ขณะมองไปยังหญิงร่างท้วมที่กำลังเต้นรำไปมาอย่างมีความสุข หานซั่วก็ได้แต่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
ในสายตาของเขา ไม่ว่าเขาจะพยายามมากเพียงใด แต่เขาก็ไม่สามารถหาอะไรที่เชื่อมโยงกันระหว่างผู้หญิงวัยกลางคนร่างอวบอ้วนและมีผิวสีชมพูผ่องใสผู้นี้ กับจ้าวอัคคีร่างมหึมาเมื่อครู่ได้เลย แต่เป็นเพราะได้เห็นกระบวนการกลายร่างทั้งหมดกับตา หานซั่วจึงรู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ก็คือจ้าวอัคคีนั่นเอง
และเป็นเรื่องปกติที่สัตว์วิเศษระดับสุดยอดจะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เช่นเผ่าพันธุ์อันทรงพลังอย่างมังกร พวกเขาก็มีความสามารถนั้นตั้งแต่อยู่ในร่างระดับ 1 แต่อย่างไรก็ตาม สัตว์วิเศษระดับสุดยอดก็จะถูกแบ่งออกเป็นประเภทย่อย ๆ อีกหลายประเภทตามแต่ข้อจำกัดทางโครงสร้างอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละเผ่าพันธุ์ และการที่จะสามารถกลายร่างได้ บางประเภทก็จำเป็นต้องพัฒนาร่างในระดับที่สูงที่สุดเสียก่อน
จ้าวอัคคีเองก็ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตวิเศษประเภทนั้น เพราะร่างของเธอประกอบไปด้วยหินหลอมเหลวและหินภูเขาไฟมากมายแทนที่จะเป็นเลือดเนื้อและกระดูก ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่สัตว์วิเศษทั่วไปจะพึงมี เช่นนั้นแล้ว การที่จะกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เผ่าพันธุ์นี้จึงจำเป็นต้องอยู่ในระดับที่สูงอย่างมาก
ทันทีที่จ้าวอัคคีกลายร่างเป็นมนุษย์ผู้หญิงร่างท้วม หานซั่วก็รู้ว่าเธอได้บรรลุขีดจำกัดและพัฒนาร่างเข้าสู่ระดับที่ 5 และกลายเป็น จักรพรรดิอัคคี ได้ในที่สุด ซึ่งจักรพรรดิอัคคีในระดับ 5 นั้นเทียบเท่าได้กับครึ่งเทพของเหล่ามนุษย์ ผู้ทรงพลังอำนาจที่ทำให้ใครก็ตามในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำต้องพรั่นพรึงเพียงได้เอ่ยนามของผู้นั้นขึ้นมา
หลังจากที่จักรพรรดิอัคคีได้กลายร่างอย่างเสร็จสมบูรณ์ ดูเหมือนเธอจะยินดีปรีดากับความสามารถที่เธอเพิ่งได้รับเป็นอย่างมาก เธอลูบคลำร่างของตนเองไปมาด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี
“เจ้าตัวแสบ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าแท้ ๆ เลยเชียว!”
จักรพรรดิอัคคีหัวเราะคิกคักและชี้ไปที่เจ้าผีดิบธาตุไฟชั้นยอดที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในแดนอัคคีสัมบูรณ์ ก่อนจะทำให้ลาวาเคลื่อนตัวเป็นวังวนและยกเจ้าผีดิบธาตุไฟชั้นยอดให้มาอยู่ตรงหน้า เธอก็ดึงมันเข้ามากอดไว้แน่นและหัวเราะด้วยความเบิกบานใจ เธอเคลื่อนตัวไปรอบ ๆ และเต้นรำกับเจ้าผีดิบธาตุดินชั้นยอดราวกับว่ามันคือตุ๊กตาของเล่น
หานซั่วได้แต่ตกตะลึงทำตัวไม่ถูกอยู่อย่างนั้น พลางจ้องมองขณะที่จักรพรรดิอัคคีกำลังจับเจ้าผีดิบธาตไฟเหวี่ยงไปมาด้วยสายตาเลื่อนลอย
** Please note : หากท่านไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้จากบล็อก https://gdk-th.blogspot.com/ แปลว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับคนที่กำลังสุขสบายกับการหาเงินง่าย ๆ ด้วยการใช้นิ้วคลิกก๊อบผลงานแปลของเพจไปขายอีกต่อหนึ่ง **
นานพอควรเลยทีเดียว ที่จักรพรรดิอัคคีดูเหมือนจะเล่นสนุกจนสาแก่ใจแล้ว ในที่สุด เธอก็วางเจ้าผีดิบธาตุไฟชั้นยอดลง และพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะ
“เอาแต่หาเรื่องมาให้ข้าตลอดเลยนะ แต่โชคดีจริง ๆ เพราะปัญหาคราวนี้ ข้าถึงได้หลุดจากพันธนาการนานนับพันปี และบรรลุสู่ระดับ 5 ได้เสียที!”
