งานประมูลไม่ได้หยุดชะงักลงเพราะการมาถึงของหานซั่วและโซฟี ภายใต้เสียงที่มีเสน่ห์ที่สุดของโฆษก ราคาประมูลคทาเวทมนตร์อันนั้นก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
เสียงดังอื้ออึงของการถกเถียงกันไม่จบสิ้นดังไปทั่วทั้งห้องโถง สาวงามหลายคนที่สวมใส่ชุดคลุมเวทมนตร์วิจิตรงดงามต่างไม่สนใจที่จะปกปิดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อคทาเวทมนตร์นั้น ทำให้การประมูลแทบจะกลายเป็นความโกลาหลขนาดย่อมเลยทีเดียว
“เจ้าคิดว่าคทาเวทมนตร์นั่นเป็นไง?”
หลังจากที่ทั้ง 2 คนนั่งลง โซฟีก็เอ่ยปากถามหานซั่ว
“ไม่เห็นจะมีอะไรดีตรงไหนเลย”
หานซั่วเบ้ปาก และพูดต่อ
“ภายนอกดูวิบวับ แต่ข้างในกลวงโบ๋”
ต่างจากความคาดหมายของหานซั่วโดยสิ้นเชิง เพราะโซฟีกลับเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาคิดทันที
“นั่นสิ คทาเวทมนตร์อันนี้ดูอลังการเกินไป ถ้าข้าเป็นนักเวทย์นะ ข้าจะไม่มีวันเลือกคทาวิบวับขนาดนี้มาใช้แน่นอน”
หานซั่วมองโซฟีด้วยความประหลาดใจ เขายิ้มและพูด
** Please note : หากท่านไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้จากบล็อก https://gdk-th.blogspot.com/ แปลว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับคนที่กำลังสุขสบายกับการหาเงินง่าย ๆ ด้วยการใช้นิ้วคลิกก๊อบผลงานแปลของเพจไปขายอีกต่อหนึ่ง **
“ข้านึกว่าเจ้าจะเหมือนคนพวกนั้นซะอีก ที่เอาแต่จับจ้องของสวย ๆ งาม ๆ น่ะ”
โซฟีเม้มปากและส่งเสียงโอดครวญเบา ๆ
“ข้าซื้อเครื่องประดับเล็ก ๆ จากร้านค้าพวกนั้นก็เพราะอยากจะมีความสุขกับการซื้อของเท่านั้นแหละ ไม่ใช่เพราะข้าชอบพวกมันจริง ๆ ซะหน่อย”
“เหรอ…?”
หานซั่วฉีกยิ้มกว้าง เขาชี้ไปที่เข็มกลัดคริสตัลตรงหน้าอกของเธอและล้อเลียน
“ถ้างั้น เจ้าจะอธิบายยังไงที่ติดเข็มกลัดคริสตัลอันนี้ไว้ล่ะ แถมยังทำอย่างกับว่ามันมีค่ามากซะขนาดนั้น?”
โซฟีนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะรัวหมัดเล็ก ๆ ของเธอใส่เขาและพูด
“นั่นก็เพราะข้าเห็นแก่เจ้าต่างหากล่ะ! เจ้าซื้อให้ข้า ถ้าข้าไม่สนใจมันเลยก็เสียมารยาทแย่สิ!”
หานซั่วหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าเขาจะเข้าใจดีว่าโซฟีพูดเล่น แต่ถึงกระนั้นเขาก็รู้สึกมีความสุขลึก ๆ อยู่ในใจ การที่โซฟีใส่เข็มกลัดที่ทำด้วยงานฝีมือหยาบ ๆ และมีราคาเพียง 3 เหรียญทอง นอกจากว่าเธอจะไม่สนใจความไร้ราคาของมันแล้ว ในฐานะผู้ให้ หานซั่วก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งเหมาะสมกับที่เขาควรได้รับมากเกินพอ
คงต้องบอกว่าการที่ได้พูดคุยกับโซฟี ทำให้หานซั่วรู้สึกสบายใจและผ่อนคลายอย่างมาก ราวกับว่าเป็นการพูดคุยกับเพื่อนหญิงที่เขาไว้ใจและไร้ซึ่งข้อผูกมัดใด ๆ จึงทำให้หานซั่วรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“หืม? ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
ทันใดนั้น โซฟีก็ร้องออกมาเบา ๆ ก่อนจะรีบมุดหัวลงต่ำลง เธอคว้าหานซั่วไว้และบังคับให้เขาทำตามเช่นกัน
หานซั่วถูกโซฟีดึงลงไปโดยไม่ทันตั้งตัว จนหัวเกือบจะชนกับโซฟี พวกเขาเอนตัวชิดกัน กลิ่นน้ำหอมอันเคลิบเคลิ้มลอยปะทะจมูกของเขา เป็นกลิ่นหอมที่ทั้งสดชื่นและเป็นธรรมชาติ ทำให้หานซั่วย้อนนึกไปถึงช่วงเวลาดี ๆ เมื่อครั้งอยู่ในป่าทมิฬ ทั้ง 2 คนเคยเอนกายใกล้ชิดกัน และอบอวลไปด้วยกลิ่นกายของทั้งคู่
กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาอย่างไม่เร่งรีบ และค่อย ๆ เดินผ่านหานซั่วและโซฟีไปตามทางด้านซ้าย บรรดาคนรับใช้ต่างต้อนรับพวกเขาด้วยความเคารพ จากนั้น พวกเขาก็เดินขึ้นไปยังห้องพิเศษที่อยู่บนชั้น 2
หนึ่งในผู้นำในกลุ่มนั้นมีรอยยิ้มจริงใจ เขาสวมชุดคลุมนักรบสีขาวราวหิมะ มีไหล่กว้างและมือใหญ่โตดูกำยำ ท่าทางสง่าผ่าเผย เห็นได้ชัดว่าเขาต้องเป็นนักดาบหรืออัศวินที่มากด้วยประสบการณ์อย่างแน่นอน
“นั่นพ่อของเจ้าหรอ?”
หานซั่วมองเพียงปราดเดียว และด้วยจิตของเขา เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังที่อยู่ภายในร่างของคน ๆ นั้น ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลขนาดนี้ หากว่าไม่ได้บรรลุถึงอาณาจักรพลังที่สูงในระดับหนึ่ง
“เจ้า… เจ้ารู้ได้ยังไงน่ะ? เจ้าเคยเจอท่านพ่อของข้ามาก่อนเหรอ?”
โซฟีแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
หานซั่วส่ายศีรษะและตอบ
“พวกเจ้าก็มีส่วนคล้ายกันอยู่นะ ข้าก็เลยเดาดู ข้าไม่ได้คิดว่าเขาจะเป็นพ่อเจ้าจริง ๆ หรอก”
เรื่องรูปลักษณ์ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดก็คือออร่าต่อสู้ที่โซฟีฝึกฝนนั้นมีความคล้ายคลึงกันกับของคน ๆ นี้ ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปจะไม่สามารถสัมผัสได้ แต่เพราะหานซั่วมีจิตที่แข็งแกร่งอย่างมาก เขาจึงล่วงรู้ได้หลังจากที่พินิจอย่างระมัดระวัง
“เขาต้องขึ้นไปบนห้องพิเศษที่บรากอยู่แน่ ๆ เลย ฮึ่ม! เขาทำแบบนี้ได้ยังไงกันน่ะ ไม่เคยคิดจะถามข้าสักคำ แล้วยังมาตัดสินใจแทนข้าอีก? ข้าเกลียดเขาที่สุดเลย!”
โซฟีพูดด้วยความฉุนเฉียว ดูเหมือนโซฟีจะโกรธเคืองซูโลอยู่ไม่น้อย
เพราะหานซั่วไม่รู้เรื่องระหว่างบรากและโซฟี ดังนั้น เมื่อเขาเห็นโซฟีบ่น เขาจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”
“ปะ… เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
โซฟีหน้าแดงขึ้นมาทันทีและรีบตอบ
หานซั่วจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เขาก็ไม่ได้ถามต่อ เขาชี้ไปที่เวทีและพูดขึ้น
“สินค้าชิ้นต่อไปน่าสนใจดีแฮะ ข้าว่ามันเหมาะกับเจ้ามากเลยล่ะ”
หลังจากที่หานซั่วพูดจบ โซฟีก็แอบชำเลืองดู เมื่อเธอพบว่าไม่มีวี่แววของซูโล พ่อของเธออยู่แถวนั้นแล้ว เธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก และมองไปยังเวทีด้วยความสนอกสนใจ
ในตอนนั้น ขณะที่โฆษกกำลังแนะนำ พร้อมด้วยแสงที่สาดส่องลงมา ชุดเกราะสีเขียวเข้มก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นเบื้องหลังม่านที่เปิดขึ้นสู่เพดานด้านบน แล้วชุดเกราะสีเขียวเข้มแวววาวเป็นประกาย ก็ส่องแสงอยู่ภายใต้แสงไฟของเวที
“ชุดเกราะอัศวินชุดนี้ เป็นผลงานของช่างฝีมือชั้นยอดของเผ่าคนแคระ แม้ว่าจะไม่มีที่มาว่าช่างคนใดคือผู้สร้างขึ้น แต่จากความเงางามของชุดเกราะ…”
หลังจากที่เกราะนั้นปรากฏขึ้น โฆษกก็เริ่มนำเสนออย่างกระตือรือร้นอีกครั้ง
“ชุดเกราะนี่สวยมากจริง ๆ เลย แต่ไม่รู้ว่ามันจะแข็งแรงอย่างที่เขาพูดจริง ๆ หรือเปล่าเนี่ยสิ”
โซฟีดูไม่มั่นใจนัก และพูดกับหานซั่วขณะที่เธอสังเกตชุดเกราะจากระยะไกล
“น่าจะพอได้อยู่นะ มีแร่หายาก 2-3 อย่างที่เป็นส่วนผสมอยู่ในนั้น ทั้งเหล็กสีนิล เหล็กไหล และแร่มิธริล ของที่พวกคนแคระสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ของกระจอกอยู่แล้วล่ะ เจ้าน่าจะพิจารณาดูหน่อยนะ”
หานซั่วอธิบาย
“ลืมมันซะเถอะ พ่อของข้าอยู่ในห้องพิเศษ ถึงเราจะมองไม่เห็นเขา แต่เขาก็เห็นเราได้จากข้างบนอยู่ดี ก่อนหน้านี้ข้าเคยใช้ใบหน้านี้หลอกเขาไปแล้วครั้งนึง เขาต้องยังจำได้แน่ ๆ ถ้ามีโอกาสให้เขาจับข้าได้คาหนังคาเขาอีกล่ะก็ ข้าต้องแย่แน่ ๆ”
โซฟีแลบลิ้นน่ารัก ๆ ของเธอออกมาและทำท่าเหมือนวัวถูกเชือด แต่หลังจากนั้น ราวกับว่าเธอกลัวว่าซูโลจะเห็นเธอจากด้านบน เธอจึงก้มหัวหลบอีกครั้ง
“20,000 เหรียญทอง! ท่านบรากประมูลในราคา 20,000 เหรียญทอง!”
ก่อนที่โฆษกจะพูดแนะนำชุดชุดเกราะเสร็จ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน
โซฟีโอดครวญเล็กน้อย และใช้น้ำเสียงดูถูก
“เชอะ เจ้าคนร้ายกาจ ข้าไม่รู้สึกขอบคุณหรอกนะ!”
แม้ว่าโซฟีจะพูดเบา ๆ แต่หานซั่วก็ได้ยินคำพูดของเธออย่างชัดเจน เขาเงยหน้ามองไปชั้นบน และพูดด้วยเสียงประหลาดใจ
“บรากนี่ใครกัน? เข้าทุ่มประมูลด้วยราคาสูงลิ่วก่อนที่โฆษกจะพูดจบด้วยซ้ำ”
“เขาคือ บราก พิลลอน เจ้าอยู่ในจักรวรรดิคาซี อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ว่าเขาคือใคร?”
โซฟีตกใจ และมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ
หานซั่วยักไหล่และพูดด้วยน้ำเสียงตรงไปตรงมา
** Please note : หากท่านไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้จากบล็อก https://gdk-th.blogspot.com/ แปลว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับคนที่กำลังสุขสบายกับการหาเงินง่าย ๆ ด้วยการใช้นิ้วคลิกก๊อบผลงานแปลของเพจไปขายอีกต่อหนึ่ง **
“ก็ข้าไม่รู้จักจริง ๆ นี่ เขามีชื่อเสียงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
โซฟีมีสีหน้าสิ้นหวัง และอธิบายต่อ
“ในจักรวรรดิคาซี แม้ว่าอารามแห่งน้ำแข็งจะมีอิทธิพลมากมาย แต่ก็ยังมีราชวงศ์พิลลอนที่เป็นผู้มีอำนาจปกครองเบ็ดเสร็จของจักรวรรดิ บรากเป็นลูกชายของเจ้าชายแบรดลีย์ เขาไม่ใช่คนดีนักหรอก แล้วเจ้าก็มีปัญหาหนักหนาพออยู่แล้วที่ไปยั่วยุอารามแห่งน้ำแข็งเข้า เพราะงั้น ไม่ว่ายังไง ก็อย่าได้ไปมีเรื่องกับคนในราชวงศ์นี้อีกเชียว”
“ขอบคุณที่เตือน”
แม้ว่าหานซั่วจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แต่เขาก็ไม่ได้สนใจคำเตือนนั้นจริง ๆ ในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ มีคนไม่มากนักที่สามารถคุกคามชีวิตของหานซั่วได้ เช่นนั้นแล้ว ราชวงศ์นี้จึงไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลยสักนิด
“แบรดลีย์? แบรดลีย์ พิลลอน แห่งนครซีซาร์น่ะเหรอ?”
จู่ ๆ หานซั่วดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงถามออกไป
“ใช่แล้วล่ะ ในจักรวรรดิคาซีนี่มี แบรดลีย์ พิลลอน คนเดียวเท่านั้น”
โซฟีขมวดคิ้วและพูดต่อ
“เจ้าอยู่ในจักรวรรดิคาซี เจ้าไม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไงกันน่ะ?”
เหตุผลที่ทรังคส์พยายามอย่างเอาเป็นเอาตายที่จะเร่งขยายอำนาจและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับหุบเขาแสงตะวัน ก็เป็นเพราะ แบรดลีย์ พิลลอน ผู้นี้นี่เอง หานซั่วจำได้ว่าเป็นเพราะแอนนี่ เด็กสาวที่ทรังคส์บอกว่าเป็นน้องสาวของตัวเอง ได้ถูกกระทำชำเราอย่างแสนสาหัสจนคาดไม่ถึง และแบรดลีย์ก็คือหนึ่งในตัวการผู้ชั่วช้าสามานย์เหล่านั้น
ฟลอริด้าและกุสตาฟ ทั้งคู่ล้วนตายด้วยน้ำมือของทรังคส์ระหว่างการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในหุบเขาแสงตะวัน ในตอนนี้ คนที่ยังเหลืออยู่ในบัญชีแค้นของทรังส์ก็คือแบรดลีย์ ผู้ซึ่งกำลังเสวยสุขอยู่กับอิทธิพลเหลือล้นในจักรวรรดิคาซี เมื่อโซฟีพูดถึงแบรดลีย์ หานซั่วจึงอดไม่ได้ที่จะพ่นลมอย่างดูถูกออกมา
ในเมื่อทรังส์ตั้งเป้าไว้กับคน ๆ นี้ หานซั่วจึงไม่อยากลงมือทำอะไรลงไปด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม หากว่าแบรดลีย์เป็นฝ่ายมามีเรื่องกับหานซั่วเอง ก็ย่อมเป็นเรื่องบันเทิงใจอย่างแน่นอน ที่จะได้สั่งสอนบทเรียนที่ลืมไม่ลงไปตลอดชีวิตของเขา
“20,000 เหรียญทอง! มีใครจะให้ 21,000 เหรียญทองมั้ยครับ? 21,000 เหรียญทอง….?”
โฆษกพูดต่อ แต่ท่าทีคนผู้เข้าประมูลที่อยู่ด้านล่างเวทีกลับนิ่งเฉย
“ในจักรวรรดิคาซี ราชวงศ์พิลลอนมีอิทธิพลอย่างแท้จริง ไม่มีใครกล้าทำให้ชีวิตของตัวเองลำบากเพราะคนในราชวงศ์พวกนั้นหรอก”
โซฟีอธิบายกับหานซั่วพลางถอนหายใจ
เมื่อโซฟีพูดออกมา เธอก็รู้สึกอับจนหนทางเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง เพราะเธอตระหนักดีถึงอิทธิพลของตระกูลพิลลอนในจักรวรรดิคาซี จึงรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้เลยเรื่องการแต่งงานของเธอกับบราก ตอนนั้นเองที่ความรู้สึกท้อแท้เอ่อล้นขึ้นมาเกาะกุมเต็มหัวใจ โซฟีคิดในใจว่า แม้เธอจะมีพลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่เธอก็คัดค้านผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองได้ยากเหลือเกิน แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกัน?
“นับครั้งที่ 1! นับครั้งที่ 2! …ขายให้กับท่านบราก!”
โฆษกใช้ค้อนไม้ทุบโต๊ะเสียงดังลั่น
โซฟีที่กำลังหม่นหมอง ไม่ได้สนใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างการประมูล สินค้าล้ำค่าอีก 4 ชิ้นต่อมาล้วนถูกประมูลไปด้วยราคาที่สูงลิ่ว ในบรรดาสินค้า 4 ชิ้นนั้น มีชุดคลุมเวทมนตร์ซึ่งมีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา 2 ชุด ม้วนคาถาที่สามารถร่ายเวทมนตร์ต้องห้ามได้ 1 ม้วน และอย่างสุดท้ายเป็นสร้อยคอที่ประดับประดาไปด้วยเพชรเม็ดงามนับร้อย และในอดีตเคยถูกสวมใส่โดยจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์เวอร์ดัน
หานซั่วไม่สนใจของทั้ง 4 ชิ้นเลย ของ 3 ชิ้นแรกนั้นถูกประมูลไปโดยนักเวทย์แต่ละสาขาต่างกันออกไป และสร้อยคอชิ้นสุดท้ายถูกประมูลไปโดยบราก
หานซั่วสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง และเห็นว่ายิ่งบรากแสดงอิทธิพลยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่าใด โซเฟียก็จะยิ่งหม่นหมองมากขึ้นเท่านั้น เรื่องนี้ทำให้หานซั่วสับสน เพราะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมโซฟีถึงต้องดูทุกข์ใจถึงเพียงนี้
“ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ สิ่งที่เราจะประมูลกันต่อไปนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญของพวกเราก็ไม่สามารถระบุได้ว่ามันคืออะไร อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้มีคุณสมบัติที่วิเศษมหัศจรรย์มาก เมื่อมันปักลงบนพื้นดิน พืชพรรณภายในรัศมี 2-3 กิโลเมตรก็จะเติบโตแข็งแรงขึ้นและสูงขึ้น…”
โฆษกบนเวทีเริ่มแนะนำ
ระหว่างการแนะนำ ใบไม้สีเขียวบาง ๆ ขนาดเท่าฝ่ามือที่วางอยู่บนถาดคริสตัล ก็ถูกนำออกมาแสดงบนเวที ใบไม้นี้มีพื้นผิวที่แวววาวราวกับทำมาจากหยกสีเขียวเข้มชั้นดี ทันทีที่มันถูกนำมาแสดง อากาศรอบ ๆ ห้องโถงก็ถูกทำให้บริสุทธิ์ขึ้นอย่างฉับพลัน
ราวกับว่าพวกเขาทั้งหมดถูกเวทมนตร์เคลื่อนย้ายไปอยู่ท่ามกลางป่าที่เขียวชอุ่ม ร่างกายและจิตใจของทุกคนดูเหมือนจะผ่อนคลายขึ้นในบัดดล
หานซั่วซึ่งไม่ได้ให้ความสนใจกับอะไรมากนัก กลับสะดุ้งขึ้นมาอย่างกะทันหัน พร้อมกับประกายเด่นชัดที่วาบขึ้นในดวงตา เมื่อโซฟีที่อยู่ข้าง ๆ ได้เห็นสายตาของหานซั่วที่เบิกกว้างอย่างน่าใจหาย ความหม่นหมองในใจเธอถูกแทนที่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เธอมองไปที่หานซั่วด้วยความงุนงงและร้องถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“เจ้าอยากได้สิ่งนั้นเหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ!”
หานซั่วตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“มันคืออะไรกันน่ะ? ข้าไม่เคยเห็นใบไม้ประหลาดแบบนั้นมาก่อนเลย เจ้ารู้เหรอว่ามันคืออะไร?”
โซฟีรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เธอจึงถามหานซั่วพลางจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา
หานซั่วพยักหน้าและอธิบาย
“มันอธิบายให้เจ้าฟังยากอยู่แฮะ สรุปง่าย ๆ แล้วกัน เจ้าสิ่งนี้จะมีประโยชน์กับข้ามากเลยล่ะ!”
“ถ้างั้นก็ประมูลเลยสิ ถ้าเจ้ามีเหรียญทองไม่พอ ข้าจะให้เจ้ายืมเอง แต่เจ้าต้องคืนข้านะ!”
โซฟีพูดกับหานซั่วอย่างร่าเริง หลังจากนั้น เธอก็มองไปยังห้องพิเศษด้านบนก่อนจะพูดกับหานซั่ว
“ข้าจะก้มหัวหลบ ๆ หน่อยก็แล้วกัน พ่อข้าจะได้ไม่สังเกตเห็นตอนที่เจ้าประมูล”
“…แม้ว่ายากที่จะพูดถึงต้นกำเนิดของใบไม้ใบนี้ แต่ข้าก็ยังเชื่อว่าคนที่มีความรู้สามารถ ต้องรู้สึกได้ถึงความพิเศษของมัน เอาล่ะครับ… ราคาเริ่มต้นคือ 10,000 เหรียญทอง! ขอให้ผู้ที่เสนอราคาที่ดีที่สุดเป็นผู้ชนะ เริ่มการประมูลได้!”
โฆษกตะโกน
“20,000 เหรียญทอง!”
“25,000 เหรียญทอง!”
“27,000 เหรียญทอง!”
ดูเหมือนว่าจะมีคนที่รู้จักของดีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน หลังจากที่โฆษกพูดจบ ราคาก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
หานซั่วยังไม่รีบร้อนที่จะยกมือ หากแต่สังเกตผู้ประมูลคนอื่น ๆ ด้วยสายตาเย็นชา หลังจากที่รอบข้างส่งเสียงตะโกนและตอบโต้กันไปมา ราคาก็พุ่งขึ้นไปถึง 40,000 เหรียญทอง ในตอนนั้น ขุนนางมากมายที่เพียงสงสัยเกี่ยวกับคุณสมบัติพิเศษของของมีค่าชิ้นนี้ ก็เริ่มหดหายไปทีละคน ๆ
ยังเหลือคนอีกเพียง 3 คนที่สนใจในของชิ้นนี้อย่างจริงจัง ในบรรดาคนเหล่านั้น คนหนึ่งเป็นชายอ้วนผู้กระตือรือร้น อีกคนหนึ่งคือสตรีสูงศักดิ์ในชุดคลุมสีสว่าง และคนสุดท้ายไม่ใช่ใครที่ไหน บรากแห่งราชวงศ์พิลลอนนั่นเอง
ในจำนวน 3 คนนี้ บรากมีท่าทีตื่นเต้นมากที่สุด บางที อาจจะเป็นเพราะพบว่ามีคนที่กล้าแข่งขันกับเขา แต่เขาก็ดูหงุดหงิดมากเช่นกัน หานซั่วสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้นที่รัวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากความตื่นเต้นของเขาได้อย่างชัดเจน
ชายอ้วนคนนั้นดูเหมือนจะเป็นพ่อค้าผู้ร่ำรวยมั่งคั่ง เมื่อพิจารณาจากเครื่องแต่งกาย น่าจะบ่งบอกได้ว่าเขามาจากสมาพันธ์พ่อค้าบรุท ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะกล้าสู้กับบรากเช่นนี้ ส่วนหญิงสูงศักดิ์คนนั้น แม้ว่าหานซั่วจะไม่สามารถบอกได้ถึงที่มาของเธอ แต่ก็พอมองออกว่าทรัพยากรด้านการเงินของเธอคงจะน้อยที่สุดในบรรดา 3 คน สีหน้าของเธอแสดงความไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ คาดว่าราคาการประมูลนั้นได้พุ่งสูงขึ้นจนเธอเริ่มสู้ไม่ไหวแล้ว
หลังจากสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อหานซั่วเห็นว่าราคาพุ่งไปถึง 50,000 เหรียญทอง เขาก็เริ่มเคลื่อนไหวในทันที พร้อมกับตัวเลขหลายหลักที่ปรากฏขึ้น
“น… หนึ่งแสนเหรียญทอง ใคร… ใครกันครับ?”
โฆษกร้องเสียงหลงออกมา พลางกวาดสายตาไปยังฝูงชนเพื่อหาตัวผู้เสนอราคา
แล้วทั่วทั้งงานประมูลก็เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายขึ้นมาทันที!
*****************************