ภายในโลกใต้พิภพ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก ตลอดทาง พวกเขายังคงเจอกลุ่มก็อบลินหน้าตาอัปลักษณ์และพวกมนุษย์ค้างคาวที่คอยดักปล้นอยู่เต็มไปหมด ทั่วทั้งโลกใต้พิภพวุ่นวายโกลาหลอย่างน่ากลัว สถานการณ์นั้นไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนแปลงแม้จะผ่านไปอีกกี่ร้อยปี
“กิลเบิร์ต เจ้าพอจะรู้เบาะแสอะไรบ้างรึเปล่าว่าเผ่ามังกรดำของเจ้ากำลังเจอกับหายนะอะไรกันแน่? เจ้าคงไม่ได้มืดแปดด้านขนาดนั้นหรอกใช่มั้ย?”
หานซั่วถามกิลเบิร์ตขณะที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าลงไปยังถิ่นที่อยู่ของเผ่ามังกรดำ
“นายท่าน ข้าไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ ท่านปู่ของข้าบอกมาผ่านกระดูกวาทะมังกรเพียงเท่านั้นเอง นอกจากนั้นแล้ว ข้าก็ไม่รู้อะไรสักอย่างเลย”
กิลเบิร์ตตอบด้วยหน้าตาบูดบึ้ง เขาอารมณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
ระหว่างทาง กิลเบิร์ตที่ดูกระวนกระวายก็เร่งเร้าให้หานซั่วเร่งฝีเท้าอยู่ตลอด แม้ว่ากิลเบิร์ตจะหนีออกมาเองก็จริง แต่ลึก ๆ แล้ว เขาก็ยังมีความรู้สึกผูกพันต่อเผ่ามังกรดำ มิเช่นนั้น เขาก็คงไม่อ้อนวอนหานซั่วอย่างอับจนหนทางถึงเพียงนี้
หลังจากที่เขาได้ติดตามและต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่หานซั่วมาเป็นเวลาหลายปี แม้ว่าจะได้พบเรื่องราวอันตรายมาบ้าง แต่ทั้ง 2 คนก็มักจะสามารถหนีรอดมาจากเงื้อมมือมัจจุราชได้เสมอ เพราะเหตุนี้เอง ที่ทำให้มังกรดำกิลเบิร์ตคิดอย่างฝังใจว่าหานซั่วคงสามารถรับมือกับอันตรายต่าง ๆ และไม่มีอะไรมาทำร้ายเขาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อทุกครั้งที่หานซั่วกลับมาที่สุสานแห่งความตาย ในฐานะมังกรดำที่เชื่อมโยงกับหานซั่วผ่านพันธสัญญา กิลเบิร์ตย่อมรู้ดีกว่าใครถึงพลังความแข็งแกร่งของหานซั่ว ดังนั้น เมื่อเขาได้รับสารจากปู่ของเขา เขาจึงนึกถึงหานซั่วขึ้นมาทันที และเชื่อว่ามีเพียงหานซั่วเท่านั้นที่จะช่วยให้เผ่ามังกรดำของเขารอดพ้นจากหายนะนี้ได้
เมื่อหานซั่วตระหนักว่าเขาคงไม่ได้ข้อมูลอะไรจากกิลเบิร์ตไปมากกว่านี้ เขาจึงไม่เสียเวลาถามอีกต่อไป และกิลเบิร์ตเองก็มีความเข้าใจในโลกใต้พิภพแห่งนี้มากกว่าหานซั่ว ดังนั้น ด้วยการนำทางของกิลเบิร์ต พวกเขาจึงไม่เสียเวลามากนักในชั้นแรกของโลกใต้พิภพ ที่ซึ่งเหล่าดาร์คเอลฟ์อาศัยอยู่ ก่อนจะลงไปยังถ้ำที่เหมือนหน้าผาอันสูงชัน และมาถึงชั้นถัดไปที่มืดกว่าเล็กน้อย
ไม่มีแสงสว่างใด ๆ เล็ดลอดลงมาถึงผาหินชั้นนี้ อีกทั้งยังดูเปราะบางกว่าชั้นที่ผ่านมา พืชนานาพรรณเรืองแสงยืนต้นตระหง่านสามารถพบเห็นได้ทั่วไป แสงสว่างในชั้นนี้มีไม่มากนัก จึงต้องใช้ความพยายามในการมองพอสมควร
“ตามข้ามา!”