แม้ไม่ได้อาศัยพลังของหญิงอ้วนหรือในชื่อของจักรพรรดิอัคคี เจ้าผีดิบธาตุไฟชั้นยอดก็สามารถยืนอยู่บนแม็กม่าหรือหินหลอมเหลวของแดนอัคคีสัมบูรณ์ได้อย่างสบาย ๆ มันทำมือทำไม้ขณะใช้พลังวิญญาณเพื่อสื่อสารกับจักรพรรดิอัคคี
“ท่านแม่ ยอดไปเลย! ตอนนี้ท่านดูดีเหมือนข้าแล้ว!”
ท่านแม่รึ? หานซั่วผงะไปทันทีพร้อมกับอ้าปากค้าง เขาจ้องมองไปยังเจ้าผีดิบธาตุไฟชั้นยอดที่กำลังคุยอยู่กับหญิงอ้วน ครู่หนึ่ง หานซั่วก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา
เมื่อแรกครั้งที่เจ้าผีดิบธาตุไฟชั้นยอดถูกหล่อหลอมขึ้นในแดนอัคคีสัมบูรณ์ หานซั่วก็รู้อยู่ก่อนแล้วว่าจักรพรรดิอัคคีนั้นปฏิบัติกับเจ้าผีดิบธาตุไฟเหมือนลูกของตนเอง และเพราะพลังงานธาตุไฟที่คุกรุ่น เจ้าผีดิบธาตุไฟจึงคิดว่าจักรพรรดิอัคคีก็เป็นแม่ของตัวเองด้วยเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้น หานซั่วก็ยังไม่ได้คิดว่าเจ้าผีดิบธาตุไฟเป็นลูก ส่วนตัวมันเองก็ยังไม่เคยเรียกหานซั่วว่าพ่อ แต่เมื่อไม่นานมานี้ หานซั่วกลับเริ่มมองว่าเหล่าผีดิบแห่งธาตุชั้นยอดทุกตนก็เหมือนกับลูกของเขาจริง ๆ โดยที่ไม่รู้ตัว แม้แต่เริ่มรู้สึกชินกับการถูกพวกผีดิบเรียกเขาว่าท่านพ่อแล้วด้วยซ้ำ
แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเจ้าผีดิบธาตุไฟเรียกจักรพรรดิอัคคีว่าท่านแม่ และเรียกหานซั่วว่าท่านพ่อ เมื่อเขามองไปยังหญิงวัยกลางคนอวบอ้วนที่อยู่เบื้องหน้า เขาก็รู้สึกขนลุกจนบรรยายไม่ถูก
หนังศีรษะของหานซั่วรู้สึกชาไปทันที ขณะที่ฟังบทสนทนาของทั้งคู่ เขาก็ได้ยินว่าเจ้าผีดิบธาตุไฟชั้นยอดเรียกจักรพรรดิอัคคีว่า “ท่านแม่” และเอ่ยถึงหานซั่วโดยเรียก “ท่านพ่อ” จริง ๆ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงภาพฉากอันน่าสะพรึงกลัวที่ปรากฏขึ้นในหัว
น… น่าขนลุกชะมัด! ราวกับว่าหานซั่วนึกถึงภาพอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาจึงบิดเบี้ยวไปทันที
“นี่ เจ้าหนุ่มตรงนั้นน่ะ เจ้าเป็นพ่อของลูกชายข้ารึ?”
ขณะที่ความคิดของหานซั่วกำลังเตลิดไปเรื่อย หญิงวัยกลางคนร่างอวบอ้วนคนนั้นก็ร้องตะโกนถามหานซั่ว
เจ้าเป็นพ่อของลูกชายข้ารึ? ประโยคนี้ทำให้หานซั่วรู้สึกเสียวสันหลังวาบไม่น้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มประหลาดที่ดูเหมือนจะร้องไห้เต็มทีออกมา และรีบตอบกลับไป
“ม… ไม่ได้เกิดจากข้ากับท่านก็แล้วกัน!”
เมื่อหานซั่วพูดจบ เขาก็นึกอยากตบหน้าตัวเองขึ้นมา ยิ่งเขารู้สึกตระหนกมากเท่าใด เขาก็ยิ่งเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่เคยพบเจอสถานการณ์ที่น่าอายเช่นนี้มาก่อนในช่วงระยะเวลาหลายปี
“ไร้สาระน่า ข้าก็ต้องรู้อยู่แล้วสิว่าเจ้ากับข้าไม่ได้ให้กำเนิดเขาด้วยกัน!”
จักรพรรดิอัคคีดุหานซั่วด้วยท่าทีไร้กังวล เธอดูเป็นผู้หญิงปากร้ายที่ไม่รู้จักละอายต่อสิ่งใด ก่อนจะพูดต่อ
“อีกอย่าง ข้าเองก็ตั้งครรภ์ไม่ได้ด้วย! แต่เจ้าคงไม่ได้จะบอกว่าเจ้าเองก็ไม่มีน้ำยาเสียแล้วหรอกนะ ว่ามั้ย?”
“ท่านพ่อ! ท่านแม่ของข้าสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว เธออยากจะออกไปจากที่นี่เพื่อไปเผชิญโลกภายนอกน่ะ!”
เจ้าผีดิบธาตุไฟชั้นยอดส่งกระแสจิตมายังหานซั่ว แต่เมื่อมันสัมผัสได้ว่าจิตใจของหานซั่วกำลังว้าวุ่นสับสน มันจึงร้องถามด้วยความเป็นห่วง
“ท่านพ่อ เป็นอะไรไป? ทำไมท่านถึงดูกระวนกระวายแบบนี้ล่ะ?”
“ป… เปล่าหรอก ไม่มีอะไร!”
หานซั่วตอบอย่างเร่งรีบ
“ตั้งแต่ที่ข้ารู้จักสถานที่อันยอดเยี่ยมแห่งนี้ ข้าก็อาศัยอยู่ที่นี่มาโดยตลอดเพื่อดูดซับพลังงานสำหรับการพัฒนาร่าง วันเวลาผ่านมานานแสนนานจนข้าเองก็นับไม่หวาดไม่ไหว และตอนนี้ ในที่สุดข้าก็สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ช่างเป็นเวลาที่พอเหมาะพอเจาะที่จะออกไปผจญภัยในโลกภายนอกเสียจริง ๆ”
หญิงอ้วนพูดแทรกขึ้นมาขณะจ้องมองไปยังหานซั่ว
“เอ่อ… ก็ดีแล้วนี่ โลกมนุษย์น่ะมีเสน่ห์น่าหลงใหลมากจริง ๆ ด้วยรูปลักษณ์ของท่านในตอนนี้ พวกคนธรรมดาทั่วไปคงไม่มีวันดูถูกท่านในฐานะอมนุษย์อย่างแน่นอน และด้วยพลังระดับท่าน ท่านก็คงท่องเที่ยวไปที่ไหนก็ได้ในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำเลยล่ะ”
หานซั่วตอบจักรพรรดิอัคคี
ทันใดนั้นเอง หานซั่วก็ชะงักไป เมื่อความคิดเรื่องที่ความแข็งแกร่งของจักรพรรดิอัคคีนั้นเทียบเท่ากับครึ่งเทพวาบขึ้นมาในหัว ความตระหนกที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องที่เจ้าผีดิบธาตุไฟเรียกพวกเขาว่าท่านพ่อท่านแม่อีกต่อไป หากแต่เป็นเรื่องที่จักรพรรดิอัคคีผู้ที่แข็งแกร่งเทียบเท่าครึ่งเทพผู้นี้ไม่ได้เป็นศัตรูกับเขาเพราะเจ้าผีดิบธาตุไฟชั้นยอดต่างหาก ซึ่งถ้าเขาสามารถใช้ประโยชน์จากพลังของจักรพรรดิอัคคีมาสนับสนุนตัวเขาเองได้ ก็จะเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้เขามากขึ้นอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
เช่นนั้นแล้ว ทันทีที่เขาพูดจบประโยค ก่อนที่จักรพรรดิอัคคีจะทันได้ตอบกลับมา หานซั่วก็รีบเชิญชวนเธอทันที
“ข้าคุ้นเคยกับโลกมนุษย์เป็นอย่างดี ทำไมท่านไม่ลองมาเยือนจักรวรรดิแลนซล็อตของเรา และเที่ยวชมความแตกต่างระหว่างโลกของมนุษย์และโลกของสิ่งมีชีวิตวิเศษดูสักหน่อยล่ะ?”
“โอ้ ได้แน่นอน ข้าเองก็ไม่ได้มีจุดหมายที่ไหนเป็นพิเศษอยู่แล้ว ข้าก็แค่วางแผนว่าจะเที่ยวเตร่ไปเรื่อยตามแต่สถานการณ์จะพาไปก็เท่านั้นเอง”
หญิงอ้วนตอบรับคำเชิญของหานซั่วทันทีจนเขาเองก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย หลังจากคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็คว้าตัวเจ้าผีดิบธาตุไฟชั้นยอดเอาไว้และหันมาพูดกับหานซั่ว
“ขึ้นไปข้างบนกันก่อนเถอะ”
“ตกลง!”
หานซั่วตอบ ก่อนจะหันมองไปยังเหล่ามังกรดำที่กำลังจ้องมองไปยังจักรพรรดิอัคคีที่อยู่เบื้องล่างพวกเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง และพูด
“ไปกันเถอะ ขึ้นไปเหนือรอยแยกให้ได้ก่อน แล้วพวกเราค่อยมาคุยเรื่องทุกอย่างกันทีหลัง”
“ไบรอัน… กิลเบิร์ต… เจ้าเด็กโง่นั่น… ตายแล้วจริง ๆ รึ?”
หัวหน้าเผ่ามังกรดำกิลเกสเริ่มฟื้นกำลังขึ้นมาทีละน้อยหลังจากที่ออกมาจากกรงขังได้ ในฐานะสัตว์วิเศษที่พัฒนาร่างมาถึงระดับ 4 เขาจึงสามารถปรับตัวเข้ากับอุณหภูมิที่ร้อนระอุถึงเพียงนี้ได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากสีหน้า เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเจ็บปวดกับความทรมานที่หนักหนาเหลือเกิน
เมื่อเอ่ยถึงกิลเบิร์ต หานซั่วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมาในหัวใจ แต่ก็นับว่าต่างจากก่อนหน้านี้ เพราะเขาพบวิธีที่จะแก้ปัญหานี้ได้แล้ว ความเศร้านั้นจึงทุเลาลงไปมาก หานซั่วฝืนยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก และพูดปลอบโยนกิลเกส
“วางใจเถอะ ถึงแม้ว่ากิลเบิร์ตจะตายไป แต่ข้าก็เก็บวิญญาณของเขาไว้แล้ว ขอเวลาข้าสักหน่อย ข้าจะทำให้เขาได้เกิดใหม่และมายืนอยู่ต่อหน้าท่านอีกครั้งให้ได้”
หลังจากนิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง บางอย่างก็วาบขึ้นมาในดวงตาของหานซั่ว และเขาก็พูดเสริมต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“และไม่ว่ายังไง การเสียสละของกิลเบิร์ตจะไม่มีวันสูญเปล่า เพราะข้าจะทำให้อารามแห่งน้ำแข็งต้องชดใช้นับร้อยเท่ากับสิ่งที่พวกมันทำลงไป!”
“จ… จริงรึ? เจ้าสามารถชุบชีวิตกิลเบิร์ตได้จริง ๆ รึ?”
หัวหน้าเผ่ามังกรดำกิลเกสพูดด้วยเสียงสั่นเครือขณะจ้องมองหานซั่วอย่างไม่เชื่อสายตา
หานซั่วพยักหน้า แต่ก่อนที่เขาจะพูดยืนยันอีกครั้ง เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้เสียก่อน เพราะไม่ว่าจะด้วยเวทย์ปีศาจหรือเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย การชุบชีวิตกิลเบิร์ตที่เพิ่งตายไปก็ไม่มีทางกลับเป็นเหมือนเดิมได้เสียทีเดียว เมื่อนึกขึ้นมาได้ เขาก็รู้สึกโศกเศร้าอีกครั้งและถอนใจ
** Please note : หากท่านไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้จากบล็อก https://gdk-th.blogspot.com/ แปลว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับคนที่กำลังสุขสบายกับการหาเงินง่าย ๆ ด้วยการใช้นิ้วคลิกก๊อบผลงานแปลของเพจไปขายอีกต่อหนึ่ง **
“ข้าให้คำมั่นได้ว่ากิลเบิร์ตจะกลับมามีชีวิตได้อีก แต่ไม่ว่ายังไง คงต้องมีความเปลี่ยนแปลงกับร่างใหม่ของเขาอยู่บ้าง”
กิลเกสเองก็ไม่ใช่ตัวตนที่ธรรมดา เขาย่อมต้องเข้าใจสิ่งที่หานซั่วต้องการจะสื่อเป็นอย่างดี เขาจึงถอนหายใจและตอบกลับไป
“ตราบใดที่ชุบชีวิตเขาได้ เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ”
“รีบไปกันเถอะ รีบไปกันเถอะ สำหรับคนที่ไม่ได้มีอายุอานามมาหลายพันปี พวกเจ้านี่พูดมากยืดยาวอย่างกับผู้หญิงแน่ะ”
ขณะที่หานซั่วและกิลเกสกำลังถอนใจด้วยความโศกเศร้า จักรพรรดิอัคคีจึงอดไม่ได้ที่จะเร่งเร้าพวกเขา เพราะเธอไม่เคยขึ้นไปบนอาณาจักรแห่งความลึกล้ำในฐานะมนุษย์มาก่อน ในตอนนี้ เมื่อเธอสามารถพัฒนาร่างสู่ระดับที่ 5 จนเป็นจักรพรรดิอัคคีได้ด้วยความยากลำบากแสนสาหัส เธอจึงมีความอดทนที่ไม่สูงนัก
พวกเขาจึงไม่ได้พูดอะไรกันอีกต่อไป หานซั่วพยักหน้าให้กิลเกส ก่อนจะเหาะทะยานขึ้นไปยังรอยแยกของลาวา พวกเขาทะยอยกันออกมาทีละคน ๆ จนกระทั่งอพยพได้ทั้งหมด
เมื่อออกมาได้แล้ว หานซั่วก็มองไปยังกลุ่มของผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์ ชั่วครู่หนึ่ง เขาก็นึกไม่ออกว่าจะพาพวกเขาไปอยู่ที่ไหนดี
“พวกเราจะล้างแค้นให้กิลเบิร์ต นับจากวันนี้ต่อไป อารามแห่งน้ำแข็งคือศัตรูตลอดกาลของพวกเราเผ่ามังกรดำ!”
มังกรดำคนหนึ่งที่ดูแข็งแรงกำยำและหยาบคายร้องขึ้นมาด้วยความกราดเกรี้ยว เมื่อเขาเห็นศพของกิลเบิร์ตที่อยู่บริเวณรอยแยกและจมอยู่ในกองเลือดของตนเอง
ระหว่างการต่อสู้อันดุเดือด แม็กม่าหรือหินหลอมเหลวของแดนอัคคีสัมบูรณ์ก็ได้ปะทุขึ้นมาและพุ่งออกไปทุกทิศทางราวกับภูเขาไฟเล็ก ๆ ที่เกิดระเบิดขึ้นบริเวณรอยแยก ซึ่งในระหว่างนั้น แม็กม่าที่เปี่ยมไปด้วยธาตุไฟปริมาณมหาศาลก็ไหลท่วมร่างของกิลเบิร์ต ทำให้ร่างที่ไร้ชีวิตของเขาถูกเผาไหม้และหลอมละลายจนกลายเป็นเศษซากที่น่าสังเวช เนื้อหนังของเขาหลุดลอกออก เหลือเพียงซากโครงกระดูกขนาดมหึมา ผลึกมนตรา และลูกตามังกร 2 ลูกเท่านั้น
เมื่อมองไปยังซากโครงกระดูกของกิลเบิร์ต แม้ว่าจะมีวิธีชุบชีวิตกิลเบิร์ตได้แล้วก็ตาม แต่หานซั่วก็ไม่สามารถควบคุมความกราดเกรี้ยวของตนเองไว้ได้ ก่อนจะกู่ร้องตะโกนขึ้นก้องฟ้า
“ใช่แล้ว พวกเราต้องแก้แค้นให้ได้!”
ตอนนั้นเอง หัวหน้าเผ่ามังกรดำกิลเกสก็บินไปยังซากที่เหลืออยู่ของกิลเบิร์ต และค่อย ๆ เก็บเอาผลึกมนตราและลูกตามังกรทั้ง 2 ลูกของเขากลับมาด้วยความระมัดระวังและทะนุถนอมมันราบกับสมบัติมีค่า
หลังจากที่ร้องตะโกนอย่างบันดาลโทสะออกไปแล้ว หานซั่วก็อัญเชิญเจ้าผีดิบธาตุดินออกมา และด้วยพรสวรรค์ของมัน ซากโครงกระดูกขนาดมหึมาของกิลเบิร์ตก็ถูกฝังลึกลงไปใต้ดิน เพื่อที่ว่า ในอนาคตสักวันหนึ่ง มันจะสามารถนำกลับมาประกอบเป็นร่างใหม่ให้กับกิลเบิร์ตได้อีกครั้ง
“ข้าอยากไปเที่ยวที่สังคมโลกมนุษย์แล้วนะ!”
จักรพรรดิอัคคีพูดอย่างหนักแน่นพลางจ้องมองไปยังหานซั่ว
ก่อนที่หานซั่วจะทันได้ตอบตกลง จิตของเขาก็สัมผัสได้ถึงความเกลียดชังอันไร้ที่สิ้นสุดแผ่ออกมาจากหุบเขาทารัค เขาตกตะลึงไปในทันทีและรู้สึกตัวในที่สุด เพราะตอนที่เขาปลดปล่อยจิตออกมาอย่างเต็มที่เพื่อโจมตีอารามแห่งน้ำแข็งก่อนหน้านี้ กลับทำให้ราชาหกเขาแห่งเผ่าวิญญาณพบร่องรอยของเขาจนได้
เมื่อมั่นใจเช่นนั้น หานซั่วก็รีบอำพรางจิตของตนเองทันที
ทันใดนั้นเอง ความคิดบางอย่างก็วาบขึ้นมาในหัวของหานซั่วพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย ไม่นานนัก มุมปากของหานซั่วก็เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายอย่างที่สุด เมื่อเขาพบวิธีที่จะจัดการกับอารามแห่งน้ำแข็งเข้าแล้ว
“นี่ เจ้าหนุ่ม ไหนเจ้าบอกว่าจะพาข้าไปเที่ยวชมโลกมนุษย์ยังไงล่ะ?”
หญิงอ้วนรีบเร่งเร้าหานซั่วอีกครั้งอย่างอดรนทนไม่ได้
“เอลิซาเบธ!”
หานซั่วร้องเรียกขึ้นเบา ๆ
“เจ้าค่ะ นายท่าน มีอะไรให้ข้ารับใช้?”
ร่างกายของเอลิซาเบธฟื้นกำลังดีแล้ว หลังจากที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดที่ยากจะลืมเลือน ร่างกายของเอลิซาเบธตอนนี้เต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากน้ำแข็งสวรรค์โครีย์และคนอื่น ๆ และในเมื่อไม่มีโครีย์และพวกมาคอยรบกวน ร่างกายศักดิ์สิทธิ์ของเธอก็ค่อย ๆ ดูดซับพลังเหล่านั้นได้อย่างช้า ๆ
ดังคำกล่าวที่ว่า “ความเจ็บที่เกินทน จะหลอมคนให้ทนทาน” ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่หญิงอ้วนจะพัฒนาร่างจากจ้าวอัคคี และกลายเป็นจักรพรรดิอัคคีได้ในที่สุด ส่วนเอลิซาเบธ ก็ได้รับผลประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เมื่อร่างกายของเธอได้ดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเข้าไปอย่างสมบูรณ์ ความแข็งแกร่งของเธอก็จะบรรลุสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งอย่างแน่นอน
“พาเธอเที่ยวชมให้รอบจักรวรรดิแลนซล็อต เอ่อ แล้วถ้าเธอเกิดเบื่อขึ้นมา ก็พาเธอไปที่นครเบรทเทลนะ เข้าใจรึเปล่า?”
หานซั่วสั่งเอลิซาเบธพร้อมกับหรี่ตา
เอลิซาเบธเข้าใจความต้องการของหานซั่วเป็นอย่างดี เธอก้มศีรษะอย่างเคารพ และตอบกลับไป
“วางใจเถอะ นายท่าน ข้าจะทำให้เธอรู้สึกสำราญใจอย่างเต็มที่เลย”
“เอาล่ะ เอาล่ะ รีบไปกันเถอะ”
หญิงอ้วนพูดอย่างหมดความอดทน เพราะอยากจะจากไปเสียทีและพาเจ้าผีดิบธาตุไฟชั้นยอดไปด้วย
“เดี๋ยวก่อน!”
เมื่อหานซั่วเห็นว่าจักรพรรดิอัคคีคว้ามือของเจ้าผีดิบธาตุไฟชั้นยอดเอาไว้และไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อย เขาก็รีบร้องตะโกนขึ้นมาทันที
“เขาไปกับท่านไม่ได้นะ!”
“ทำไมล่ะ? นี่ลูกข้า ทำไมเขาจะไปกับข้าไม่ได้?”
หญิงอ้วนดูไม่พอใจและคำรามออกมา ขณะที่ดวงตาก็จ้องเขม็งมายังหานซั่ว
“เขาก็เป็นลูกของข้าเหมือนกัน!”
หานซั่วรีบตอบทันที
ทั้งกิลเกสและเหล่ามังกรดำทั้งเผ่า รวมทั้งเอลิซาเบธ ต่างมีสีหน้าแปลก ๆ เมื่อได้ยินหานซั่วพูดเช่นนั้นออกมา
หานซั่วรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะฝืนยิ้มออกมาและพูด
“ให้เขาติดตามข้าเหมือนเดิมน่ะดีแล้ว”
ท่าทางการพูดนั้น ฟังดูราวกับคู่รักที่หย่าร้างกัน แล้วโต้เถียงกันเพื่อแย่งชิงสิทธิ์การเลี้ยงดูลูกก็ไม่ปาน
จักรพรรดิอัคคีบันดาลโทสะ แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมา เจ้าผีดิบธาตุไฟก็กระตุกมุมเสื้อของเธอ และส่งกระแสจิตเพื่อสื่อสาร
อารมณ์บนสีหน้าของเธอนั้นเดือดพล่าน แต่ไม่นานนัก เธอก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง ก่อนจะหันมาจ้องมองหานซั่วและพูด
“ดูแลลูกข้าให้ดี ๆ ล่ะ!”
ว่าแล้วเธอก็หันไปคว้าตัวเอลิซาเบธและเหาะทะยานออกไปจากป่าทมิฬ
**************************************