารถผสมผสานเข้ากับมันได้เลย
หานซั่วขมวดคิ้ว มือข้างหนึ่งถือคริสตัลต้นกำเนิดธาตุความตาย และอีกข้างหนึ่งถือคริสตัลแห่งการทำลายล้างเอาไว้ เขาคิดในใจ นี่ข้าอุตส่าห์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อไปเอาเจ้า 2 ลูกนี่มา ทั้ง ๆ ที่ผ่านอะไรมาตั้งเยอะจนเกือบเอาชีวิตไปทิ้ง แต่ข้ากลับไม่สามารถดูดกลืนพลังงานจากพวกมันได้เลย ความพยายามครั้งนี้สูญเปล่าชะมัด!
หานซั่วมีส่วนประกอบของร่างกายที่สำคัญ 3 อย่าง หนึ่งคือ ตัวอ่อนปีศาจ ซึ่งอยู่บริเวณท้องน้อยของเขา ตัวอ่อนปีศาจเป็นแหล่งกำเนิดและเป็นรากฐานของแก่นมนตรา ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้เวทย์ปีศาจ ส่วนประกอบอีก 2 อย่างที่สำคัญนั้นอยู่ในสมองของเขา อย่างแรกคือ จิต ซึ่งก่อร่างขึ้นหลังจากทิพยวิญญาณทั้ง 3 หลอมรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นรากฐานของทุกสิ่งซึ่งปรากฏอย่างชัดแจ้ง
และอย่างสุดท้าย ก็เหมือนกับตัวอ่อนปีศาจที่มีความสำคัญต่อผู้ฝึกฝนเวทย์ปีศาจ นั่นก็คือแหล่งกำเนิดและเก็บกักพลังงานภายในสมอง ซึ่งก็คือ พลังจิต อันเป็นแก่นของหานซั่วในฐานะจอมขมังเวทย์ผู้ใช้ความตาย เพื่อให้ใช้เวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายได้
ในบรรดาทั้ง 3 สิ่งนี้ แน่นอนที่สุดว่าสิ่งที่สำคุญที่สุดก็คือจิต ซึ่งคนทั่วไปรู้จักดีและเรียกว่า วิญญาณ จิตนั้นเต็มไปด้วยประสบการณ์และความทรงจำที่หานซั่วมี รวมทั้งความมีสติรู้ตัว รวมทั้งความรู้ความเข้าใจต่าง ๆ เกี่ยวกับเวทย์ปีศาจและศาสตร์แห่งความตาย
และจิตก็เป็นหลักฐานเดียวว่าบ่งบอกว่าหานซั่วยังคงมีชีวิต
เมื่อบรรลุเวทย์ปีศาจถึงระดับหนึ่ง หานซั่วย่อมไม่มีทางยอมให้อะไรเกิดขึ้นกับจิตของเขาอย่างแน่นอน เพราะมันคือรากฐานของเวทย์ปีศาจที่จะพัฒนาสู่ขั้นต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากคำอธิบายของสตรัทโฮล์ม หานซั่วก็ได้รู้ว่าหากผู้ใดต้องการเป็นเทพในศาสตร์แห่งเวทมนตร์ วิญญาณของคน ๆ นั้นจำเป็นต้องหล่อหลอม วิญญาณแห่งธาตุ ขึ้นมา และด้วยวิธีนั้นเท่านั้น วิญญาณของเขาจึงจะสมบูรณ์และมีความเข้าใจกับธาตุนั้นอย่างลึกซึ้งในระดับสูงสุด
แต่ถึงอย่างนั้น วิญญาณแห่งธาตุถือได้ว่าเป็นวิวัฒนาการทางวิญญาณอย่างหนึ่ง และการวิวัฒนาการก็หมายถึงการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่น่าเสียดายคือก่อนหน้านี้ วิญญาณของเขาได้กลายสภาพมาเป็นจิต ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาะสมอย่างที่สุดสำหรับการฝึกฝนเวทย์ปีศาจ ซึ่งถ้าหานซั่วไม่ได้แปรเปลี่ยนจิตให้กลับคืนสู่รูปวิญญาณตามเดิม คริสตัลต้นกำเนิดเหล่านี้ก็จะไม่มีความหมายใด ๆ ต่อเขาเลย ไม่ว่าในแง่มุมใด เมื่อเทียบระหว่างเวทย์ปีศาจกับเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย เวทย์ปีศาจก็คือเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับหานซั่วมาโดยตลอด เช่นนั้นแล้ว หานซั่วจึงไม่มีวันล้มเลิกต่อเวทย์ปีศาจของเขาอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ตัวเขาเองก็ไม่เชื่อว่า เขาจะไม่สามารถกลายเป็นเทพได้หากปราศจากการหล่อหลอมวิญญาณแห่งธาตุ หลังจากที่คิดใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง หานซั่วก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะผสานวิญญาณเข้ากับคริสตัลต้นกำเนิด
** Please note : หากท่านไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้จากบล็อก https://gdk-th.blogspot.com/ แปลว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับคนที่กำลังสุขสบายกับการหาเงินง่าย ๆ ด้วยการใช้นิ้วคลิกก๊อบผลงานแปลของเพจไปขายอีกต่อหนึ่ง **
ทั้งคริสตัลต้นกำเนิดธาตุความตาย การทำลายล้าง และความมืด หานซั่วไม่สามารถใช้การได้เลยสักลูก เขาวางคริสตัลทั้ง 3 ไว้เบื้องหน้า และครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรเพื่อใช้ประโยชน์จากพวกมันได้อย่างสูงสุด
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว แล้วเขาก็อัญเชิญเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กมาจากมิติมืดในทันที
“นี่สำหรับเจ้า รับไปสิ แล้วผสานวิญญาณของเจ้าเข้ากับพลังที่อยู่ในนั้น วิธีนี้จะทำให้เจ้าสามารถใช้พลังของธาตุแห่งความตายในมิติมืดได้ดีขึ้น”
หานซั่วพูดพร้อมกับยื่นคริสตัลต้นกำเนิดธาตุความตายให้กับเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก
“ขอบคุณ! ขอบคุณท่านพ่อ! ข้ารู้สึกได้ชัดเลยว่าเจ้าสิ่งนี้จะมีประโยชน์กับข้าอย่างคาดไม่ถึงเลยล่ะ นี่จะต้องเป็นขุมพลังที่ประเมินค่าไม่ได้ของเหล่าอสูรมิติมืดไม่ผิดแน่ ข้าไม่รู้ว่ามันจะเปลี่ยนข้าเป็นอะไร แต่ข้าก็มั่นใจว่าข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่นอนเลยล่ะ!”
เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กถือคริสตัลต้นกำเนิดที่แผ่ออร่าแห่งความตายอันบริสุทธิ์ออกมา เนตรอสูรสีม่วงของมันเปล่งประกายเจิดจ้า จนหานซั่วสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามันทั้งดีใจและตื่นเต้นมากแค่ไหน
“ดีแล้ว ข้าเองก็เชื่อว่าเจ้าต้องแข็งแกร่งขึ้นอีกเยอะเลย!”
หานซั่วพูดพร้อมรอยยิ้ม ขณะที่เขารู้สึกได้ถึงความปลาบปลื้มอันล้นปรี่ของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก
“ท่านพ่อ ถ้ามีเจ้านี่ ข้าต้องปราบเจ้ามังกรกระดูกได้แน่ ๆ ในโลกของข้า ข้าต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้วขอบเขตอิทธิพลของข้าก็จะได้ขยายเพิ่มขึ้นอีกเป็นร้อยเท่า!”
เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กพูดถึงความทะเยอทะยานของมันอย่างเริงร่า
“เอาล่ะ เจ้าไปเถอะ แล้วรีบผสานคริสตัลต้นกำเนิดธาตุความตายนี่เดี๋ยวนี้เลย เหมือนอย่างที่ข้าเคยสอนเจ้าไว้นั่นแหละ”
หานซั่วพูดพร้อมรอยยิ้ม และเมื่อเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กพยักหน้ารับ เขาก็ส่งมันกลับไปยังมิติมืดด้วยเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย
สำหรับคริสตัลต้นกำเนิดแห่งธาตุมืด นอกจากหานซั่วแล้ว ก็มีเพียงเอมิลี่เท่านั้นที่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างดีเยี่ยม เพราะไม่มีใครอื่นที่ฝึกฝนเวทมนตร์ธาตุมืดอีกแล้ว ดูเหมือนว่าครั้งนี้เอมิลี่จะต้องดีใจจนเนื้อเต้นแน่ ๆ หลังจากที่ผสานวิญญาณเข้ากับคริสตัลแห่งความมืด ความแข็งแกร่งของเธอจะต้องพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างไม่ต้องสงสัย
สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือคริสตัลแห่งการทำลายล้าง หลังจากใช้สมองคิดทบทวนอยู่นาน หานซั่วก็ยังคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรกับมันดี เขาจ้องมองไปยังคริสตัลแห่งการทำลายล้าง และพบว่าคริสตัลนั้นแลดูแตกต่างจากคริสตัลต้นกำเนิดแห่งธาตุลูกอื่น ๆ เมื่อวิญญาณของใครก็ตามผสานเข้ากับพลังแห่งการทำลายล้างอันไร้ที่สิ้นสุด คน ๆ นั้นจะกลายเป็นคนเสียสติที่รู้จักแต่การก่อให้เกิดความหายนะเท่านั้น
เขาถือคริสตัลแห่งการทำลายล้างไว้ และจ้องมองมันอีกนาน แต่สุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับมันต่อไป
ทันใดนั้น ความปราถนาอันไร้ที่สิ้นสุดในการฆ่าทำลายล้างอย่างโหดเหี้ยมก็พุ่งออกมาจากร่างของหานซั่ว เพียงเสี้ยววินาที คมมีดพิชิตมารก็บินออกมากจากด้านหลังต้นคอและมาหยุดลงตรงฝ่ามือของเขา ทั้งความอาฆาตแค้นและจิตสังหารแผ่ออร่าออกมาจากคมมีดพิชิตมาร จนปกคลุมไปทั้งสุสานแห่งความตาย
เส้นแสงสีเลือดเป็นประกายหลั่งไหลออกมาจากคมมีดพิชิตมารราวกับว่ามันมีชีวิต
หานซั่วเข้าใจทันทีว่า อาวุธสังหารซึ่งก็คือคมมีดพิชิตมารนั้นได้วิวัฒนาการจนกระทั่งสามารถสร้างวิญญาณของตัวมันเองขึ้นมาได้อย่างแท้จริง จากวันนั้นมา คมมีดพิชิตมารก็กลายเป็นอาวุธปีศาจที่ทรงพลังอย่างไร้เทียมทานไปแล้วในที่สุด
ขณะที่หานซั่วมองไปยังคมมีดพิชิตมารด้วยความตื่นเต้น คมมีดพิชิตมารก็บินออกไปจากมือขวาของเขา ซึ่งก่อนที่หานซั่วจะได้ทันตั้งตัว ใบมีดของมันก็เจาะผ่านคริสตัลซึ่งเต็มไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้าง
ขณะที่หานซั่วได้แต่ตะลึงงันจนทำอะไรไม่ถูก วิญญาณแท้จริงที่ก่อร่างขึ้นภายในคมมีดพิชิตมารก็เริ่มผสานตัวมันเองเข้ากับพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ในคริสตัล