นอกจากเรื่องของคริสตัลต้นกำเนิด หานซั่วก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวการพบกันกับปีศาจเฒ่าและทิอาน่าที่หุบเขาทารัค แม้แต่เหตุการณ์ที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรแห่งแสงสว่างที่ตั้งอยู่ในจักรวรรดิโอเดนก็ถูกเปิดเผยด้วยเช่นกัน
คานไดด์ฟังหานซั่วอธิบายเรื่องราวตั้งแต่เริ่มต้นจนจบอย่างตั้งใจ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันอย่างเคร่งเครียด
“ท่านคานไดด์ เรื่องของพวกกลุ่มมหาอำนาจในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ กับพวกเผ่าวิญญาณ ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับพวกนั้นบ้างมั้ย?”
เหตุผลที่หานซั่วยอมเปิดเผยทุกอย่างก็เพื่อที่จะถามคานไดด์ว่าเขารู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของพวกนั้นหรือไม่
“ทิอาน่าเป็นผู้พิทักษ์แห่งจักรวรรดิคาซี เธอเป็นผู้ที่มีพลังในระดับเทพ และเป็นบุคคลที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกับจ้าวแห่งเวทมนตร์ธาตุมืด อัลเมริค คอตต้อน แห่งจักรวรรดิแลนซล็อตของเรา บอกตามตรง ข้าไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้!”
คานไดด์ร้องอุทาน
อัลเมริค คอตต้อน? ยัยนั่นอยู่ในยุคสมัยเดียวกับเขาเรอะ!? หานซั่วเองก็รู้สึกแปลกใจไม่แพ้กัน
อัลเมริค คอตต้อนเป็นหนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิแลนซล็อต และเป็นเพราะเขา จักรวรรดิแลนซล็อตจึงยังคงยืนหยัดได้อย่างภาคภูมิและทรงอิทธิพลมาจนถึงทุกวันนี้
แต่อย่างไรก็ตาม จ้าวแห่งเวทมนตร์ธาตุมืด อัลเมริค คอตต้อน ก็เป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่ตั้งแต่เมื่อ 500 ปีก่อน! เมื่อทราบข้อมูลจากคานไดด์ หานซั่วก็รู้ในที่สุดว่าทิอาน่ามีชีวิตอยู่มานานแค่ไหน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม แม้แต่ปีศาจเฒ่าสตรัทโฮล์มที่มีชีวิตอยู่มานานถึง 2 แผ่นดินจะเรียกเธอว่า ‘พี่หญิงทิอาน่า’
“นอกจากทิอาน่าแล้ว เรื่องของพวกศาสนจักรแห่งแสงสว่างกับเผ่าวิญญาณล่ะ ท่านรู้เรื่องของพวกนี้บ้างมั้ย?”
หานซั่วถามพลางจ้องมองไปยังคานไดด์ด้วยสีหน้าเลื่อนลอย
“จ้าวแห่งอัศวินกับจ้าวแห่งเวทมนตร์ธาตุแสงของศาสนจักรแห่งแสงสว่างที่เจ้าพูดถึงน่ะ ข้าก็เคยอ่านเจอเกี่ยวกับพวกเขามาจากตำราโบราณมาบ้าง ทั้งคู่เป็นบุคคลของศาสนจักรฯ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ร่ำลือตั้งแต่เมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อน แต่ทุกคนเข้าใจว่าพวกเขาแก่ตายไปแล้ว ซึ่งพอได้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่มาโดยตลอดนี่ก็เป็นอะไรที่เกินความคาดหมายจริง ๆ
ส่วนนักบุญแห่งศาสนจักรแห่งแสงสว่าง แล้วก็เผ่าวิญญาณแห่งหุบเขาทารัค ข้าไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลย นี่ถ้าเจ้าไม่ได้บอกข่าวนี้ให้ข้าฟัง บางที ข้าอาจจะไม่มีวันรู้เลยก็ได้ว่ามีตัวตนอย่างพวกเขาอยู่ในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำนี่ด้วย นี่มันเกินกว่าที่ข้าจะจินตนาการได้เสียอีก”
คานไดด์รำพึงพลางส่ายศีรษะไปมาพร้อมกับถอนหายใจ
แม้ว่าความรู้ของคานไดด์จะมีข้อจำกัด แต่อย่างน้อยหานซั่วก็ได้รู้ว่า ที่มาที่ไปของทิอาน่าคือเธอเป็นผู้พิทักษ์แห่งจักรวรรดิคาซี
“ไบรอัน นี่เจ้าหมายความว่า เจ้ามีพลังเทียบเท่าสตรัทโฮล์มและทิอาน่าแล้วงั้นรึ?”
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ คานไดด์ก็เอ่ยถามพลางจ้องมองไปยังหานซั่ว
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
ตอนนั้นเอง หานซั่วก็ได้เล่าถึงการต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับปีศาจเฒ่าสตรัทโฮล์ม รวมทั้งเรื่องการเผชิญหน้าของเผ่าวิญญาณ แล้วคานไดด์ก็รู้รายละเอียดเล็ก ๆ จากตอนนั้นเอง — ว่าหานซั่วและสตรัทโฮล์มเป็นผู้ที่มีพลังในระดับเดียวกัน!
แต่สำหรับที่นี่แล้ว การปิดบังไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา หานซั่วจึงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าสงบ
“ข้าเชื่อว่า ตอนนี้ข้ามีพลังในระดับที่เรียกกันว่าครึ่งเทพแล้วล่ะครับ”
“เหลือเชื่อ… เหลือเชื่อจริง ๆ!”
คานไดด์พูดตะกุกตะกัก และพึมพำออกมา
“คำทำนายของมาดามเกรซช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเธอถึงบอกว่าเจ้าคือผู้นำพาจักรวรรดิแลนซล็อตไปสู่ยุคสมัยใหม่ ถ้ามีคนระดับอย่างเจ้าอยู่ล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นเขตแคว้นดินแดนใดก็ต้องแข็งแกร่งและทรงอำนาจยิ่งขึ้นด้วยกันทั้งนั้น”
“จะแข็งแกร่งหรือไม่ ข้าเองก็ไม่รู้หรอกครับ แต่ที่ข้ารู้ก็คือ ตอนนี้สตรัทโฮล์มคงจะไม่มาปรากฏตัวที่แคว้นทั้งเจ็ดอีกสักพัก และสมาพันธ์พ่อค้าบรุทก็เพิ่งสูญเสียจอมขมังเวทย์สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เรย์โนลด์ไป แถมยังมีพวกสัตว์วิเศษในหุบเขาทารัคที่แตกตื่นและวิ่งพล่านจนชาวเมืองเดือดร้อนไปทั่ว แล้วยังจะเผ่าวิญญาณที่ยังเป็นปริศนานั่นอีก ข้าว่าพวกนั้นคงยังไม่มีปัญญาไปทำอะไรอย่างอื่นแล้วล่ะ
ตอนนี้ก็เลยเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับจักรวรรดิแลนซล็อตของเราที่จะยกทัพไปถล่มแคว้นทั้งเจ็ด และถ้าไม่ใช่ตอนนี้ เราก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว!”
หานซั่วอธิบายกับคานไดด์ด้วยความกระตือรือร้น
“ไบรอัน เจ้าไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิสิ ข้าเชื่อว่าพระองค์จะต้องสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่แน่นอนเลยล่ะ!”
คานไดด์เร่งเร้า ดูเหมือนว่าเขาเองก็ต้องการเช่นนั้น
หานซั่วพยักหน้า หลังจากที่ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นสมาชิกสุริยันทมิฬระดับ 4 จากคานไดด์แล้ว หานซั่วก็ไม่ได้กลับไปหาเอมิลี่ หากแต่มุ่งหน้าไปยังพระราชวังด้วยวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายที่อยู่ภายในศูนย์บัญชาการใหญ่ขององครักษ์ชุดดำ ซึ่งมีเพียงสมาชิกระดับสูงสุดเท่านั้นที่สามารถใช้ได้
“ไบรอัน เจ้าคนกะล่อน หายหน้าหายตาไปตั้ง 3 ปี กลับมาได้เสียทีนะ!”
ลอว์เรนซ์ จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิแลนซล็อต เดินเข้ามาทักทายหานซั่วด้วยตัวเองทันทีที่รู้ว่าหานซั่วต้องการเข้าเฝ้า ก่อนจะหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นเขา
เมื่อเทียบกับ 3 ปีก่อน ลอว์เรนซ์ในตอนนี้นั้นแลดูสง่าสมศักดิ์ศรีของจักรพรรดิผู้มีอำนาจกุมความเป็นความตายของผู้อื่นไว้ในมืออย่างแท้จริง เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ เขาถึงกับไว้หนวดเหนือริมฝีปากจากเดิมที่เคยโกนอย่างเรียบร้อย ในขณะที่ดวงตาเปล่งประกายไปด้วยความเฉลียวฉลาดและความสุขุมนุ่มลึก
“ฝ่าบาท ไม่ได้พบกันนานเลยนะพะย่ะค่ะ”
หานซั่วก้าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปหาลอเรนซ์และพูดต่อ
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
“ฝ่าบาท ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยด้วยเป็นการส่วนตัว!”
ลอว์เรนซ์โบกมือเป็นสัญญาณให้กับเหล่าทหารรักษาพระองค์
“พวกเจ้าทุกคนออกไปก่อน!”
หลังจากนั้น เขาก็พาหานซั่วเข้าไปยังท้องพระโรง และพูดขึ้นพร้อมหัวเราะ
“ไม่ได้อยู่ต่อหน้าใคร ๆ แล้ว จะได้สะดวกแบบสหายคุยกันเหมือนเดิมหน่อย ว่าแต่เป็นไงมาไงเจ้าถึงแวะมาหาข้าได้ล่ะเนี่ย?”
“ข้ามาที่นี่เพราะตั้งใจจะเอาของขวัญชิ้นใหญ่มาฝากเจ้าน่ะสิ!”
หานซั่วยิ้ม
“หืม? ของขวัญชิ้นใหญ่อะไรรึ?”
ลอว์เรนซ์ถามด้วยความตื่นเต้น
“ก็แคว้นทั้งเจ็ดไง!”
หานซั่วตอบ
ร่างกายของลอว์เรนซ์เหมือนกับหยุดชะงักไป ดวงตาของเขาเยือกเย็นจนราวกับว่าจะไม่มีใครกล้าสบตาด้วยโดยตรง แต่ทว่า น้ำเสียงของเขากลับฟังดูตื่นเต้นเมื่อเขาร้องถาม
“ไบรอัน ตอนนี้เจ้าแน่ใจแล้วจริง ๆ รึ?”
หานซั่วพยักหน้า ก่อนจะเปิดเผยเรื่องราวทุกอย่างที่เล่าให้คานไดด์ฟังก่อนหน้านี้อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อหานซั่วเล่าทุกอย่างจนจบ ลอว์เรนซ์ก็ตัวสั่นเทาตั้งแต่หัวจรดเท้า เขากุมมือทั้ง 2 ข้างของหานซั่วไว้แน่น ดวงตาที่เต็มไปด้วยไฟอันมุ่งมั่นจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา และร้องถามขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“บ… ไบรอัน นี่เจ้าหมายความว่า เจ้าแข็งแกร่งในระดับครึ่งเทพแล้วจริง ๆ รึ?”
“ใช่แล้วล่ะ”
หานซั่วยืนยัน
“ดีเลย! ดี ดีจริง ๆ!”
ลอว์เรนซ์เงยหน้าและระเบิดหัวเราะลั่นออกมา ก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้มกว้าง
“หลังจากท่านอัลเมริค คอตต้อน ในที่สุด จักรวรรดิแลนซล็อตของเราก็มีครึ่งเทพถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง! ฮ่า ๆ ๆ ๆ นับแต่นี้ต่อไป จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าท้าทายอำนาจของจักรวรรดิแลนซล็อตของข้าอีกแล้ว!”
“อย่าเพิ่งรีบดีใจไปนักสิ อย่างที่ข้าบอกนั่นแหละ แค่ครึ่งเทพ ใช่ว่าจะเป็นผู้มีพลังสูงสุดของอาณาจักรนี้เสียเมื่อไหร่ อีกอย่าง คนที่เป็นครึ่งเทพก็ไม่ได้มีแต่ข้าแค่คนเดียว ยังมีทิอาน่าแห่งจักรวรรดิคาซีนั่นอีกคน แล้วไหนจะที่ศูนย์บัญชาการใหญ่ของศาสนจักรแห่งแสงสว่างที่จักรวรรดิโอเดน ที่นั่นยังมีครึ่งเทพอยู่มากกว่า 1 คนด้วยซ้ำ!”
ราวกับว่าหานซั่วเอาน้ำเย็นสาดใส่ลอว์เรนซ์เพื่อเรียกสติ เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มจะตื่นเต้นดีใจจนแทบบ้า และกลัวว่าลอว์เรนซ์จะหวังพึ่งหานซั่วมากเกินไปด้วย
“รู้แล้วน่า รู้แล้ว!”
ลอว์เรนซ์พูดด้วยความปลื้มปิติ
“ข้าก็ต้องรู้อยู่แล้วสิ แต่ในเมื่อมีเจ้าอยู่ในจักรวรรดิแลนซล็อต ข้าก็รู้สึกวางใจขึ้นเยอะเลย ข้าเองก็ฝันอยากจะยึดครองสมาพันธ์พ่อค้าบรุทกับจักรวรรดิคาซีมานานแล้ว แต่ก็ต้องเก็บความคิดนี้พับไปทุกครั้งเพราะเหตุผลหลาย ๆ อย่าง แต่ว่าในตอนนี้ จักรวรรดิแลนซล็อตของเราจะได้ผงาดกันเสียที!”
“เข้าใจแล้ว ข้าเองก็รู้ว่าเจ้าคงไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามหรอก อืม… เจ้าเริ่มที่แคว้นทั้งเจ็ดก่อนก็แล้วกัน แต่ในบรรดาทั้ง 7 แคว้น มีแคว้นเฮลอนกับแคว้นบูเล็ทที่เป็นพันธมิตรกับข้าอย่างลับ ๆ เมื่อนานมาแล้ว ถ้าเราวางแผนการอย่างซ่อนเร้นกันดี ๆ แถมยังไม่มีสตรัทโฮล์มโผล่มาคอยพลิกสถานการณ์ รับรองว่าการยึดครองแคว้นทั้งเจ็ดก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม”
หานซั่วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ดีมาก งั้นข้าจะสนับสนุนเจ้าเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรทางการทางทหารหรือวัตถุดิบอะไรที่เจ้าต้องการ พูดมาได้เลย เจ้าจำเป็นต้องใช้อะไรบ้าง? บอกข้าสิ แล้วข้าจะช่วยเจ้าด้วยทรัพยากรทั้งหมดที่มีในจักรวรรดิของข้าเลย!”
ลอว์เรนซ์พูดอย่างตรงไปตรงมา ดูเหมือนว่าเขาจะเชื่อมั่นในตัวหานซั่วอย่างที่สุด
“พูดกันตามตรงนะ ข้าล่ะไม่ถนัดพวกทฤษฎีทางการทหารเอาซะเลย”
หานซั่วตอบด้วยรอยยิ้มขมขื่น หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดต่อ
“เรื่องการโจมตีแคว้นทั้งเจ็ด ให้เจ้ากับคนของเจ้าหารือและรับมือกันเองไปเลยดีกว่า โอ้ ถ้ายังไง ให้ดอร์คัสเป็นผู้บัญชาการรบในครั้งนี้น่าจะดีที่สุด หลายปีที่ผ่านมา เจ้าหมอนี่เดินทางท่องไปทั่วแคว้นทั้งเจ็ด เขาก็เลยคุ้นเคยกับสถานการณ์ต่าง ๆ แถบนั้นเป็นอย่างดี และอีกอย่าง เขาก็ยอดเยี่ยมมากเรื่องกลยุทธ์ทางการทหาร ข้าเชื่อว่าเขาเหมาะสมที่จะเป็นผู้บัญชาการมาที่สุดแล้วล่ะ!”
“ไม่มีปัญหา แล้วข้าจะจัดการให้เอง! วางใจเถอะ ถ้าไม่มีสตรัทโฮล์มมาคอยขัดขวางล่ะก็ แคว้นทั้งเจ็ดจะต้องพ่ายแพ้ต่อกองทัพอันแข็งแกร่งของจักรวรรดิแลนซล็อตอย่างแน่นอน!”
ลอว์เรนซ์ให้คำมั่น
“เอาล่ะ ข้าก็พูดทุกอย่างที่ควรพูดไปหมดแล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้าเองก็คงต้องใช้เวลาเตรียมตัวพอควรเลยเหมือนกัน งั้นข้าไปก่อนล่ะ นี่ข้ายังไม่ได้ไปเจอสาว ๆ ของข้าเลย ถ้าไม่รีบไปหาทันทีที่กลับมาล่ะก็ มีหวังคงโดนบ่นแน่ ๆ!”
หานซั่วพูดกับลอว์เรนซ์ด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่หานซั่วขยิบตาอย่างมีเลศนัย ลอว์เรนซ์ก็พูดอย่างเข้าอกเข้าใจ
“ข้ารู้ ฮ่า ๆ ๆ ไปเถอะ แล้วก็ไปชดใช้ ‘หนี้’ ที่ติดค้างไว้กับพวกเธอซะ โอ้ จริงสิ คฤหาสน์ของเจ้าเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ พวกคนใช้ทุกคนก็ยังอยู่กันที่นั่นเหมือนเดิม ทั้งฟีบี้ แฟนนี่ และก็คนอื่น ๆ อยู่ที่นั่นกันมาหลายวันแล้ว อย่าลืมล่ะ ว่าเจ้าเองก็มีบ้านอยู่ในนครออซเซ็นด้วยเหมือนกัน!”
ก่อนหน้านี้ ระหว่างคืนที่เกิดสงครามการปฏิวัติภายในนครออซเซ็น คฤหาสน์หลายหลังของเหล่าขุนนางล้วนถูกทำลายและอบอวลไปด้วยเขม่าควัน แม้แต่คฤหาสน์เมื่อตอนที่เขาได้รับบรรดาศักดิ์เคานท์หลังนี้ก็ไม่เว้นและได้รับความเสียหายอย่างหนักเช่นกัน ตอนแรก หานซั่วคิดว่าคฤหาสน์หลังนั้นคงถูกทำลายเละไปแล้ว แต่ดูเหมือนลอว์เรนซ์จะใส่ใจหานซั่วมากเป็นพิเศษ จนถึงกับสร้างคฤหาสน์หลังใหม่ให้เขาอีกครั้ง
“ขอบพระทัย ฝ่าบาท!”
หานซั่วตอบ ก่อนจะออกจาพระราชวังไปโดยไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น
“ครึ่งเทพเลยเชียวนะ! มาดามเกรซช่างเป็นผู้พยากรณ์ที่สุดยอดเลยจริง ๆ ไบรอันเอ๋ย ไบรอัน เจ้านี่เป็นดาวนำโชคของข้าชัด ๆ!”
ลอว์เรนซ์พึมพำอย่างแผ่วเบาหลังจากที่หานซั่วจากไปแล้ว
**********************************