กิลเบิร์ตพูดขึ้นขณะนำทางหานซั่วไปยังอุโมงค์แคบ ๆ เขาดูกระวนกระวายอย่างมาก
ตลอดทาง หานซั่วได้เรียนรู้คร่าว ๆ จากมังกรดำเกี่ยวกับภูมิประเทศทั่วไปของโลกใต้พิภพ ซึ่งมีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นบนสุด เป็นที่ ๆ พวกดาร์คเอลฟ์และมนุษย์กิ้งก่าอาศัยอยู่ ในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมด สิ่งมีชีวิตที่อยู่ชั้นบนสุดนั้นถือเป็นพวกที่อ่อนแอที่สุด แม้แต่เผ่าพันธุ์ดาร์คเอลฟ์โบราณที่หานซั่วได้พบก่อนหน้านี้ ก็นับว่าอ่อนแอกว่าเมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตในอีก 2 ชั้นที่เหลือ
แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตพิเศษอย่างราชากิ้งก่าโบราณนั้นถือเป็นข้อยกเว้น ในฐานะผู้ที่พัฒนาร่างจนอยู่เหนือจุดสูงสุดของสัตว์วิเศษทั้ง 5 ระดับ ไม่ว่าเขาจะอยู่แห่งหนใดในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ เขาก็ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังอำนาจอย่างที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม ถือเป็นเรื่องยากอย่างเหลือเชื่อที่จะพบสิ่งมีชีวิตหายากเช่นนั้น พวกมนุษย์กิ้งก่าส่วนใหญ่นั้นโง่เขลา และไม่ได้โชคดีอย่างราชากิ้งก่าที่จะพัฒนาร่างได้ถึงระดับ 5 ซึ่งครอบครองพลังแข็งแกร่งอันมหาศาลจนสามารถเดินทางออกไปจากภพนี้ได้
เผ่ามังกรดำนั้นอาศัยอยู่ในชั้นที่ 2 สิ่งมีชีวิตที่พบในชั้นนี้นับว่ามีความแข็งแกร่งอย่างมาก นอกจากเผ่าพันธุ์มังกรดำที่อาศัยอยู่ด้วยกันแล้ว ยังมีสัตว์วิเศษระดับสุดยอดที่แสนทรงพลังบางจำพวกที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษ ซึ่งในสถานการณ์ปกติทั่วไป สัตว์วิเศษระดับสุดยอดเหล่านี้ก็จะกบดานอยู่ในอาณาเขตของตัวเอง และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน
ส่วนมังกรดำก็เป็นประเภทที่ไม่มีผู้ใดกล้ายุ่ง นอกจากจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่น่าเกรงขามมากอยู่แล้ว พวกเขายังอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่ อีกทั้งยังถูกรายล้อมไปด้วยสัตว์วิเศษทรงพลังจำนวนมากที่อยู่ในชั้นที่ 2 ของโลกใต้พิภพ จึงไม่ค่อยมีใครอยากจะยั่วยุพวกมังกรดำมากนัก
แต่หานซั่วก็มั่นใจว่า เขาจะสามารถกำจัดภัยคุกคามใด ๆ ที่เกิดขึ้นในชั้นที่ 2 นี้ได้อย่างง่ายดาย
แต่ทว่า ในชั้นที่ 3 ของโลกใต้พิภพ กลับเป็นเขตแดนที่มีความลึกลับอย่างมาก และตามที่กิลเบิร์ตอธิบาย ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้เลยว่ามีสิ่งใดอาศัยอยู่ที่ชั้นล่างนั้น
ตามตำนานเล่าว่า มีอุโมงค์ที่เชื่อมต่อระหว่างชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 แต่อย่างไรก็ตาม กลับเป็นเรื่องยากอย่างเหลือเชื่อที่จะหาสัตว์วิเศษสักตัวที่รู้ว่าอุโมงค์นั้นอยู่ตรงไหน หรือต่อให้มีสัตว์วิเศษระดับสุดยอดที่บังเอิญโชคดีเจออุโมงค์นั้นเข้า และเดินทางเข้าไปยังชั้นที่ 3 ก็ไม่เคยมีตัวไหนได้กลับมาอีกเลย
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
ดังนั้น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชั้นล่างสุดนั้น จึงไม่มีใคร หรือสิ่งมีชีวิตตัวใด ที่รู้แน่ชัด
หลังจากที่ผ่านอุโมงค์แคบ ๆ นั้นเข้าไป กิลเบิร์ตก็พาหานซั่วเดินทางต่อเป็นระยะเวลานาน แล้วพวกเขาก็มาถึงพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยสันเขามากมาย มันเป็นหุบเขาขนาดใหญ่ที่มีสันเขาสูงทอดยาวสุดลูกหูลูกตา จากระยะไกล ดูราวกับเป็นรูปร่างของมังกรยักษ์ที่กำลังทอดกายปกป้องสถานที่แห่งนั้นอยู่
ทันทีที่พวกเขามาถึงบริเวณเขตแดน ประสาทดมกลิ่นที่ไวเป็นพิเศษของหานซั่วก็ได้กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ
“ข้าได้กลิ่นเลือด!”
ดวงตาของกิลเบิร์ตแดงก่ำและรื้นไปด้วยน้ำตา เขาร้อง
“ท่านปู่! ข้ากลับมาแล้ว กิลเบิร์ตกลับมาแล้ว!”
เสียงของกิลเบิร์ตดังก้องไปทั่วทั้งหุบเขา เขารีบมุ่งหน้าไปยังหุบเขาพลางร้องตะโกนถ้อยคำเหล่านั้น แล้วหานซั่วก็รีบตามไปทันที
“หนีไปซะ!”
จากห้วงลึกที่สุดของหุบเขา เสียงคำรามของชายชราที่เจือไปด้วยความหวาดกลัวก็ดังก้องขึ้น
“ท่านปู่ นั่นเสียงของท่านปู่นี่นา!”
กิลเบิร์ตทั้งประหลาดใจและดีใจอย่างที่สุดขณะหันไปหาหานซั่ว
“ท่านปู่ของข้าอยู่นั่น เขาไม่เป็นอะไร!”
“แต่ข้าคิดว่าเจ้าคงเสียคนในเผ่าไปบ้างแล้วนะ”
หานซั่วตะโกนเบา ๆ ก่อนจะคว้าตัวกิลเบิร์ตไว้ และเร่งความเร็วพุ่งตัวไปที่หุบเขาด้วยความเร็วราวสายฟ้า
เบื้องล่างของพวกเขา มีร่างของมังกรดำยาวกว่า 30 เมตรนอนกองอยู่บริเวณสันเขา ขณะที่หานซั่วและกิลเบิร์ตบินผ่านไป และมองลงไปยังเบื้องล่าง พวกเขาเห็นว่าร่างของมังกรดำตัวนั้นถูกฟันด้วยอาวุธมีคม มีบาดแผลน่าสะพรึงกลัวทั่วทั้งร่างมหึมานั้น
“ท่านลุงเดลิกซ์!”
กิลเบิร์ตจำร่างของมังกรดำที่ตายตัวนั้นได้และคำรามออกมาจนตาแทบถลน
อย่างไรก็ตาม มังกรดำตัวนั้นก็ไม่ใช่แค่ศพเดียว
ขณะที่พวกเขายังคงบินผ่านหุบเขาไปเรื่อย ๆ ร่างไร้ชีวิตของมังกรดำก็ปรากฏอยู่เบื้องล่างถึง 3 ร่าง มังกรทั้ง 3 ตัวนี้คงต้องทนทุกข์ทรมานก่อนตายอย่างแน่นอน ทั่วทั้งร่างของพวกมันเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยเฉือน ร่างหนึ่งถึงกับถูกฟันขาดเป็น 3 ส่วนอย่างน่าตกใจ
กิลเบิร์ตรู้จักกับมังกรดำทั้ง 4 ตัว ที่ถูกฆ่า โดนเฉพาะร่างมังกรดำขนาดมหึมาที่ตายอย่าน่าเวทนาที่สุดซึ่งถูกฟันร่างขาด 3 ส่วน เขาโศกเศร้าเสียใจจนแทบสิ้นสติ และร้องไห้โฮออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
เพราะร่างนั้นก็คือพ่อของกิลเบิร์ตนั่นเอง!
“เจ้าเด็กบ้า! หนีไป! หนีไปให้ไกล!”
เสียงร้องอย่างตื่นตระหนกราวกับกำลังกระอักเลือดดังออกมาจากห้วงลึกของหุบเขา เมื่อผสมกับเสียงร้องที่เจ็บปวดรวดร้าวของกิลเบิร์ต ในใจของหานซั่วเริ่มเยียบเย็นขึ้นถึงขีดสุด ทำให้เขาอยากจะทรมานผู้ใดก็ตามที่ก่อเรื่องนี้ขึ้นมาทรมานโดยการฉีกทึ้งเนื้อหนังออกเป็นพัน ๆ ชิ้นอย่างช้า ๆ
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้จิตเพื่อสำรวจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นข้างใน เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีพลังมหาศาล หานซั่วยังรู้สึกได้ว่าออร่าของพวกเขามีความคล้ายคลึงกับจ้าวแห่งเวทมนตร์ธาตุน้ำทิอาน่าอย่างน่าประหลาด เมื่อความรู้สึกนี้ผุดขึ้นในใจ ความปราถนาที่จะสังหารก็ยิ่งพลุ่งพล่านมากขึ้นเท่านั้น
“เร็วเข้า! รีบไปที่หุบเขาให้เร็วสุดชีวิตเลย!”
ในขณะที่กิลเบิร์ตร้องห่มร้องไห้จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ หานซั่วก็จับเขาไว้แน่นและรีบเหาะไปยังหุบเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“มาอีกตัวนึงแล้ว หึหึหึ น่าสนุกดีนี่!”
ทันใดนั้น น้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม และเสียงพ่นลมอย่างเย็นชาก็ดังมาจากห้วงลึกของหุบเขา
“ข้าจะฆ่าพวกมันเอง! ข้าจะฆ่าพวกมัน! ไม่ว่าพวกมันจะเป็นใคร! ข้าจะฆ่าให้หมด!”
มังกรดำกิลเบิร์ตพูดคำเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมา ท่าทางที่เคยเหยาะแหยะและมีความสุขไปวัน ๆ ของเขาหายไปจนสิ้น
ในตอนนั้น สิ่งที่เหนือไปกว่าความโศกเศร้า บางทีสิ่งที่กิลเบิร์ตกำลังรู้สึกอยู่ทั้งหมด ก็คือความโกรธเกลียดเคียดแค้นที่ฝังรากลึกภายในใจ
ในที่สุด หานซั่วที่ลากกิลเบิร์ตมาด้วย ก็มาถึงบริเวณหุบเขาที่ใหญ่ที่สุด
สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาของหานซั่วคือกรงสีขาวบริสุทธิ์ขนาดมหึมาซึ่งทำจากวัสดุใดมิอาจรู้ได้ ด้านในกรงมีมังกรดำราว 17 คนที่อยู่ในร่างของมนุษย์ที่มีผิวสีดำราวน้ำหมึก มีทั้งคนชราไปจนถึงคนหนุ่มสาว พวกเขาทุกคนต่างสวมปลอกคอ ซึ่งไม่เหมือนกับปลอกคอสุนัขทั่วไป มีบาดแผลถูกเฆี่ยนที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดอยู่เต็มใบหน้าของพวกเขา แม้แต่มังกรดำที่อยู่ในร่างของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ก็ยังไม่ละเว้น มีร่องรอยของบาดแผลเหวอะอยู่บนแก้มของเธอ และยังมีเลือดสด ๆ ไหลออกมา ราวกับว่าเธอเพิ่งจะถูกเฆี่ยนมาได้ไม่นาน
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
รอบ ๆ กรง มีคน 6 คน ซึ่งสวมใส่อยู่ในชุดสีขาวราวหิมะ พวกเขามีสีหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง และเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมไร้ปราณี
ในกลุ่มคนนั้น มีชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาราวกับเป็นรูปสลักอันวิจิตร เขามองมาที่หานซ่วและกิลเบิร์ตด้วยรอยยิ้มเย็นชา มือทั้งสองไขว้อยู่ด้านหลัง ลักษณะท่าทางของเขาดูคล้ายคลึงกับทิอาน่าอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นคนที่มีพลังความแข็งแกร่งมากที่สุดในกลุ่ม — เพราะเป็นถึงครึ่งเทพ!
“เจ้าสัตว์เลื้อยคลานโง่เง่าโผล่มาอีกตัวแล้ว!”
ชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นจ้องมองกิลเบิร์ตราวกับสายตาที่กำลังมองดูสัตว์เลี้ยง ก่อให้เกิดความรู้สึกที่หยามเหยียดอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขาก็หันมาที่หานซั่ว
“เจ้าเป็นใครกัน?”
“เจ้ารู้จักทิอาน่าด้วยสินะ?”
หานซั่วถามขึ้นแทนคำตอบ
ชายวัยกลางคนรูปหล่อและคนอีก 6 คนในชุดสีขาวค่อย ๆ มีสีหน้าท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะขมวดคิ้วและพูดขึ้น
“เจ้ารู้จักน้องสาวคนเล็กของข้า เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“พวกเจ้านั่นแหละเป็นใคร?”
หานซั่วหยุดและตะโกนถาม
“พวกเรามาจาก อารามแห่งน้ำแข็ง ข้าคือ น้ำแข็งสวรรค์โครีย์ เจ้ารู้จักกับทิอาน่าน้องสาวของข้าได้ยังไง !? เจ้าคือใคร? เป็นมิตรหรือศัตรู!?”
ชายผู้มาจากอารามแห่งน้ำแข็งที่มีนามว่าโครีย์ เอ่ยถามอย่างเย็นชา ขณะที่ดวงตาจับจ้องมายังหานซั่ว
*******************************************