“ท่านหมายความว่ายังไง?”
กิลเบิร์ตถามอย่างงุนงง
“เอลิซาเบธอยู่ในนครเบรทเทล ข้าคิดว่าเธอคงช่วยเราได้”
หานซั่วอธิบาย
เอลิซาเบธคือผู้ที่ถูกศาสนจักรแห่งแสงสว่างหมายหัวเอาไว้ เธอมีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสามารถดูดกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์จากเหล่าสาวกของศาสนจักรแห่งแสงสว่างได้ หานซั่วรู้สึกว่าเธอน่าจะสามารถดูดกลืนและเคลื่อนย้ายพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในกรง และเมื่อไม่มีการป้องกันจากพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพีน้ำแข็งแล้ว หานซั่วก็มั่นใจเต็มร้อยว่าเขาจะสามารถทำลายกรงหยกน้ำแข็งได้อย่างแน่นอน
“ยัยนั่นเนี่ยนะ?”
กิลเบิร์ตไม่ปักใจเชื่อ แต่เมื่อเขาเห็นหานซั่วมั่นใจในความคิดนี้ เขาจึงเอ่ยถาม
“เธอไว้ใจได้ได้แน่ใช่มั้ย?”
“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ลองดูก็คงไม่เสียหายอะไรหรอก”
หานซั่วตอบ
“ท่าน… ท่านชื่อไบรอันใช่มั้ย?”
กิลเกส หัวหน้าเผ่ามังกรดำเงยหน้าขึ้นถาม
“ใช่แล้ว”
หานซั่วตอบ
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ เผ่ามังกรดำของเราจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้ชั่วชีวิต”
กิลเกสโค้งคำนับให้หานซั่ว จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและพูดต่อ
“เหตุผลที่พวกอารามแห่งน้ำแข็งมาที่นี่ ฆ่าคนในเผ่าของข้าและจับพวกเราขังเอาไว้ ก็เพื่อทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเราให้กลายเป็นพาหนะของพวกมัน ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือ พวกมันต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางที่นำไปสู่ชั้นที่ 3 จากข้า”
ชั้นที่ 3 ของโลกใต้พิภพงั้นรึ!
หานซั่วชะงักไปทันที ก่อนจะจ้องมองไปยังหัวหน้าเผ่ามังกรดำด้วยดวงตาเป็นประกาย และร้องถาม
“เรื่องราวมันเป็นไงมาไงกันแน่?”
ในเมื่อกิลเกสเริ่มจะเปิดประเด็นเรื่องชั้นที่ 3 ของโลกใต้พิภพขึ้นมาเอง ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจที่จะบอกเล่าสถานการณ์ทั้งหมดของโลกใต้พิภพอย่างตรงมาตรงไป บางอย่างที่แม้แต่หานซั่วเองก็คาดไม่ถึง
“เมื่อ 2 ปีก่อน ตอนที่กิลเบิร์ตกลับมา ข้ารู้มาจากเขาว่าท่านเป็นผู้ครอบครองคทาหัวกะโหลก และจากนั้นมา ข้าก็เลิกห้ามปรามเขาไม่ให้ติดตามเคียงข้างท่าน นั่นก็เป็นเพราะผู้ที่ครอบครองคทาหัวกะโหลกจะไม่มีวันเป็นศัตรูกับพวกเราเผ่ามังกรดำอย่างแน่นอน”
หัวหน้าเผ่ามังกรดำพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขณะที่เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของหานซั่ว
หานซั่วรู้สึกสับสนมากกว่าเดิม ดูเหมือนว่ากิลเกสจะรู้ถึงที่มาของคทาหัวกะโหลกเป็นอย่างดี เขาจึงหยิบคทาหัวกะโหลกออกมา และมองไปยังหัวหน้าเผ่ามังกรดำด้วยสายตาแปลก ๆ ก่อนจะเอ่ยถาม
“ท่านพูดแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”
“นั่นก็เพราะว่า เมื่อ 5,000 ปีก่อน เผ่าพันธุ์มังกรดำของเราเคยทำศึกสงครามภายใต้การบัญชาของผู้เป็นเจ้าของคทาหัวกะโหลกคนแรก เหตุผลที่พวกเรามังกรดำอยู่ในชั้นที่ 2 ของโลกใต้พิภพ ก็เป็นเพราะคำสั่งของเขานั่นแหละ เพื่อให้พวกเราคอยป้องกันไม่ให้ใครก็ตามบุกรุกเข้าไปยังชั้นที่ 3 ของโลกใต้พิภพ”
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
“ข้ายังได้ยินมาจากกิลเบิร์ตด้วย ว่าท่านได้พบกับราชากิ้งก่าโบราณดากัสซีมาแล้ว ราชากิ้งก่าโบราณดากัสซีเองก็เป็นสัตว์เลี้ยงวิเศษของเขาเช่นกัน ดากัสซีคงบอกอะไรกับท่านมาบ้าง แล้วใช่มั้ย?”
กิลเกสถาม
“ไม่เลย ดากัสซีเอาแต่พูดถึงเรื่องที่ผ่านมาของเขา และบอกข้าเพียงแค่ว่าข้าจะรู้ความจริงทั้งหมดจากคทาหัวกะโหลกเอง แต่ไม่ว่ายังไง ตอนนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจความลับที่ซ่อนอยู่ในคทาหัวกะโหลกนี่มากเท่าไหร่ ซึ่งถ้าท่านบังเอิญรู้อะไรล่ะก็ ข้าก็หวังว่าท่านจะบอกข้าได้”
หานซั่วร้องขอขณะมองไปยังกิลเกส ในใจเต็มไปด้วยคำถาม
กิลเกสส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้มขมขื่น ความกระหายใคร่รู้ในสายตาของหานซั่วบังคับให้เขาต้องรวบรวมความพยายามและพูดออกมา
“ข้าเพิ่งอยู่มาแค่ 2,000 ปีกว่าเท่านั้น และข้าเองก็รู้เรื่องพวกนี้มาจากบันทึกของบรรพบุรุษที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง สิ่งที่ข้ารู้จึงถือว่าน้อยมากทีเดียว”
“แล้วท่านรู้อะไรมาบ้างล่ะ?”
หานซั่วถามต่อ
ด้วยสายตาที่จ้องมองมาของหานซั่ว กิลเกสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น
“เมื่อ 5,000 ปีก่อน มีมหาสงครามครั้งใหญ่ที่เกี่ยวพันไปถึงเหล่าผู้แข็งแกร่งและทรงพลังแห่งอาณาจักรแห่งความลึกล้ำทุกกลุ่ม มันเป็นหายนะครั้งใหญ่หลวง ดูเหมือนว่าจะมีแม้กระทั่งยอดฝีมือจากภพอื่น ๆ เข้าร่วมด้วย แต่ฝ่ายของผู้ครอบครองคทาหัวกะโหลกและพวกเรามังกรดำนั้นดูเหมือนจะพ่ายแพ้ในมหาสงคราม ผู้นำหลายคนทางฝั่งเราต่างหลบหนีไป ในขณะที่บางคนก็ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น ฝ่ายเราต้องทุกข์ทนกับความสูญเสียอย่างร้ายแรง เรียกได้ว่ามีเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังมากมายฝ่ายเราถูกกวาดล้างจากอาณาจักรแห่งความลึกล้ำไปตลอดกาลเลยทีเดียว เผ่ามังกรดำจึงคิดว่าแค่นี้พวกเราก็โชคดีมากพอแล้ว แม้ว่าจะถูกสั่งให้อยู่แต่ในชั้นที่ 2 ของโลกใต้พิภพนับแต่นั้น แต่อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ถูกล้างเผ่าพันธุ์
เพราะฉะนั้นข้าก็เลยไม่รู้เรื่องของเผ่าพันธุ์อื่นเลย และที่พวกเรามังกรดำต้องอยู่ที่นี่ตามคำสั่ง อย่างแรกเลย ก็เพื่อที่จะซ่อนตัวจากการไล่ล่าของฝ่ายที่ชนะ และอย่างที่สอง พวกเราต้องคอยคุ้มกันทางเข้าที่เชื่อมต่อไปยังชั้นที่ 3
เมื่อผู้ถือครองคทาหัวกะโหลกคนแรกออกคำสั่งกับพวกเรา เขายังบอกอีกด้วยว่า อีก 5,000 ปีหลังจากนั้น จะต้องมีศัตรูทรงพลังที่พยายามจะลงมาข้างล่างนี่อย่างไม่ต้องสงสัย เขาบอกว่า ตราบใดที่พวกเรามีชีวิตรอดพ้นจากหายนะ และยึดมั่นอยู่ที่นี่ตราบจนเวลาหลังจาก 5,000 ปีเต็มนี้ผ่านไปได้ พวกเราก็สามารถเป็นอิสระ และไม่จำเป็นจะต้องปกปักรักษาที่นี่อีก
นี่คือทั้งหมดที่ข้ารู้ ส่วนเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อ 5,000 ปีก่อน และเหตุผลว่าทำไมเราถึงพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ใครคือศัตรู หรือแม้แต่มีอะไรซ่อนอยู่ในชั้นที่ 3 …. ข้าเองก็ไม่รู้เลยจริง ๆ”
หานซั่วจมลงสู่ห้วงความคิด สิ่งที่เขามั่นใจได้ก็คือ การที่เจ้าของเดิมของคทาหัวกะโหลกเป็นผู้นำทางฝ่ายนี้ตั้งแต่เมื่อ 5,000 ปีก่อน ถึงได้ทิ้งคำสั่งไว้กับพวกมังกรดำแบบนั้น และไม่ว่ายังไง ผู้ถือครองคทาหัวกะโหลกก็จะต้องยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นแล้ว เขาก็คงไม่สามารถเตรียมมาตรการเอาไว้มากมายขนาดนี้
ในตอนนั้นเองที่หานซั่วรู้สึกว่าตำนานที่เล่าขานกันในโลกภายนอกไม่ได้มีความใกล้เคียงความเป็นจริงเลยสักนิด เพราะตามเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมา สุสานแห่งความตายนั้นสร้างขึ้นจากกลุ่มนักเวทย์ผู้ใช้ความตาย ซึ่งใช้สุสานแห่งความตายนั้นก็เพื่อศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับศาสตร์ลี้ลับของศาสตร์แห่งความตาย แต่เมื่อพวกเขาได้กระทำการหลาย ๆ อย่างที่ส่อถึงความเลวทรามต่ำช้าและไร้ศีลธรรม เหล่านักเวทย์จากทุกแขนงจึงร่วมมือกันทำลายล้างพวกเขา แล้วสุสานแห่งความตายก็หายสาบสูญไปพร้อมกันนั้นเอง
ในฐานะนักเวทย์ผู้ใช้ความตาย หานซั่วได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มานักต่อนัก แต่เมื่อคาดคะเนเอาจากความจริงในเหตุการณ์ต่าง ๆ เขาก็สรุปได้ว่า เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาพวกนี้จะต้องอยู่มาไม่ถึงสหัสวรรษอย่างแน่นอน และในตอนนี้เมื่อเขาได้ยินเรื่องที่กิลเกสพูดถึงเรื่องเมื่อ 5,000 ปีก่อน หานซั่วจึงยิ่งมั่นใจว่าสุสานแห่งความตายจะต้องอยู่มานานมากกว่านั้น
ทันใดนั้นเอง หานซั่วก็นึกขึ้นมาได้ว่ากิลเกสมีชีวิตอยู่มามากกว่า 2,000 ปี เขาจึงเอ่ยถามอีกครั้ง
“ในเมื่อท่านอยู่มานานกว่า 2,000 ปี ท่านเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสุสานแห่งความตายบ้างรึเปล่า แล้วก็ตำนานเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นด้วย?”
“แน่นอน กว่า 2 สหัสวรรษที่ผ่านมา ข้าก็ไม่ได้ตัดขาดจากเรื่องของโลกภายนอกเสียทีเดียว ถ้ามีอะไรที่เป็นเรื่องที่สำคัญ ข้าก็พอจะรู้อยู่บ้าง”
กิลเกสพยักหน้า และพูดต่อในทันที
“ว่าแต่… ท่านหมายถึงตำนานเรื่องไหนล่ะ?”
หานซั่วรู้สึกดีใจขึ้นมาทันที เขารีบเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่ผู้คนกล่าวขานกันถึงสุสานแห่งความตาย จากนั้น เขาเอ่ยปากถามด้วยดวงตาเปล่งประกาย
“เรื่องพวกนี้เป็นความจริงรึเปล่า?”
กิลเกสส่ายหน้าและตอบ
“เมื่อสักพันปีก่อน มีนักเวทย์ผู้ใช้ความตายมารวมตัวกันที่สุสานแห่งความตายเป็นความจริง และเรื่องที่พวกเขาค้นคว้าเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายที่พิสดารมากมายนั่นก็จริงอยู่ ซึ่งในท้ายที่สุด พวกเขาก็ถูกตามล่าจากเหล่านักเวทย์ทั่วทั้งอาณาจักร นั่นก็จริงเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่สร้างสุสานแห่งความตายขึ้นมาอย่างแน่นอน ก็เหมือนกับท่านนั่นแหละ พวกเขาครอบครองสุสานแห่งความตาย แต่ไม่ใช่ผู้ที่สร้างมันขึ้นมา
แม้จะไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน แต่ข้าก็เชื่อว่าสุสานแห่งความตายนั้นถูกสร้างขึ้นโดยผู้เป็นเจ้าของคทาหัวกะโหลกคนแรก และก็เหมือนที่พวกเราเผ่าพันธุ์มังกรดำที่ปกปักรักษาอุโมงค์มาถึง 5,000 ปี การที่ท่านผู้นั้นสร้างสุสานแห่งความตายขึ้นมา มันจะต้องมีวัตถุประสงค์อันลึกซึ้งที่แฝงเร้นอยู่อย่างแน่นอน”
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
“ถ้าอย่างนั้น ท่านรู้ถึงที่มาที่ไปของศาสนจักรแห่งความหายนะบ้างรึเปล่า? ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ปรากฏตัวในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำมาเป็นเวลายาวนานมากทีเดียว ทำไมพวกเขาถึงถือว่าสุสานแห่งความตายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์? แล้วพวกเขารู้เกี่ยวกับพลังมหัศจรรย์ทั้ง 3 อย่างของคทาหัวกะโหลกได้ยังไง?”
หานซั่วสงสัยและถามกิลเกสด้วยน้ำเสียงรบเร้า
“ข้าพอรู้เกี่ยวกับศาสนจักรแห่งความหายนะมาบ้าง ตำนานที่ท่านพูดถึงเกี่ยวกับสุสานแห่งความตาย นอกจากว่ามันสร้างขึ้นโดยเหล่านักเวทย์ผู้ใช้ความตายแล้ว เรื่องที่เหลือส่วนมากก็เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น
ศาสนจักรแห่งความหายนะ ถูกก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มนักเวทย์ผู้ใช้ความตายกลุ่มเดียวกันกับผู้ที่ครอบครองสุสานแห่งความตายแต่แรกเริ่ม ซึ่งในช่วงเวลานั้น พวกเขาก็สรรค์สร้างเวทมนตร์น่าสะพรึงกลัวขึ้นมากมายภายในสุสานแห่งความตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘มหาเวทย์กาฬโรค’ ที่เปลี่ยนให้ผู้คนที่อาศัยในเมืองต่าง ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนให้กลายเป็นผีดิบ
ดังนั้น พวกเขาจึงกลายเป็นศัตรูของทั้งอาณาจักรไปทันที และถูกกวาดล้างโดยเหล่านักเวทย์จากทั่วทุกจักรวรรดิในที่สุด อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่าจะฆ่าคนพวกนี้ให้ตายได้ง่าย ๆ พวกเขาไม่ได้ถูกกำจัดไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งพวกที่โชคดีไม่กี่คนที่รอดชีวิตก็ไม่กล้าจะโผล่หน้าออกมายังที่สาธารณะอีก และต้องอาศัยอยู่ในเงามืดตลอดกาล
ข้าคงต้องบอกว่า คนพวกนี้ทั้งทรงพลังและไร้เทียมทานอย่างที่สุด แม้แต่การรวบรวมกำลังจากทั่วทั้งอาณาจักรเพื่อทำลายพวกเขา ก็ยังไม่สามารถกำจัดพวกเขาได้อย่างสิ้นซาก และพวกที่อยู่รอดก็ทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่องค์ความรู้ในศาสตร์แห่งความตายก็ถูกหล่อหลอมอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งพวกเขาเริ่มรวบรวมเหล่ายอดฝีมือที่ร้ายกาจจากทั่วทั้งอาณาจักรแห่งความลึกล้ำได้อีกครั้ง
จนกระทั่งเหล่านักเวทย์ผู้ใช้ความตายที่ทรงพลังเหล่านั้นได้ทลายสถิติใหม่ และก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ของเวทมนตร์ในแขนงนั้น ซึ่งก็คือความสามารถในการสื่อสารกับเหล่าปีศาจและเทพอสูร พวกเขาจึงก่อตั้งศาสนจักรแห่งความหายนะขึ้นมาเพื่อบูชาเทพอสูร ได้รับชื่อเสียงด้านความชั่วร้ายในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ และพวกเขาก็เจริญรุ่งเรืองจนถึงจุดที่แม้แต่ศาสนจักรแห่งแสงสว่างก็แทบจะไม่สามารถปราบปรามพวกเขาได้
สุสานแห่งความตายถึงถือเป็นบ้านเกิดของพวกเขา และยังเป็นสถานที่ที่สมาชิกระดับสูงรุ่นแรกของศาสนจักรแห่งความหายนะทำการค้นคว้าเกี่ยวกับศาสตร์แห่งความตาย สำหรับพวกเขาแล้ว สุสานแห่งความตายก็เป็นเหมือนกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั่นล่ะ”
กิลเกสจ้องมองหานซั่วและอธิบายอย่างต่อเนื่อง
“อย่างงี้นี่เอง!”
จากคำอธิบายของกิลเกส หานซั่วก็เข้าใจเสียทีว่าสุสานแห่งความตายเกี่ยวข้องกับศาสนจักรแห่งความหายนะอย่างไร ในเมื่อเรื่องกลายเป็นว่า สุสานแห่งความตายคือห้องทดลองของเหล่านักเวทย์ผู้ใช้ความตายผู้ชั่วร้ายที่ก่อตั้งศาสนจักรแห่งความหายนะขึ้นมา และเหล่าผู้ก่อตั้งก็สรรค์สร้างเวทมนตร์ที่ชั่วร้ายมากมายขึ้นที่นั่น ไม่แปลกใจเลยทำไมวูล์ฟมักจะพูดเสมอว่าหานซั่วและเขาเป็นพวกเดียวกัน
**************************************