Gate of God – ตอนที่ 914 ผีหลอกตอนกลางวัน

ตอนที่ 914 ผีหลอกตอนกลางวัน

   นางบาดเจ็บ?! 

   จักรพรรดินีอสูรไป่ฉือได้รับบาดเจ็บงั้นหรือ?! 

   เขา…ทำให้ไป่ฉือบาดเจ็บอีกครั้ง?! 

  มู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือรวมไปถึงเหล่าศิษย์ด้านล่างต่างตะตกละลึงที่เห็นร่างของไป่ฉือโชกเลือดเพราะบาดแผล

  มีพลังเทียบเท่าจักรพรรดินีอสูรนอกจากนี้ยังทำให้นางบาดเจ็บอีกด้วย

  มีเรื่องไร้สาระมากไปกว่านี้อีกไหม?

  ไม่มีใครเชื่อสิ่งที่พวกเขาเห็นแม้แต่หยุนชิงวูและปีศาจอาวุโสทั้งสิบต่างก็ตกใจจนไม่สามารถตอบสนองเรื่องตรงหน้าได้

  นางคือจักรพรรดินีอสูรและเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์!

  ไม่ว่าพวกเขาจะไม่อยากเชื่อมากแค่ไหนแต่ก็เป็นความจริงที่ฟางเจิ้งจือไล่ต้อนนางและมีความได้เปรียบ

   มันเกิดอะไรขึ้นกัน? 

   ทำไมจู่ๆฟางเจิ้งจือถึงแข็งแกร่งขึ้นได้ขนาดนี้? 

   เป็นเพราะผมไม้เทพเจ้าที่ฟางเจิ้งจือกินเข้าไปงั้นหรือ? 

  คำถามมากมายปรากฎขึ้นในใจของทุกคนและสงสัยเกี่ยวกับผลไม้เทพเจ้า

   เขายังไม่ตาย?! 

   ยิ่งไปกว่านั้นเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม! 

   ผลไม่เทพเจ้าเป็นสิ่งที่สามารถกินได้จริงๆหรือ? 

  ไม่มีใครรู้ว่านั่นเป็นคำตอบที่ถูกหรือไม่อย่างไรก็ตามมันเป็นความจริงที่ฟางเจิ้งจือแข็งแกร่งขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ

   เจ้า…เจ้าทำได้ยังไง? ถ้าจะมีสักคนบนโลกนี้ที่รู้คำตอบก็คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจักรพรรดินีอสูรไป่ฉือ  อย่างไรก็ตามการที่นางรู้คำตอบนั้นยิ่งทำให้นางตกใจมากขึ้นไปอีกเพราะผลไม้เทพเจ้าไม่สามารถกินได้โดยวิธีปกติ

  หรือก็คือมันเป็นผลไม้ที่กินได้อย่างไรก็ตามมีเพียงสายเลือดของจักรพรรดิหยานเท่านั้นที่สามารถกินมันได้

  ไป่ฉือไม่เข้าใจ

  นางไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมฟางเจิ้งจือสามารถกินผลไม้เทพเจ้าได้นอกจากนี้เขายังฟื้นจากความตายและมีชีวิตอีกครั้ง?

   เจ้าอยากรู้งั้นหรือว่าทำไม?ถ้าเจ้าพูดว่าอยากรู้ ข้าจะบอกทันที! ฟางเจิ้งจือไม่รีบร้อนนัก หลังจากที่รับมือกับพลังของไป่ฉือได้ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอีกต่อไป

   เจ้า… ไป่ฉือเหล่มองและยกกรงเล็บขึ้นอย่างไรก็ตามนางเก็บมันลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นดวงตาสีเขียวเข้มของนางก็สว่างใสขึ้นและพูดว่า  เอาล่ะ บอกข้ามา ข้าอยากรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้ยังไง    เจ้าอยากรู้จริงๆเหรอ? 

   ใช่! 

   อยากรู้แค่ไหน? 

   … กรงเล็บของนางกระตุกพร้อมกัดฟันแน่นอย่างไรก็ตามนางรีบควบคุมสติและพูดขึ้น  มาก มากที่สุด! 

   งั้นหรือ?ถ้าข้าบอกเจ้าข้าจะได้อะไรตอบแทน? ฟางเจิ้งจือมองไป่ฉือที่กำลังร้อนรนอย่างมาก

   ฮ่าฮ่าเจ้าต้องการอะไร? 

   เจ้าจะให้สิ่งที่ข้าต้องการงั้นหรือ? 

   … กรงเล็บของนางกระตุกอีกครั้งก่อนจะตอบ ทำไมเจ้าไม่บอกก่อนล่ะว่าต้องการอะไร? ข้าจะให้เจ้าหากข้ามี 

   ข้าอยากได้ขนของเจ้ามาทำเสื้อสักหน่อย 

   เจ้าเด็กนี่รนหาที่ตาย!! ในที่สุดไป่ฉือก็ระเบิดความโกรธออกมาอีกครั้งขนสีขาวตั้งตรงราวกับเข็มนับไม่ถ้วนปกคลุมร่างกายของนาง

   ถ้าข้าไม่รนหาที่ตายเจ้าจะไว้ชีวิตข้างั้นหรือ? ฟางเจิ้งจือเผยยิ้มเล็กน้อย

   เจ้าคิดว่าจะชนะข้าได้จริงๆหรือ? 

   ข้าจะรู้ได้ยังไงถ้ายังไม่ลอง? 

   ฮ่าฮ่าฮ่า…ฟางเจิ้งจือ แม้เจ้าจะมีความฉลาด แต่ไม่รู้งั้นหรือว่ากำลังยืนอยู่ที่ไหน? มองดูให้ดีๆซะ! ไป่ฉือเริ่มหัวเราะอย่างมีความสุข ราวกับความโกรธของนางได้หายไปอย่างสมบูรณ์

   ข้าอยู่ที่ไหน? ฟางเจิ้งจือกระพริบตาและมองไปรอบๆครู่นึง เขาไม่เข้าใจจริงๆว่านางหมายถึงอะไร

  เขารู้สึกว่าอยู่ในตำแหน่งที่ดีและสถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมของเขารวมไปถึงป้องกันไม่ให้ไป่ฉือเข้าใกล้หนานกงเฮาได้

   ข้าไม่ได้… 

   …    เดี๋ยวก่อนข้าไม่ได้ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ดีเลย ต้นไม้คอยบังร่างของข้าอยู่ในตอนนี้ แต่ข้ากำลังยืนอยู่ที่ไหน… 

  เขารู้สึกเย็นๆที่สะโพกเพราะสายลมที่พัดผ่าน

   ยัยแก่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะใจดีเตือนข้า โชคยังดีที่ข้ามีเสื้อผ้าให้เปลี่ยน… หืม? ใครขโมยกระจกป้องกันใจของข้าไป!  ฟางเจิ้งจืออยากจะเข้าถึงกระจกป้องกันใจเพื่อหาอะไรใส่ อย่างไรก็ตามเขาตระหนักอย่างรวดเร็วว่ามีบางอย่างผิดปกติ

  นั่นเพราะที่นห้าอกของเขามันว่างเปล่า

   อะไรกัน!

  ฟางเจิ้งจือไม่พอใจเล็กน้อยพวกเขาจะเอาเสื้อผ้าเขาไปก็ได้แต่กระจกป้องกันใจมีสมบัติที่เขาคอยเก็บสะสมมาหลายปี

  เขาจะบาดเจ็บหรือตายก็ได้ทั้งนั้นแต่เขาไม่ยอมเสียสมบัติพวกนั้น

  อย่างไรก็ตามไป่ฉือตกใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินว่า’ใครขโมยกระจกป้องกันใจของข้าไป?’

   เขาไม่รู้ตัวจริงๆหรอว่าออกจากค่ายกลปีศาจเพลิงแล้ว? ไป่ฉือไม่เข้าใจความคิดของฟางเจิ้งจือจริงๆ

  อย่างไรก็ตามมู่ฉิงเฟิงโม่ฉานฉือกลายเป็นหวาดวิตกในตอนนี้ พวกเขาเข้าใจแล้วว่าไป่ฉือหมายถึงอะไร

  ตำแหน่ง!

  เป็นอย่างที่นางพูดในขณะที่ไล่ตามไป่ฉือ ฟางเจิ้งจือออกจากค่ายกลปีศาจเพลิงโดยไม่รู้ตัว 

   เจ้าเด็กเหลือขอ…ถูกหลอก! 

   มันจบแล้วจบแล้วจริงๆ! 

   เขาไม่สามารถเข้าไปด้านในของค่ายกลปีศาจเพลิงได้อีกหนานกงเฮายังอยู่ในมือของพวกปีศาจถ้าพวกเราไม่สามารถทำลายค่ายกลได้.. 

  ความหวังของพวกเขาถูกทำลายลงอีกครั้งนั่นเพราะปัญหาสำคัญยังคงเป็นหนานกงเฮา

  ตราบใดที่หนานกงเฮาอยู่ในมือของพวกปีศาจกระแสสงครามจะยังไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้ว่าฟางเจิ้งจือจะสามารถรับมือกับไป่ฉือได้ก็ตาม

  นั่นคือสิ่งที่มู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือรู้สึกในตอนนี้

  เนื่องจากฟางเจิ้งจือหมดสติอยู่ในตอนที่ค่ายกลปีศาจเพลิงถูกใช้งานเขาจึงไม่รู้เรื่องนี้

  นอกจากเสียงของกู่เจิ้งแล้วเขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

  อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจของเขาแม้แต่น้อย

  อย่างเช่นในตอนนี้เขาพบว่าหยุนชิงวูกำลังถือบางอย่างที่มีความยาวและส่องประกายอยู่ในมือ เห็นได้ชัดว่ามันคือกระจกป้องกันใจของเขา

   หยุนชิงวูเจ้าเป็นคนขโมยมันไป! ดวงตาของฟางเจิ้งจือเบิกกว้าง ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลยที่เห็นคนอื่นกำลังถือของๆเขาอยู่

  ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ถ้ามีบางอย่างผิดไปเช่นของบางสิ่งตกหักหรือสูญหาย หยุนชิงวูจะรับผิดชอบกับของๆเขาไหม?

  นั่นเป็นสิ่งที่ยืนยันไม่ได้

  ดังนั้นฟางเจิ้งจือจึงตัดสินใจเคลื่อนไหวก่อน

  ฟุ่บ!ฟางเจิ้งจือพุ่งเข้าหาหยุนชิงวูอย่างไม่ลังเล ราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงจากท้องฟ้า

   หืม?ในที่สุดก็รู้ตัวว่าออกมาจากค่ายกลปีศาจเพลิงแล้วงั้นหรือ? ไป่ฉือยิ้มเยาะเมื่อเห็นฟางเจิ้งจือพุ่งเข้าไป ในขณะเดียวกันก็พูดขึ้น  มันเป็นเรื่องง่ายที่จะออกมา แต่ไม่ใช่การกลับเข้าไป! 

  นางไม่ได้หยุดเขาในทันที

  นั่นเพราะนางรู้ถึงพลังของค่ายกาลปีศาจเพลิงทั้งสิบดีมันต้องใช้ความพยายามอย่างมากแม้แต่ตัวนางเองก็ทำลายไม่ได้ง่ายๆ ไม่ต้องพูดถึงฟางเจิ้งจือเลย

  ตูม!เสียงระเบิดดังขึ้น จากนั้นเปลวไฟสีดำก็ลุกโชนบดบังท้องฟ้า

  ครืน…

  ความร้อนสูงแผดเผาแม้แต่อากาศ

  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าร่างของฟางเจิ้งจือเองก็หมุนกระเด็นขึ้นไปกว่าสองสามรอบก่อนที่เขาจะตั้งหลักได้

  ท่าทางของเขา..

  ท่าทางของเขายังคงสง่างาม

  อย่างไรก็ตามหัวใจของโม่ฉานฉือมู่ฉิงเฟิงรวมไปถึงคนอื่นๆต่างจมดิ่งเมื่อเห็นสิ่งตรงหน้า พวกเขาหันมองกันและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างหมดหวัง

   ค่ายกลปีศาจเพลิงจะถูกทำลายได้จากภายในเท่านั้น! 

   ข้าไม่คิดเลยว่าไป่ฉือจะคำนวนเรื่องนี้ไว้แล้วนางแกล้งทำเป็นแพ้เพื่อหลอกให้ฟางเจิ้งจือไล่ตาม!     แม้เจ้าเด็กเหลือขอนั่นจะมีพลังมากแต่ก็ยังเทียบประสบการณ์ที่ไป่ฉือมีไม่ได้! 

  มู่ฉิงเฟิงโม่ฉานฉือและหยานหยิงโกรธแต่ไม่ได้โทษฟางเจิ้งจือ

  แม้แต่พวกเขาเองก็ติดกับไป่ฉืออย่างเลี่ยงไม่ได้ไม่ต้องพูดถึงฟางเจิ้งจือแม้แต่น้อย

   ฮ่าฮ่าฮ่าฟางเจิ้งจือหยุดใช้พลังอย่างเปล่าประโยชน์ เจ้าไม่สามารถทำลายค่ายกลปีศาจเพลิงได้หรอก! ไป่ฉือจ้องมองและหัวเราะอีกครั้ง

   นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าค่ายกลปีศาจเพลิงงั้นหรือ? ฟางเจิ้งจือจ้องมองไป่ฉือก่อนจะหันมองเปลวไฟสีดำที่ลุกโชกรวมไปถึงหยุนชิงวูที่ยืนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟนั้นและปีศาจอาวุโสที่นิ่งสงบอยู่ตลอดเวลา

   มันยากมาก… 

   ที่จะทำลายค่ายกลนี้? 

  ฟางเจิ้งจือไม่รู้ว่าทำไมไป่ฉือถึงหัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนั้นแต่เขารู้ว่าค่ายกลปีศาจเพลิงก่อเกิดจากเต๋าน้ำแข็งและเต๋าแห่งไฟ เป็นสองเต๋าที่ผสานพลังกันได้ยากมาก และเมื่อผสานเข้ากันได้มันจะเกิดใหม่เป็น ‘เต๋าเพลิงเยือกแข็ง’

  เมื่อเกิดเป็นเต๋าเพลิงเยือกแข็งมันจะสามารถผสานเข้ากับเต๋าพายุได้อย่างไรก็ตามค่ายกลนี้กลืนกินเต๋าพายุ

  พูดอีกอย่างก็คือเต๋าพายุจะเกิดขึ้นเมื่อเต๋าเพลิงเยือกแข็งถูกโจมตี แล้วมันจะเข้าไปเสริมพลังให้กับเต๋าเพลิงเยือกแข็งจนเกิดเป็นเปลวไฟที่โหมกระหน่ำ

  สามพลังในเต๋าเดียว

  อย่างไรก็ตามช่างน่าเสียดาย ดูเหมือนเขาจะรู้จักเต๋าทั้งสามชนิดนี้

  นั่นทำให้เขาอึดอัดเล็กน้อยเขาสงสัยว่าไป่ฉือจะกัดลิ้นตัวเองไหมถ้าหากนางหยุดหัวเราะกระทันหัน

  ฟู่!ฟางเจิ้งจือเคลื่อนไหวอีกครั้ง ในตอนนั้นไฟสีดำที่เหมือนกับค่ายกลปีศาจเพลิงได้ปรากฎขึ้นบนตัวเขา

  มันเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน

  นอกจากนี้บอกได้เลยว่าฟางเจิ้งจือรวดเร็วมากเขาชนเข้ากับค่ายกลปีศาจเพลิงในชั่วพริบตา

  ฟุ่บ!มันไม่ใช่เสียงระเบิดที่ดังเหมือนครั้งก่อนๆ มันเป็นเสียงที่นุ่มนวลจนแทบไม่มีใครสนใจ

  จากนั้น…

  ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก

  นั่นเพราะฟางเจิ้งจือร่อนลงตรงหน้าหยุนชิงวูโดยเลือกตำแหน่งให้ใบไม้คอยบดบังร่างที่เปลือยเปล่าของเขา

  เมื่อสายลมพัดผ่านเขารู้สึกได้ถึงความเย็นแถวหว่างขาโชคยังดีที่ฟางเจิ้งจือเลือกตำแหน่งที่ใบไม้ปกคลุมได้มิดชิดพอ

  แน่นอนว่ามันเป็นเพียงใบไม้ไม่สามารถบดบังร่างกายเขาได้ตลอดไป

  ดังนั้นฟางเจิ้งจือจึงเอากระจกป้องกันใจคืนจากมือของหยุนชิงวูทุกอย่างเป็นไปอย่างราบลื่นโดยไม่มีอุปสรรคแม้แต่น้อย

   ขโมยรึ?นั่นไม่ใช่นิสัยที่ดีเลยนะ!  ด้วยท่าทีเงียบสงบ ฟางเจิ้งจือสั่งสอนหยุนชิงวูเล็กน้อย มันเป็นสิ่งที่แม่ของเขาสอนตอนยังเป็นเด็ก

  อย่างไรก็ตามเขาสามารถบอกได้เลยว่านางคงไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้

  นอกจากนี้ท่าทีของนางเต็มไปด้วยความมึนงงเล็กน้อย

  ความจริงแล้วไม่ใช่แค่หยุนชิงวูแม้แต่ไป่ฉือผู้ซึ่งหัวเราะอย่างบ้าคลั่งก็อ้าปากค้าง และแน่นอนไม่ว่าจะเป็นมู่ฉิงเฟิง โม่ฉานฉือหรือหยานหยิงก็ตกตะลึงอย่างสมบูรณ์

  บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบสงบ

  ไม่มีใครสามารถตอบสนองได้

  แม้แต่เหล่าราชาอสูรและศิษย์ที่กำลังสู้กันอยู่ต่างก็หยุดเคลื่อนไหวพวกเขาตกตะลึงอย่างสมบูรณ์   ค่ายกลปีศาจเพลิง…ถูกทำลาย?! 

   ถูกทำลาย…? 

   นี่มันอะไรเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น? 

  แม้แต่ปีศาจอาวุโสทั้งสอบก็มีสีหน้าที่แข็งค้างและพูดไม่ออก

  พวกเขาไม่รู้สึกถึงการปะทะเลย…

  อย่างไรก็ตามฟางเจิ้งจือสามารถฝ่าค่ายกลปีศาจเพลิงเข้าไปได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อยมันเหมือนกับการเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ

  ครึก…ไป่ฉือรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นของนาง และเลือดไหลออกจากมุมปาก ฟางเจิ้งจือได้คาดเดาไว้แล้วว่าหลังจากหยุดหัวเราะกระทันหันนางคงจะกัดลิ้นตัวเองอย่างแน่นอน

  ……………………………………..

 

Gate of God

Gate of God

เรื่องราวของฟางเจิ้งจือผู้ได้มาเกิดใหม่ในโลกที่ผู้คนสามารถใช้พลังจากธรรมชาติที่เรียกว่า’เต๋า’ได้ แต่ฟางเจิ้งจือผู้ที่เกิดมาในครอบครัวชาวบ้านธรรมดาและต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกลับต้องพัวพันกับเหตุการณ์ต่างๆทั้งการทดสอบพลังและความรู้ของอาณาจักร ความขัดแย้งทางการเมืองรวมถึงเผ่าปีศาจที่คอยชักใยแผนการอยู่เบื้องหลัง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท