Gate of God – ตอนที่ 1037 ศักดิ์ศรีของมนุษย์

ตอนที่ 1037 ศักดิ์ศรีของมนุษย์

ตอนที่ 1037 ศักดิ์ศรีของมนุษย์

   เจ้าไร้ยางอาย… ปิงหยางรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจเมื่อเห็นรอยยิ้มของฟางเจิ้งจือ

   มั่นใจได้…ข้าไม่เป็นไร…อั้ก! ก่อนที่จะพูดจบ การแสดงออกของฟางเจิ้งจือได้เปลี่ยนไปพร้อมกับกระอักเลือดออกมา

  เลือดรดบนใบหน้าของปิงหยาง

  มันร้อนมาก

  อย่างไรก็ตามปิงหยางกลับกอดฟางเจิ้งจือเอาไว้แน่นราวกับไม่ต้องการให้เขาหนีไปไหน

   ข้าไม่เป็นไรจริงๆข้าต้องชนะพร้อมกับเจ้า  ฟางเจิ้งจือเอามือเช็ดเลือดที่เปื้อนขอบปากพร้อมกับลูบแผ่นหลังของปิงหยางเบาๆ

   อืมพวกเราต้องชนะแน่นอน!  ปิงหยางพูดอย่างมุ่งมั่น

   ชนะ?!ฮ่าฮ่า…พวกเจ้ายังพูดถึงเรื่องนี้อยู่อีกงั้นรึ? ไม่คิดว่าตัวเองไร้เดียงสาเกินไปบ้างหรือไง?  หลินยู่หัวเราะออกมาทันทีเมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างฟางเจิ้งจือและปิงหยาง

  แม้แต่กองทัพอสูรและปีศาจเองก็เริ่มหัวเราะออกมาเช่นกัน

   เขายังกล้าพูดเรื่องไร้สาระออกมาแม้ตัวเองจะบาดเจ็บหนักงั้นหรือ? 

   พวกมนุษย์ช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน! 

   ข้าคิดว่าการต่อสู้คงใกล้จะจบลงแล้ว! 

  พวกเขาต่างเต็มไปด้วยความยินดีเมื่อเห็นฟางเจิ้งจือบาดเจ็บ

  ยิ่งไปกว่านั้นพลังของโจวฉีนั้นแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้นักมันทำให้พวกเขามั่นใจในชัยชนะมากขึ้น

   ท่านผู้นำศาลามู่สถานการณ์ดูไม่ดีแล้ว โปรดทำอะไรสักอย่าง! 

   หรือพวกเราควรหนีดี? 

   พวกเราไม่สามารถรอความตายอยู่เฉยๆแบบนี้ได้ถ้าฟางเจิ้งจือแพ้ พวกเราจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอสูรและปีศาจ! 

  ศิษย์ฝ่ายมนุษย์เริ่มรู้สึกสิ้นหวัง

  ถ้าพวกเขาแพ้แล้วต้องฟังคำสั่งของพวกอสูรและปีศาจสู้พวกเขายอมตายเสียแต่ตอนนี้เลยดีกว่า

   หนี?พวกเราจะหนีไปที่ไหนได้?!  มู่ฉิงเฟิงขมวดคิ้ว

  เขารู้ดีว่าต่อให้มนุษย์จะถอยหนีก็ใช่ว่าพวกปีศาจจะปล่อยไปง่ายๆ

  และสำหรับคนอย่างมู่ฉิงเฟิงแล้วโม่ฉานฉือแล้ว…

  แน่นอนว่าต้องเป็นเป้าหมายแรกๆที่อสูรและปีศาจต้องการสังหาร

  ไม่มีทางที่พวกมันจะปล่อยให้เซียนที่ทรงพลังเช่นพวกเขาทั้งสองมีชีวิตรอดต่อไปได้

   ดูเหมือนด้านหลังกลุ่มหมอกจะยังมีเส้นทางอยู่พวกเราควรหนีไปที่นั่นไหม?  หนึ่งในผู้นำสำนักกล่าวขึ้นมา

   หมอก? มู่ฉิงเฟิงหันไปมองหมอกควันที่ลอยอยู่เช่นกัน แต่เขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในได้

  อย่างไรก็ตามเขารู้ว่ามีอไรอยู่ด้านใน

  มันเป็นหน้าผา

  หน้าผาที่พลิกคว่ำ

  ถ้ามองจากบนลงล่างจะเห็นหุบเหวที่ไร้สิ้นสุดถ้ามองขึ้นไปจะเห็นท้องฟ้าสีคราม

  พวกเขาจะหนีไปที่ไหนได้?

   รีบตัดสินใจเร็วเข้าท่านมู่แม้ว่าท่านจะเคยมาที่นี่เพียงครั้งเดียวโปรดนำทางพวกเราด้วย! 

   หุบปาก! เสียงอันหยาบกระด้างดังขึ้นอีกครั้ง

  ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโม่ฉานฉือ

  ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธราวกับความอดทนของเขาได้มาถึงขีดจำกัด

   ท่านโม่ทำไมท่านต้องพูดเช่นนั้นด้วย?  ผู้นำสำนักคนนั้นมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที   ข้าใจดีกับพวกเจ้ามากพอแล้วฟางเจิ้งจือกำลังพยายามต่อสู้อย่างเต็มที่ แต่พวกเจ้ากลับต้องการหนี พวกเจ้ากำลังพยายามทำให้มนุษย์ขายหน้าหรือไง?  โม่ฉานฉือกำมือแน่น

   ท่าน… ผู้นำสำนักคนนั้นโกรธมากจนพูดไม่ออก ท่านโม่นี่เป็นเรื่องของความเป็นความตาย ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องศักดิ์ศรีอีก หากเราเสียเวลาไปมากกว่านี้มนุษย์ทั้งหมดจะต้องตาย 

   ใช่แล้ว… 

   พวกเราจะไม่ยอมตายอยู่ที่นี่! 

   ถ้าฟางเจิ้งจือชนะได้ก็เป็นเรื่องดีแต่สถานการณ์ในปัจจุบันมันก็ชัดเจน โอกาสของพวกเราน้อยลงเต็มที 

  เหล่าศิษย์ต่างพยักหน้า

   ถ้าพวกเจ้าต้องการจะหนีก็เชิญแต่ข้าโม่ฉานฉือไม่คิดจะหนีอย่างแน่นอน!  โม่ฉานฉือกำมือแน่นและปลดปล่อยกลิ่นอายอันทรงพลังออกมา  มันทำให้เหล่าผู้นำสำนักและศิษย์กดดันจนไม่กล้าขยับร่างไปไหน

   ถ้าหุบเขาฟู่ซี่ต้องการจะอยู่ที่นี่ก็เชิญแต่พวกข้าไม่คิดจะมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ด้วย!  หลังจากกัดริมฝีปาก ผู้นำสำนักคนนั้นก็กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง

   ข้าจะฆ่าเจ้าซะถ้าเจ้ากล้าหนีไปจากที่นี่! ทันใดนั้นเสียงของวู่จวี้เอ๋อก็ดังขึ้น จากนั้นศิษย์นิกายเงาก็ล้อมผู้นำสำนักคนนั้นในทันที

   วู่จวี้เอ๋อเจ้าทำอะไร?  สีหน้าของผู้นำสำนักคนนั้นเปลี่ยนไปอีกครั้ง

   จะไม่มีใครไปไหนทั้งนั้นตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่! วู่จวี้เอ๋อกล่าวด้วยความจริงจังอีกครั้ง

  ดวงตาของนางเต็มไปด้วยจิตสังหาร

   จวี้เอ๋อช่างพวกเขาเถอะ มันไม่มีประโยชน์หรอก  เซียนสวรรค์พักพิงลุกขึ้นและวางมือลงบนไหล่ของนาง

   อาจารย์…ข้าคิดว่ามันไม่คุ้มค่าเลยที่ฟางเจิ้งจือจะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อคนพวกนี้มันไม่คุ้มค่าแม้แต่น้อน! 

   ใครจะรู้ว่ามันคุ้มค่าหรือไม่?ปล่อยพวกเขาไปเถอะ  เซียนสวรรค์พักพิงถอนหายใจ

   หึไปกันเถอะ!  ผู้นำสำนักกัดฟันและเดินจากไปทันที

  อย่างไรก็ตามเขาต้องแปลกใจ…

  เพราะเมื่อเขาหันหลังไปกลับพบว่ามีคนเดินตามมาไม่กี่คน

   ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ตามมา? ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง ก่อนหน้านี้ยังมีคนสนับสนุนความคิดของเขามากมาย

  แต่ตอนนี้กลับมีคนเดินตามเขามาไม่ถึงห้าคน

   หลี่เมิ่งเจ้าไม่ไปด้วยงั้นรึ? ใบหน้าของผู้นำสำนักกลายเป็นสีแดงทันทีเมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน

  เป็นศิษย์ที่เขาสั่งสอนเป็นการส่วนตัว

   อาจารย์ข้าจะไม่ไปไหน ข้าต้องการจะอยู่ที่นี่ ต่อให้ต้องตายแต่ข้าไม่ต้องการให้ใครมากล่าวหาข้าได้!  เด็กหนุ่มส่ายหน้าด้วยความหนักแน่น

   เยี่ยมเยี่ยมมาก งั้นเชิญเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไป!  ผู้นำสำนักโกรธมากและจากไปโดยไม่หันหลังมามองแม้แต่น้อย

  ใบหน้าของศิษย์ที่ตามเขาไปก็แดงก่ำเช่นกัน

  โม่ฉานฉือมองไปรอบๆ

  จากนั้นสายตาของเขาก็หยุดลงที่ฝั่งศาลาหยินหยาง

  แทนทีจะถามโม่ฉานฉือพยักหน้าให้ผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งเล็กๆ

  ผู้อาวุโสศาลาหยินหยางพยักหน้ากลับให้โม่ฉานฉือ

  มันแสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจของพวกเขา

  ฟางเจิ้งจือฆ่าเต๋าฮุนและเต๋าซิง!

  อย่างไรก็ตามมันไม่ได้หมายความว่าเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์จะละทิ้งศักดิ์ศรีในฐานะมนุษย์พวกเขาเลือกอยู่ที่นี่แทนที่จะหนีไป

  …

   นี่คือสิ่งที่มนุษย์มักจะเป็นงั้นหรือ? หยุนชิงวูมองรอบๆและสังเกตุเห็นถึงความหวาดกลัวในดวงตาของเหล่าศิษย์ได้

  อย่างไรก็ตามพวกเขาเลือกที่จะอยู่ที่นี่

  แม้จะหวาดกลัวความตายแต่เลือกที่จะอยู่ที่นี่

  หยุนชิงวูกวาดสายตาไปเรื่อยๆและหยุดอยู่ที่ชายผู้ยืนอยู่ด้านหน้าปิงหยาง

  ชายคนที่รวมมนุษย์ให้เป็นหนึ่งได้ชายผู้ที่มนุษย์ทั้งหมดฝากความหวังอันริบหรี่ไว้กับเขา

  หยุนชิงวูมีลางสังหรณ์บางอย่าง..

  ในอนาคตเขาต้องสามารถรวมสี่อาณาจักรเป็นหนึ่งและรวมมนุษย์ที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายให้กลายเป็นหนึ่งเดียวได้ในที่สุด!    ฟางเจิ้งจือเจ้ารู้ไหม?ข้าหวังไว้เสมอว่าวันหนึ่งข้าจะสามารถสู้กับเจ้าได้โดยไม่ต้องใช้แผนการหรือใช้ผู้คน ใช้แค่หมัดและพลังของข้าในการเผชิญหน้ากับเจ้าตรงๆ…น่าเศร้าที่ข้าไม่มีโอกาสเช่นนั้น… หยุนชิงวูมองฟางเจิ้งจือเงียบๆขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิด

  ฟางเจิ้งจือกลับตรงกันข้าม..

  เขาไม่ได้สนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มพันธมิตรฝ่ายนุษย์พลังของโจวฉีทำให้เขาตึงเครียดกับการต่อสู้ครั้งนี้มาก

  ทันใดนั้นปีกสีดำคู่หนึ่งได้กางออกจากหลังของฟางเจิ้งจือมันส่องแสงสีทอง เขาไม่คิดจะปกปิดพลังของตัวเองอีกต่อไป

  เขาต้องใช้พลังทั้งหมดที่มี!

  เขาต้องสู้จนตัวตาย!

   แข็งแกร่งมาก! 

   แม้จะได้รับการโจมตีจากท่านโจวฉีแต่เขายังมีพลังเหลือมากถึงขนาดนี้?     ฟางเจิ้งจือยังเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือไม่? 

  อสูรและปีศาจต่างตกตะลึงกับพลังที่ฟางเจิ้งจือปลดปล่อยออกมา

  พวกเขารู้ว่าตราบใดที่ฟางเจิ้งจือยังมีพลังผลลัพธ์ของการต่อสู้ก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

  ยิ่งไปกว่านั้น…

  เหตุกาณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นหลายครั้ง

  ทั้งการต่อสู้ที่ดินแดนภูเขาทางใต้พวกเขาคิดว่าคังหยางจะเอาชนะฟางเจิ้งจือได้ แต่สุดท้ายผลลัพธ์กลับพลิกผัน

  หรือตอนที่ฟางเจิ้งจือสู้กับเทพปีศาจบนภูเขาสวรรค์ไม่มีใครคิดว่าฟางเจิ้งจือจะชนะ แต่เขากลับทำได้

  ปาฏิหาริย์มากมายเกิดขึ้นกับฟางเจิ้งจือ

  เหยียนเฉียนหลี่ลงมายืนข้างๆฟางเจิ้งจือด้วยความเป็นกังวล

   เจิ้งจือพวกเรามาโจมตีพร้อมกันเถอะ! เหยียนซิวไม่ได้ถามอาการบาดเจ็บของฟางเจิ้งจือ เพราะเขาเชื่อว่าฟางเจิ้งจือยังสามารถสู้ต่อได้

   เจ้าไร้ยางอายข้าต้องการร่วมต่อสู้กับพวกเจ้าทั้งสามคนด้วย!  ปิงหยางยืนขึ้นอีกขึ้นพร้อมกับหอกเพลิงฉีหลินในมือ

   อืมตอนนี้พวกเรามีสี่คน ศัตรูเหลือสามคน พวกเรากำลังได้เปรียบ!  ฟางเจิ้งจือพยักหน้าพร้อมกับพลิกฝ่ามือ จากนั้นดาบยาวสองเล่มก็ปรากฎขึ้นบนฝ่ามือของเขา เขากระพือปีกและพาปิงหยางขึ้นไปบนอากาศ

   สี่ต่อสาม?ได้เปรียบ? ข้าหมดคำพูดจริงๆ…ข้าอยากจะเห็นจริงๆว่าพวกเจ้าได้เปรียบยังไง?!  หลินยู่กล่าวออกมาอย่างดููถูก

  ……………………………………..

 

Gate of God

Gate of God

เรื่องราวของฟางเจิ้งจือผู้ได้มาเกิดใหม่ในโลกที่ผู้คนสามารถใช้พลังจากธรรมชาติที่เรียกว่า’เต๋า’ได้ แต่ฟางเจิ้งจือผู้ที่เกิดมาในครอบครัวชาวบ้านธรรมดาและต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกลับต้องพัวพันกับเหตุการณ์ต่างๆทั้งการทดสอบพลังและความรู้ของอาณาจักร ความขัดแย้งทางการเมืองรวมถึงเผ่าปีศาจที่คอยชักใยแผนการอยู่เบื้องหลัง

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท