“ฮ่า ๆ …. “
เฉินห่าวหรานหัวเราะออกมาเบา ๆ แม้ว่าร่างกายของเขาจะท่วมไปด้วยเหงื่อและหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง
เพราะว่าเขาเริ่มรู้สึกได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่อยู่ภายในร่างกายของเขา ซึ่งเขาไม่เคยได้สัมผัสมันมาก่อนในชีวิต และไม่นานเขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ พร้อมกับมีเปลวเพลิงขนาดใหญ่พวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขาอย่างรุนแรง มากกว่าเดิมถึง 10เท่า!
“ไหนนายลองทดสอบพลังให้ฉันดูสิ” ซู่เจินพูดขึ้นมาพร้อมกับมองไปที่เฉินห่าวหราน
เฉินห่าวหรานพยักหน้าอย่างตื่นเต้นและโบกมือของเขาไปทางด้านหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็มีลูกไฟพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขาพุ่งตรงไปที่กำแพง และเมื่อลูกไฟกระทบเข้ากับกำแพง กำแพงก็แตกกระจัดกระจายกลายเป็นเศษหินชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที
“มันแข็งแกร่งมาก!”เฉินห่าวหรานกล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“มันก็ไม่เลว!” เมื่อเทียบกับความตื่นเต้นของเฉินห่าวหรานแล้ว ซู่เจินก็คิดว่ามันค่อนข้างธรรมดาเล็กน้อย “ถึงแม้ว่าในตอนนี้นายจะแข็งแกร่งขึ้นแล้ว แต่ถ้าเอาไปเทียบกับคนอื่นนายยังตามหลังพวกเขาอยู่อีกมาก!”
“ครับบอส!”
เฉินห่าวหรานเหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็น ๆ ทำให้ความตื่นเต้นในความแข็งแกร่งของเขาดับวูบลงทันที
เมื่อเห็นว่าเฉินห่าวหรานเริ่มสงบลงแล้ว ซู่เจินก็ไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป
ผู้คนมักจะหลงระเริงเมื่อพวกเขาได้รับความแข็งแกร่งมาใหม่ ๆ ซึ่งเฉินห่าวหรานก็เป็นหนึ่งในนั้นเพราะว่าเขาไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน ทำให้ซู่เจินต้องเตือนสติของเฉินห่าวหรานก่อนที่มันจะสายเกินไป
“เพราะอะไร ?” ลีน่ามองไปที่เฉินห่าวหรานด้วยความตกตะลึง ทำไมเขาถึงได้หลอมรวมกับไวรัสเอ็กซ์ตรีมได้ล่ะ?
“คุณอยากรู้งั้นหรอ ? ตราบใดที่คุณติดตามผม ผมจะบอกคุณให้ว่าทำไม!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“มันเป็นไปไม่ได้!” ลีน่าพูดขึ้นมาพร้อมกับส่ายหัว
“เพราะตาทิพย์ ? ถึงแม้ว่าผมจะรู้ว่าคุณมีตาทิพย์ แต่คุณคิดว่าตาทิพย์ของคุณจะมีพลังมากพอที่จะสามารถรู้ได้ทุกอย่างงั้นหรอ ? มันก็แค่การหลอกลวง“ ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยความเยาะเย้ย “เพราะถึงยังไงคุณก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา แต่ผมสามารถทำให้คุณเป็นคนที่ไม่ธรรมดาได้นะ! “
“ฉันไม่เชื่อ!”
ลีน่าก็ยังคงส่ายหัวเช่นเดิม
“ไม่หรอก…ผมคิดว่าคุณเชื่อในสิ่งที่ผมพูด แต่คุณกำลังพยายามหลอกตัวเองอยู่ ถึงแม้ว่ามันอาจจะยังมีข้อสงสัยอยู่บ้าง เพราะว่าคุณยังไม่ได้เห็นมันด้วยตาของตัวเองและตัดสินใจได้ถูกต้อง ดังนั้นผมจะให้โอกาสคุณสักเล็กน้อยแล้วกัน หวังว่าตาทิพย์ของคุณจะตัดสินใจได้ถูกต้อง และคนที่อยู่ที่นี่และอุปกรณ์ต่าง ๆ มันควรจะเป็นของผมใช่ไหม ? ……คุณมีความเห็นอะไรไหม ?”
“ฉันปฏิเสธอะไรคุณได้ด้วยหรอ?” ลีน่ากล่าวขึ้นมาเบา ๆ
“โอเค!”
ซู่เจินยิ้มออกมาพร้อมกับหันไปมองทางเฉินห่าวหรานและพูดว่า “โทรไปหาบริ๊งค์แล้วบอกให้เธอมาที่นี่ เพื่อพาคนเหล่านี้ไปอยู่บนยานก่อน!”
“ครับ!”
ตอนแรกซู่เจินสัญญากับเฉินห่าวหรานไว้ว่าจะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และซู่เจินก็ทำได้จริง ๆ ทำให้เฉินห่าวหรานในตอนนี้เคารพซู่เจินเป็นอย่างมาก
“ฉันไปได้หรือยัง?”
ลีน่าถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“แน่นอน!”
ซู่เจินยิ้มออกมา แน่นอนว่าความสามารถของลีน่านั้นน่าจะเก็บไว้ใช้งานใกล้ตัวของเขา แต่ลีน่านั้นเป็นผู้หญิงที่ฉลาด และยิ่งเธอฉลาดมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งจัดการมันได้ง่ายขึ้นเท่านั้น!
ถึงแม้ว่าพวกนักวิจัยเหล่านี้จะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ แต่พวกเขาก็เป็นฉลาดมาก พอรู้ว่าซู่เจินแข็งแกร่งมากขนาดไหน พวกเขาก็ยอมทำตามแต่โดยดี ขนาดลีน่ายังไม่กล้าที่จะปฏิเสธซู่เจินเลย แล้วจะเอาอะไรกับพวกเขากัน! แค่ซู่เจินพาพวกเขาไปโดยไม่ฆ่าทิ้งก็ดีแค่ไหนแล้ว เพราะถึงยังไงพวกเขาก็สามารถช่วยเรื่องการวิจัยสิ่งต่าง ๆ ได้ ทำให้พวกเขาเริ่มสงบสติอารมณ์ได้นิดหน่อย!
หลังจากที่ขนย้ายอุปกรณ์และผู้คนอะไรเรียบร้อยแล้ว พวกเฉินห่าวหรานก็กลับไปที่ยานทันที แต่ซู่เจินไม่ได้กลับไปพร้อมกับพวกเขา เพราะว่าเขาเตรียมตัวที่จะกลับไปหาสกายและอยู่ที่นั่นชั่วคราว
เพราะว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้เขาสามารถยกให้บริ๊งค์จัดการได้อย่างง่ายดาย ทำให้เขามีเวลามากยิ่งขึ้นในกลืนกินอนุภาคอีเทอร์ แถมเขายังต้องการตรวจสอบเกี่ยวกับคริสตัลที่สามารถดูดกลืนความกลัวของผู้อื่นมาเป็นพลังได้อีกด้วย
ทันทีที่ซู่เจินบินเข้าใกล้ฐานและกำลังที่จะร่อนลงกับพื้น เขาก็สังเกตเห็นยานบินที่ค่อย ๆ บินขึ้นอย่างช้าๆ ราวกับว่ามันกำลังจะออกไปทำภารกิจ และเมื่อซู่เจินเห็นแบบนั้นเขาก็บินขึ้นไปอยู่ที่ด้านหน้าของยานบิน พร้อมกับโบกมือให้เหมยที่อยู่ในห้องนักบิน และเมื่อเหมยเห็นแบบนั้นก็ทำให้เธอประหลาดใจเล็กน้อย เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นซู่เจินในสารรูปแบบนี้ เธอพยักหน้าเบาๆ และชี้นิ้วไปด้านหลัง ไม่นานประตูด้านหลังของยานบินก็ค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ ซู่เจินหันหลังกลับและบินเข้าไปข้างในของยานบินทันที
ทันทีที่ซู่เจินเข้าไปด้านใน เขาก็เจอกับ สกาย เจมมา โควสัน และคนอื่น ๆ ที่กำลังเดินมา
หลังจากที่ประตูของยานบินปิดลงเรียบร้อยแล้ว สกายก็พุ่งเข้าไปกอดซู่เจินอย่างรวดเร็ว
เมื่อซู่เจินมองไปยังสกายที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา เขาก็ยิ้มออกมาและพยักหน้าเบา ๆ ให้กับคนอื่น ๆ หลังจากนั้นไม่นานสกายก็ค่อย ๆ ผลักตัวออกจากซู่เจินอย่างช้า ๆ
“คุณกลับมาแล้วงั้นหรอ ? คุณคงจะไม่ใช่ตัวปลอมใช่ไหม” โคลสันถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเดินเข้าไปหาซู่เจิน
“ก็ใช่น่ะสิ!“
ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“สกาย ฉันขอยืมตัวแฟนของคุณสักพักหนึ่งได้ไหม ?”
“อืม!” สกายพยักหน้าเบา ๆ
ซู่เจินเดินตามโควสันไปที่ห้องทำงานของเขา ในขณะที่เขากำลังเดินอยู่เขาก็สังเกตเห็นเจมมาทำให้เขายิ้มออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เดี๋ยวผมจะมาหาคุณที่หลัง เพราะว่าผมมีของดี ๆ จะให้คุณ! “
“จริงงั้นเหรอ….มันคืออะไร?” เจมมาถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เดี๋ยวคุณก็รู้เอง!“
เมื่อซู่เจินเดินเข้ามาในห้องทำงานของโควสัน โควสันก็เชิญให้ซู่เจินนั่งลงและกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันได้ยินมาว่าวันหยุดพักผ่อนของคุณมันเต็มไปด้วยความสนุกสนานและน่าตื่นเต้นมาก แถมคุณยังได้ยานบินของมนุษย์ต่างดาวกลับมาอีก เมื่อไหร่คุณจะพาฉันไปดูมันล่ะ ฉันอยากเห็นยานบินของมนุษย์ต่างดาวสักครั้ง!”
“ถ้าคุณแค่ไปดูมัน ผมก็ไม่มีปัญหาหรอก!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“ฉันได้ยินมาว่าโทนี่ถูกคุณปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย คิดไม่ถึงเลยนะว่าคุณจะมีใบหน้าใหญ่โตขนาดนี้!” โคลสันก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“พวกเขาก็ส่วนพวกเขา คุณก็ส่วนคุณ” ซู่เจินยิ้มออกมา
“มันชั่งเป็นเกียรติสำหรับฉันจริง ๆ !” โควสันก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขและถามซู่เจินขึ้นมาว่า “แล้วยานบินลำนี้มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณได้พูดว่าการกอบกู้โลกอะไรนั่นไหม ? เพราะดูเหมือนว่าพื้นที่ในแทบลอนดอนจะเริ่มไม่ค่อยเสถียรเมื่อไม่นานมานี้ ขนาดดร.อีริค เซลวิก ที่เชี่ยวชาญในเรื่องของดาราศาสตร์ยังหาข้อสรุปเกี่ยวกับมันไม่ได้ และจู่ ๆ สถานที่ที่ไม่เสถียรอันนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย“
“พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ถ้าตอนที่ยานบินปรากฏตัวขึ้นบนโลก และผมไม่ใช่คนที่อยู่บนยานบินลำนั้น คุณคงไม่มีโอกาสมานั่งสบาย ๆ แล้วนี้หรอกนะ!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
โควสันพยักหน้าเบา ๆ “มันก็จริง“
“ตอนที่ผมไปที่นั่นผมได้เจอกับธอร์และไปพักอยู่ที่วังของแอสการ์ดมาสักพักหนึ่ง ที่นั่นมันสวยมาก คุณควรลองไปสักครั้งถ้าเกิดว่าคุณมีโอกาส“
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”
“อ้อใช่! ครั้งก่อนที่คุณบอกว่า SHIELD มันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิด คุณต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ ?” คำถามนี้เป็นสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของโควสันมาเป็นเวลานาน ทำให้เขาตัดสินใจถามมันออกมาในที่สุด
ในตอนที่ซู่เจินจากไปในตอนนั้นและพูดประโยคนี้ขึ้นมา เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับมันมากนักในตอนแรก แต่เขาก็พยายามคิดอยู่ตลอดเวลาว่าซู่เจินต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ และก็น่าเสียดายที่เขาคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกอยู่ดี