Gate of God – ตอนที่ 912 ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ

ตอนที่ 912 ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ

  สิ่งหนึ่งที่แน่นอน

  คือฟางเจิ้งจือได้ตายไปแล้วมันคงจะแปลกเกินไปถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ในสภาพเช่นนี้

   ช่างน่าเสียดายที่เจ้าและข้าเป็นศัตรูกัน หยุนชิงวูรู้ว่าคงไม่มีใครตอบนาง แต่นางก็พูดออกมาด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน

  จากนั้นหยุนชิงวูค่อยๆทรุดตัวลงชุดยาวสีขาวแผ่ออกบนพื้นดินราวกับดอกไม้ที่ผลิบาน

  แต่ไม่มีใครสังเกตุมองภายใต้สถานการณ์เช่นนี้

  การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด

  ไป่ฉือหยุดตรงหน้ามู่งฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือในขณะที่หางจิ้งจอกยักษ์คอยปิดกั้นเส้นทางของเฉียนยู่และหยานหยิงเพื่อไม่ให้เข้าใกล้หยุนชิงวู

  หยุนชิงวูวางมือลงบนหน้าผากของฟางเจิ้งจือและใช้นิ้วสัมผัสร่างของเขาเบาๆ

  มือของนางค่อยๆขยับไปถึงหน้าอกที่มีเศษผ้าปกคลุมอยู่และดึงมันออกภายใต้เศษผ้าเผยให้เห็นกระจกป้องกันใจที่ฝังด้วยอัญมณีทรงสี่เหลี่ยม

  มันคือกลืนกินโลก

  นิ้วของหยุนชิงวูสั่นเล็กน้อยราวกับตกอยู่ในภวังค์เมื่อจ้องมองอัญณีเม็ดนั้น

  อย่างไรก็ตามนางเรียกสติคืนอย่างรวดเร็วแต่ยังหลงเหลือความเศร้าบนใบหน้า แทนที่นางจะดีใจที่ได้สมบัติคืนแต่กลับมีสีหน้าที่เศร้าโศก

   นายน้อย! ผู้ที่ยืนด้านหลังหยุนชิงวูพูดขึ้นเสียงของเขาเป็นปกติเมื่อเทียบกับหยุนชิงวู อย่างน้อยๆก็เป็นน้ำเสียงที่ตื่นเต้น

   ข้าอยากบรรเลงบทเพลงเพื่อเจ้า หยุดชิงวูยกมือขึ้นและหยุดร่างสีดำด้านหลังและก้าวไปด้านหน้าแทนที่จะควักกระจกป้องกันใจออกจากร่างของฟางเจิ้งจือ   ตอนนี้?! ร่างสีดำนิ่งงั้นและหันมองจักรพรรดินีอสูรไป่ฉือและหันมองมู่ฉิงเฟิงที่กำลังบาดเจ็บก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ  นายน้อย ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ …พวกเราไม่มีเวลามากพอสำหรับ… 

   นั่งลง! หยุนชิงวูไม่รอให้เขาพูดจบ น้ำเสียงของนางกลายเป็นเย็นชาพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็น

   โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปและคุกเข่าลงที่พื้นอย่างไม่ลังเล เขาก้มหัวและไม่กล้าเงยหน้าสบตาแม้แต่น้อย

  นี่เป็นฉากที่น่าตกใจอย่างมากสำหรับมู่ฉิงเฟิงโม่ฉานฉือและคนอื่นๆ

  สิบผู้อาวุโสแห่งดินแดนปีศาจที่ได้รับความเคารพจากปีศาจมากมายดูเหมือนมันจะไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าหยุนชิงวู

  แม้เหล่ามนุษย์จะไม่เชื่อที่ไป่ฉือพูดแต่ฉากนี้ก็ทำให้พวกเขาต้องเชื่อ

  หยุนชิงวู!   นางคือผู้นำที่แท้จริงของเผ่าพันธุ์ทั้งสองนอกจากนี้นางมีอำนาจสั่งการเหนือกว่าไป่ฉือ

  ในตอนนี้มู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือต่างนิ่งงัน

  ไม่ใช่แค่พวกเขาเหล่าศิษย์ที่ยังไม่ได้หนีออกไปต่างก็นิ่งงันเช่นกัน สีหน้าที่สับสนปรากฎขึ้นบนใบหน้าอย่างชัดเจน

  หยุนชิงวูไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย

  บางทีสิ่งเดียวที่เป็นความสนใจของนางคือร่างที่ไหม้เกรียมตรงหน้าแม้มันจะถูกเผาจนไม่สามารถระบุตัวตนได้ แต่หยุนชิงวูยังคงจับจ้องที่ร่างนั้นเสมอ

   เราพบกันที่เมืองฮวายอันเป็นครั้งแรกตอนนั้นเจ้าอายุแค่ 15ปี… หยุนชิงวูนั่งลงพร้อมกับกู่เจิ้งโบราณสีม่วงที่ปรากฎขึ้นบนเข่าก่อนจะเปล่งเสียงที่แผ่วเบาออกมาเล็กน้อย มันเป็นเสียงที่ผ่อนคลายท่ามกลางสนามรบนองเลือดเช่นนี้

  ท้องฟ้ายังคงมืดมิด

  ดวงดาวส่องสว่างลงมาที่ชุดสีขาวและปกคลุมไปด้วยแสงสีเงิน

   ครั้งที่สองเราพบกันที่แม่น้ำแห่งความสัตย์ ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ข้าบอกได้เลยว่าในวันนั้นเจ้ามีความสุขมาก 

  ท่วงทำนองเริ่มบรรเลงขึ้นมันคือเพลงโบราณที่น้อยคนจะรู้จักและแทบจะเลือนหายไปในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตามหยุนชิงวูบรรเลงได้อย่างชำนาญ

   ครั้งที่สามนอกเมืองหลวง แม้พวกเราจะได้พบกัน แต่พวกเราไม่ได้… 

   ครั้งที่สี่ที่ดินแดนภูเขาทางใต้เจ้าได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของข้า พวกเรามองกันจากระยะไกล แต่เจ้าลักพาตัวข้าและนั่นเป็นความล้มเหลวครั้งแรกของข้า.. 

   … 

   และครั้งสุดท้ายในที่สุดเราก็ได้ใช้เวลาร่วมกัน ข้าคิดว่ามันจะนานกว่านั้น แต่ดูเหมือนเจ้ากำลังรีบ… 

   ก่อนที่เจ้าจะไปเจ้าได้ถามข้าว่าทำไมถึงให้สิ่งนั้นกับเจ้าและข้าไม่ได้ตอบ อย่างไรก็ตามข้าจะบอกเจ้าในตอนนี้แม้เจ้าจะไม่มีทางรับรู้เหตุผลของข้าแล้วก็ตาม… 

   ถ้าเจ้ากลายเป็นจักรพรรดิในสักวันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจว่าจักรพรรดิสามารถมอบสิ่งใดๆให้กับใครก็ได้หากต้องการ ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าของก็ตามมันไม่สำคัญแม้แต่น้อย 

  ในขณะที่หยุนชิงวูกำลังพูดนางปล่อยกลิ่นอายที่แข็งแกร่งออกมาจากภายใน อย่างไรก็ตามมันหายไปอย่างรวดเร็วราวกับมังกรหยกที่บินหายเข้าไปในกลุ่มเมฆ

  ท่วงทำนองของกู่เจิ้งยังคงดังสะท้อนในอากาศอย่างไพเราะและผ่อนคลาย

  อย่างไรก็ตามเหล่าศิษย์ด้านล่างไม่มีอารมณ์เพลิดเพลินกับบทเพลงแม้แต่น้อย

  แม้นางจะไม่ได้ปล่อยกลิ่นอายออกมาแต่เป็นความจริงที่หยุนชิงวูสามารถบรรเลงบทเพลงท่ามกลางสนามรบที่เต็มไปด้วยซากศพและกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้ได้ และมันยิ่งสะท้อนให้เห็นว่านางอยู่เหนือกว่าผู้อื่น  ในตอนนั้นราวกับมีดาวที่ส่องสว่างเพียงดวงเดียวบนท้องฟ้า แม้แต่ไป่ฉือในร่างอสูรก็ยังเสียความโดดเด่นไป

  ทำนองเพลงจบลงแต่การต่อสู้ยังไม่จบ

  หยุนชิงวูวางมือลงและจ้องมองเหล่าศิษย์ด้านล่างด้วยท่าทีสงบนิ่ง

  อย่างไรก็ตามในสายตาของพวกเขาหยุนชิงวูทรงพลังมากจนไม่กล้าสบตา

   เอาล่ะมาเริ่มกันเถอะ หยุนชิงวูพูดเบาๆและกู่เจิ้งโบราณก็หายไปจากหัวเข่าของนาง

   รับทราบ! ร่างสีดำยืนขึ้นด้านหลังหยุนชิงวูตอบกลับอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะแยกย้ายประจำตำแหน่งรอบตัวหยุนขิงวู

  ไป่ฉือกลับคืนสู่ร่างมนุษย์อีกครั้งนางคว้าหนานกงเฮาที่หมดสติแล้วเดินไปหาหยุนชิงวู ชุดขนสีขาวหิมะช่างดูน่ากลัวในท้องฟ้ายามค่ำคืน

   ไป่ฉือเจ้าไม่มีทางทำสำเร็จ! หยานหยิงพุ่งเข้าหานางทันทีเมื่อกลับคืนสู่ร่างมนุษย์   ค่ายกลปีศาจเพลิงทั้งสิบ! ร่างสีดำทั้งสิบตะโกนขึ้นไม่นานเปลวเพลิงสีดำก็ลุกไหม้

  เปลวเพลิงสีดำลุกไหม้ปกคลุมร่างทั้งสิบในทันทีนอกจากนี้มันยังเป็นโล่ปกป้องหยุนชิงวูและไป่ฉืออีกด้วย

  ตูม!กำปั้นของหยานหยิงปะทะกับเปลวเพลิงสีดำส่งคลื่นกระแทกออกไปทั่วทุกทิศทาง

  อย่างไรก็ตามเปลวเพลิงสีดำไม่ดับลงกลับกันมันลุกโชกมากกว่าเดิมราวกับสายลมเข้าไปเติมเชื้อเพลิงให้กับมัน

   มันลุกไหม้มากขึ้นเพราะสายลม?ข้าเกรงว่าจะทำลายมันได้จากด้านในเท่านั้น? มู่ฉิงเฟิงขมวดคิ้วอย่างจริงจัง ดูเหมือนเขาจะกังวลอย่างมาก

   นั่นหมายความว่าเราไม่สามารถทำลายมันได้? โม่ฉานฉือกำมือแน่นด้วยความโกรธอย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะโกรธแค่ไหนก็ไม่รู้จะทำยังไงกับอาการบาดเจ็บทั้งหมดนี้อยู่ดี   ไม่พวกเราต้องลอง! มู่ฉิงเฟิงกัดฟันแน่นและตอบกลับ

   ถ้าอย่างนั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ? เฉียนยู่เคลื่อนไหวขณะที่พูด นางตวัดดาบคู่สีเงินและพุ่งลงมาจากท้องฟ้าราวกับเหยี่ยว

  ตูม!แรงระเบิดเกิดขึ้นอีกครั้ง เปลวเพลิงสีดำรุนแรงมากขึ้นราวกับมันกำลังลุกไหม้ท้องฟ้าทั้งผืน

   ไม่ไฟที่ลุกไหม้มีแรงลมเติมเต็มตลอดเวลา แม้พวกเราจะสร้างรอยแตกเล็กๆได้ก็ตาม แต่ลมกระโชกแรงช่วยทำให้มันลุกไหม้มากยิ่งขึ้น! หยานหยิงพูดอย่างจริงจัง

   เจ้ากำลังจะบอกว่าพวกเราไม่สามารถทำอะไรได้? โม่ฉานฉือยอมรับไม่ได้อย่างไรก็ตามเป็นอย่างที่หยานหยิงและมู่ฉิงเฟิงพูด ผู้อาวุโสทั้งสิบแห่งดินแดนปีศาจใช้ค่ายกลปีศาจเพลิง มันจะพังลงง่ายๆได้ยังไง?

  ด้วยความโกรธและอัดอั้นในใจ!

  มันก่อเกิดความสิ้นหวังเล็กน้อย  อย่างไรก็ตามเป็นความจริงที่มนุษย์ไม่สามารถสู้กับอสูรได้อีกแล้ว หลังจากที่มู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือบาดเจ็บสาหัส

   อาคมศักดิสิทธิ์- ยึดวิญญาณ! ในตอนนั้น พวกเขาได้ยินเสียงจากภายในเปลวเพลิงสีดำ พวกเขารู้สึกถึงพลังของสวรรค์และโลก

  วงกลมขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นรอบเปลวเพลิงราวกับระลอกคลื่น

   เฮาเอ๋อร์! หนานกงเทียนไม่ได้หนีไปอย่างไรก็ตาม เขาจะเผชิญหน้ากับราชาอสูรนับสิบด้วยตัวคนเดียวได้ยังไง?

  หนานกงเทียนรู้สึกทนไม่ได้กับภาพตรงหน้า

  พวกเขากำลังจะประสบความสำเร็จจากความพยายามหลายพันปีแต่กลับล้มเหลวอีกครั้ง ความสิ้นหวังเกาะกินหัวใจของเขา

  เขากำมือแน่นแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ราชาอสูรหลายสิบตัวอยู่ตรงหน้า

  ยิ่งกว่านั้นแม้เขาจะฝ่าราชาอสูรออกไปได้ก็ไม่สามารถทำลายปีศาจเพลิงทั้งสิบได้อยู่ดี

  ความสิ้นหวังที่เกิดจากการไม่ยอมรับ

  อย่างไรก็ตามในตอนนี้ไม่มีใครสนใจหนานกงเทียน

  ไม่มีใครสนใจศิษย์ที่หนีไปเพราะตอนนี้มนุษย์แทบไม่มีโอกาสเปลี่ยนกระแสสงครามแม้แต่น้อย

   ผู้นำอันดับสองถ้าเราไม่หนีตอนนี้จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว! 

   อืม! เต๋าซิงพยักหน้าเหลือบมองคนที่สวมชุดขาวท่ามกลางปีศาจเพลิงทั้งสิบ จากนั้นขยับริมฝีปากเล็กน้อย

  มันไม่มีเสียงแต่ริมฝีปากของนางกำลังเคลื่อนไหวราวกับพูดอะไรบางอย่าง

  เมื่อริมฝีปากของนางเคลื่อนไหวเต๋าฮุนที่กำลังต่อสู้อยู่กลางอากาศก็จู่โจมทันที จากนั้นก็หันมองเต๋าซิงอย่างจริงจัง

  เต๋าฮุนเริ่มเคลื่อนไหว  เขาพุ่งผ่านราชาอสูรด้วยความเร็วสูงสุดขึ้นไปถึงยอดต้นไม้เทพเจ้าในชั่วพริบตาราวกับกระสุนดาวตก

  ฉากตรงหน้าเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

  เมื่อถึงยอดต้นไม้เทพเจ้าเขาหันกลับแล้วพูดว่า  ผู้นำมู่ ผู้นำโม่ ผู้นำเฉียน จงมีความหวังตราบที่ยังมีชีวิต พวกเราอาจจะแพ้ในวันนี้ ทำไมไม่หนีไปก่อนที่จะสูญเสียมากกว่านี้ และกลับมาแก้แค้นในวันข้างหน้า!  มีคนๆหนึ่งอยู่ในแขนของเต๋าฮุนในขณะที่เขาพูดขึ้น

  เขาคือเหยียนซิวผู้ที่หมดสติอยู่

   เต๋าฮุนเจ้า … โม่ฉานฉือตกใจเมื่อได้ยินเต๋าฮุนพูด ถึงอย่างนั้นเขาก็โกรธเกินกว่าที่จะพูดจนจบประโยค

   เฒ่าโม่! มู่ฉิงเฟิงกัดฟันแน่นอย่างไรก็ตามเขาถอนหายใจและพูด  ไม่จำเป็นที่จะตายที่นี่ ผู้นำเต๋าพูดถูกแล้ว! 

   พวกเราต้องไปจริงๆเหรอ? โม่ฉานฉือตอบอย่างไม่เต็มใจ   ฮ่าฮ่าฮ่า…เจ้าพยายามหนีงั้นหรือ? ถ้าทำได้ก็ลองดู!  พวกเขาได้ยินเสียงหัวเราะของไป่ฉือ มันเป็นน้ำเสียงที่ตื่นเต้นไม่น้อย

  ความจริงแล้วใครๆคงจะรู้สึกดีถ้าได้อยู่ในสถานะเดียวกับนางตอนนี้ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งมันได้แล้ว

  อย่างไรก็ตามมีเรื่องที่สมบูรณ์แบบบนโลกนี้ด้วยงั้นหรือ?

  แน่นอนว่าไม่

  อย่างเช่นในขณะที่ไป่ฉือกำลังหัวเราะอย่างตื่นเต้นแต่เสียงหัวเราะนั่นไม่มีทางคงอยู่ได้ตลอดไป

  ตูม!

  นางลอยกระเด็นออกจากค่ายกลปีศาจเพลิงร่างของนางลอยสูงขึ้นไปในอากาศราวกับเสาแสงที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

  ……………………………………..

 

Gate of God

Gate of God

เรื่องราวของฟางเจิ้งจือผู้ได้มาเกิดใหม่ในโลกที่ผู้คนสามารถใช้พลังจากธรรมชาติที่เรียกว่า’เต๋า’ได้ แต่ฟางเจิ้งจือผู้ที่เกิดมาในครอบครัวชาวบ้านธรรมดาและต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกลับต้องพัวพันกับเหตุการณ์ต่างๆทั้งการทดสอบพลังและความรู้ของอาณาจักร ความขัดแย้งทางการเมืองรวมถึงเผ่าปีศาจที่คอยชักใยแผนการอยู่เบื้องหลัง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท