ตอนนี้แอสการ์ดกำลังตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายอย่างสมบูรณ์ ซู่เจินเห็นทหารของแอสการ์ดจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังวิ่งไปยังสถานที่ต่าง ๆ พร้อมกับอุปกรณ์พร้อมรบเพื่อสนับสนุนสงครามที่กำลังประทุขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เว้นแม้แต่ทหารยามที่เฝ้าหน้าห้องเก็บสมบัติก็ยังต้องไปเข้าร่วมสงครามด้วยเช่นกัน
มันทำให้ซู่เจินมีความสุขเป็นอย่างมาก
ซู่เจินค่อย ๆ เดินไปที่หน้าห้องเก็บสมบัติและเปิดมันออกอย่างช้า ๆ
ทันทีที่เขาเข้ามาด้านใน ซู่เจินก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพราะว่ามันไม่ใหญ่เกินไปหน่อยงั้นหรอ?
“ฉันรวยแล้ว!”
ซู่เจินมองไปรอบ ๆ และอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ทุกอย่างที่นี่ดูเหมือนจะเรียบง่ายมาก เพราะซู่เจินไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย มันเต็มไปด้วยกองสมบัติจำนวนมหาศาล แต่มันมีสิ่งหนึ่งดึงดูดซู่เจินได้ มันอยู่ตรงกลางสุดของห้อง มันเป็นกล่องอะไรสักอย่างที่ซู่เจินรู้สึกได้ว่ามันค่อนข้างผิดปกติ เนื่องจากอนุภาคอีเทอร์ในร่างกายของเขาเริ่มมีปฏิกิริยาอะไรบางอย่าง ซึ่งมันแปลกมาก ๆ เขาสามารถบอกได้เลยว่าเจ้ากล่องนี้มันน่าจะไม่ธรรมดา!
ทันทีที่ซู่เจินเดินเข้าไปใกล้ ๆ กล่องนั้น เขาก็รู้สึกหนาวขึ้นมาทันทีและเริ่มลุกลามไปตามร่างกายของเขา เหมือนกับว่ามันกำลังจะแช่แข็งเขา ทำให้เขาจะต้องเปิดใช้ความสามารถของไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสของเขา ทำให้ร่างกายของเขาอุณหภูมิค่อย ๆ สูงขึ้นจนถึงอุณหภูมิของแมกมา ทำให้ร่างกายของเขาค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ
“เจ้าสิ่งนี้คงไม่ใช่สมบัติของยักษ์น้ำแข็ง กล่องแห่งความหนาวเหน็บ ใช่ไหม?” ดวงตาของซู่เจินค่อย ๆ สว่างไสวขึ้น เจ้ากล่องอันนี้มันเป็นสุดยอดสมบัติเลยก็ว่าได้ เพราะว่ามันสามารถทำให้อาณาจักรทั้งเก้าโลกสามารถตกลงสู่ยุคของน้ำแข็งได้ เมื่อมันถูกเปิดมันออกมา
“ระบบเก็บมันไว้ในมิติเก็บของ!”
ซู่เจินวางมือลงบนกล่องน้ำแข็งและพูดขึ้นมากับระบบ
หลังจากนั้นไม่นานกล่องน้ำแข็งมันก็เข้าไปอยู่ในมิติเก็บของ
หลังจากนั้นซู่เจินก็มองไปรอบ ๆ เพื่อหาสมบัติชิ้นอื่น ๆ เพราะเขาจำได้ว่าที่นี่มันน่าจะมีเทสเซอร์แรคต์อยู่ ซึ่งมันเป็นหนึ่งในอินฟินนิตี้ สโตนและยังมีไฟนิรันดร์ของเซอร์เทอร์ ที่ว่ากันว่ามันเป็นเปลวไฟแห่งการทำลายล้างที่ไม่มีวันมอดดับ และยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่ามันจะมีเสาโอเบลิสก์อยู่ที่นี่เช่นกัน มันก็คือคริสตัลของเผ่าพันธุ์อินฮิวแมนส์ ที่สามารถใช้ปลุกเผ่าพันธุ์อินฮิวแมนส์ให้ตื่นขึ้นมาได้
เรียกได้ว่ามีสมบัติระดับจักรวาลมากมายอยู่ในห้องเก็บสมบัติของแอสการ์ด!
ในขณะที่ซู่เจินกำลังที่จะหาสมบัติชิ้นต่อไป เขาก็รู้สึกได้ว่าพื้นดินมันสั่นสะเทือนเล็กน้อยและได้ยินเสียงคำรามเบา ๆ มาจากหน้าประตูของห้องเก็บสมบัติ และไม่นานก็มีชายร่างใหญ่เดินเข้ามา
“นักรบต้องสาบ?”
ซู่เจินรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขามาทำอะไรที่นี่? ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องไปทำลายระบบป้องกันของแอสการ์ดและคอยคุ้มกันมาเลคิธผู้นำของเผ่าดาร์กเอลฟ์ไม่ใช่หรอ?
เขาคือนักรบต้องสาป ไม่ใช่มาเลคิธ ดังนั้นซู่เจินจึงไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวเขา เพราะว่าเขาไม่ได้มีความสามารถที่ควบคุมอนุภาคอีเทอร์ได้อย่างมาเลคิธ และเมื่อเขาเห็นนักรบต้องสาปวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว ปากของซู่เจินก็ยกขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “เอาล่ะ ฉันจะใช้นายเป็นหนูทดลองพลังของอนุภาคอีเทอร์ก็แล้วกัน!”
เจตนาต่อสู้ของซู่เจินค่อย ๆ เพิ่มขึ้นและทันใดนั้นอนุภาคอีเทอร์ก็ปรากฏขึ้นมารอบ ๆ ตัวของเขา ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในความมืดมิด และหลังจากนั้นซู่เจินก็บินออกไปอย่างรวดเร็ว
ปัง! ปัง! ปัง!
ซู่เจินที่พุ่งเข้าอย่างรวดเร็ว โจมตีไปที่นักรบต้องสาปอย่างรุนแรง จนทำให้ร่างกายอันใหญ่โตของเขาค่อย ๆ ถอยหลังไปที่ละสองถึงสามก้าว และซู่เจินก็เปลี่ยนพลังอนุภาคอีเทอร์ให้กลายเป็นหอกและแทงเข้าไปที่ร่างกายของนักรบต้องสาปอย่างรวดเร็ว
ฉึก!
มันเจาะเข้าไปในร่างกายของนักรบต้องสาปได้อย่างง่ายดาย ทำให้นักรบต้องสาปถึงกับตาเบิกกว้างด้วยความตกใจและไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับวิธีง่าย ๆ แบบนี้ นักรบต้องสาปเมื่อเห็นว่าเขาจะต้องตายแน่ ๆ เขาก็เลยหยิบวัตถุที่มีลักษณะที่คล้ายกับระเบิดออกมาอย่างยากลำบาก และค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าไปหาซู่เจินอย่างช้า ๆ และหลังจากนั้นเขาก็โยนมันออกไป และคอของเขาก็ค่อย ๆ ห้อยตกลงมา
“ฟูม!”
เมื่อเห็นระเบิดที่ถูกโยนขึ้นมาซู่เจินก็ไม่กล้าที่จะประมาท เพราะว่าพลังของเจ้าระเบิดลูกนี้มันไม่ธรรมดา ซึ่งหลังจากที่มันระเบิดมันก็เกิดเกลียวคลื่นคล้ายหลุมดำขึ้นมา และเริ่มดูดกลืนสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวของมันเข้าไปหามันอย่างรุนแรง!
ซู่เจินรีบใช้พลังของอนุภาคอีเทอร์ห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้และกระโดดหนีออกมาอย่างรวดเร็ว
และในขณะที่ซู่เจินกระโดดหนี้ออกมา เกลียวคลื่นของหลุมดำก็เริ่มไปบดขยี้แท่นที่ไว้ใช้สำหรับว่างกล่องน้ำแข็งโดยทันที
“ ดูเหมือนว่าวันนี้ฉันจะโชคดีไม่ใช่น้อย เพราะอยู่ดี ๆ ก็ได้ข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องกล่องน้ำแข็งที่หายไป!”
เมื่อมองไปที่แท่นวางกล่องน้ำแข็งที่หายไป ซู่เจินก็อดไม่ได้ที่จะขอบคุณนักรบต้องสาปขึ้นมาในใจ
อย่างไรก็ตามการต่อสู้เมื่อกี้มันได้ดึงดูดความสนใจจากคนภายนอก ให้มุ่งหน้ามาที่นี่แล้วด้วยเช่นกัน และไม่นานหลังจากนั้นซู่เจินก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ ทำให้เขาจะต้องยอมแพ้เรื่องสมบัติชิ้นอื่น ๆ ไปก่อน เพราะแค่เขาได้กล่องแห่งความหนาวเหน็บมาได้มันก็ดีเกินพอแล้ว
และเมื่อซู่เจินยกเลิกพลังของอนุภาคอีเทอร์ ก็ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยหอบและล้มลงนั่งคุกเข่ากับพื้นโดยทันที
มันเป็นภาระต่อร่างกายมากเกินไป!
“ทำไมถึงเป็นเจ้า ? เจ้ามาทำอะไรที่นี่!“
มีร่างหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็วนั่นก็คือซิฟ และซิฟมองดูไปที่ซู่เจินที่กำลังนั่งเป็นอัมพาตอยู่ข้างหน้าของเธอด้วยความประหลาดใจ
“ผมช่วยจัดการเขาให้น่ะ!”
ซู่เจินชี้ไปที่นักรบต้องสาปที่นอนตายอยู่
หลังจากนั้นซิฟก็เดินไปตรวจสอบนักรบต้องสาปที่นอนตายอยู่ และเธอก็มองไปที่ซู่เจินด้วยความไม่อยากจะเชื่อแล้วพูดขึ้นมาว่า “เจ้าฆ่า ? เจ้าฆ่านักรบต้องสาปได้จริง ๆ งั้นหรอ?”
“อะไร ? มันดูไม่เหมือนงั้นเหรอ ? คุณอย่าดูคนที่รูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาสิ” ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ
“เมื่อดูจากท่าทางของเจ้าในตอนนี้แล้วมันยากมากที่ข้าจะเชื่อว่าเจ้าได้ฆ่านักรบต้องสาปด้วยตัวของเจ้าเองจริง ๆ ” ซิฟพูดขึ้นมาและมองสำรวจไปรอบ ๆ ก็พบว่ากล่องน้ำแข็งและแท่นวางของกล่องน้ำแข็งมันหายไป
“อย่ามองมาที่ผมด้วยสายตาแบบนั้น นักรบต้องสาปคนนั้นมันเหมือนจะมีอะไรอย่างที่คล้ายกับวัตถุระเบิดที่สามารถสร้างเกลียวคลื่นของหลุมดำขึ้นมาได้ และดูดกลืนเจ้ากล่องน้ำแข็งและแท่นของมันหายเข้าไปในหลุมดำ!” ซู่เจินสังเกตเห็นการจ้องมองมาจากซิฟ เขาก็รู้ในทันที่ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร เขาก็เลยอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาอย่างคร่าว ๆ ให้เธอฟัง
ซิฟขมวดคิ้วและพูดขึ้นมากับซู่เจินอย่างจริงจังว่า “ตอนนี้กำลังมีพวกดาร์กเอลฟ์บุกโจมแอสการ์ดอยู่ด้านนอก ซึ่งพวกดาร์กเอลฟ์พวกนั้นกำลังตามล่าตัวของเจ้าอยู่ และที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อปกป้องเจ้าจากหน้าที่ที่ข้าได้รับมา!”
“ผมอยากออกไปด้านนอกซะจริง ๆ … ” ซู่เจินยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่น เพราะว่าพลังของอนุภาคอีเธอร์นั้นทรงพลังมากเกินไป ทำให้เขาสามารถฆ่านักรบต้องสาปได้อย่างง่ายดายเหมือนกับหั่นผัก แต่มันก็เป็นภาระต่อร่างกายมากเช่นกัน ทำให้เขาในตอนนี้ไม่มีแม้แต่แรงที่จะใช้ยืนขึ้นด้วยซ้ำ!
ตอนนี้ไฟของสงครามค่อย ๆ ประทุขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้ซิฟขมวดคิ้วขึ้นมาและพูดว่า “เจ้าขึ้นมาขี่หลังของข้า และข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่”
“แล้วทำไมคุณถึงไม่อุ้มผมไปล่ะ?”
“ใครใช้ให้เจ้าอ่อนแอแบบนี้ล่ะ นอกจากนี้เจ้ายังมีอนุภาคอีเทอร์อยู่ในร่างกาย และถ้าเกิดว่าข้าปล่อยให้มาเลคิธพบเจอตัวของเจ้า มันจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่ข้าจะปกป้องอนุภาคอีเทอร์และตัวของเจ้าเอาไว้ได้” ซิฟแสดงท่าทางดูถูกออกมาเล็กน้อย และพูดออกมาอย่างเย็นชา
สมควรแล้วที่เธอถูกเรียกว่า เทพธิดาแห่งความเย็นชา!
ซิฟเดินมานั่งยอง ๆข้างหน้าของซู่เจิน ทำให้ซู่เจินรู้สึกอับอายเล็กน้อยและค่อย ๆ ขึ้นไปกอดคอของเธอเอาไว้ หลังจากนั้นเธอก็อุ้มซู่เจินขึ้นมาได้อย่างง่ายดายและวิ่งออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว ซึ่งซู่เจินก็คอยสังเกตไปที่เธออย่างเงียบ ๆ เธอวิ่งอย่างรวดเร็วราวกับว่าตัวของเขาไม่มีน้ำหนักอย่างไงอย่างงั้น ในตอนแรกซู่เจินรู้สึกอับอายเล็กน้อย แต่เมื่อลองคิดในอีกแง่มุมหนึ่งเขาก็เป็นผู้ชายคนแรกที่เธอได้แบกเขาไว้บนหลังแบบนี้ และเป็นครั้งแรกที่เธอได้ใกล้ชิดกับผู้ชายมากขนาดนี้ ทำให้ซู่เจินค่อย ๆ คิดเกี่ยวกับมันในแง่ดีมากขึ้น และไม่อายเกี่ยวกับมันอีกต่อไป!
“เฮ้! เทพธิดาซิฟ เธอปล่อยผมลงก่อนได้ไหม”
หลังจากที่วิ่งไปได้สักพักจู่ ๆ ซู่เจินก็พูดขึ้นมาอย่างกระทันหัน
ซิฟขมวดคิ้วและพูดขึ้นมาว่า “เจ้าคิดว่าข้าเต็มใจนักหรอที่ข้าแบกเจ้าไว้บนหลังแบบนี้ ?”
“น่าเสียดาย ถ้าเกิดว่าคุณไม่สามารถส่งตัวผมออกไปจากแอสการ์ดได้ มาเลคิธก็จะไล่ตามหาผมอยู่อย่างงี้ไม่จบไม่สิ้น และการวิ่งหนีก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ดังนั้นปล่อยผมลงซะ!” ซู่เจินพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
ซิฟหยุดวิ่งและยืนอยู่กับที่ กำลังลังเลอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี แต่ซู่เจินก็ไม่ได้รอให้ซิฟตอบเขา เขารีบกระโดดลงมาด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ผมขอพูดตามตรงเลยนะว่า แม้ว่าคุณจะเป็นเทพธิดา แต่คุณก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ดี ดังนั้นคุณไม่ควรที่จะให้ใครมาขี่หลังของคุณได้อย่างง่าย ๆ และผมยังได้ยินมาว่าคุณชอบผู้ชายที่เป็นนักรบที่กล้าหาญ ? และเป็นผู้ชายที่แท้จริง ? แล้วถ้าเกิดว่าผมสามารถเอาชนะมาเลคิธได้ มันจะเป็นไปได้ไหมว่าที่คุณจะไปออกเดทกับผม?” ซู่เจินเขย่ามือของเขาและกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
ซิฟหน้ามุ้ยขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “เจ้าจะบอกว่าเจ้าสามารถเอาชนะมาเลคิธได้ ? อ้อ! หรือว่าที่เจ้ามั่นใจว่าจะชนะมาเลคิธได้ เจ้าจะใช้พลังของอนุภาคอีเทอร์ใช่ไหม ? แต่น่าเสียที่อนุภาคอีเทอร์ไม่สามารถทำอะไรกับมาเลคิธได้”
“ใครบอกคุณว่าผมไม่สามารถเอาชนะมาเลคิธได้ ถ้าเกิดว่าผมไม่ได้ใช่พลังของอนุภาคอีเทอร์ ?” ซู่เจินเหล่ตาของเขาและมองไปที่ซิฟอย่างเจ้าเล่ห์
“ถ้าเกิดว่าเจ้าสามารถเอาชนะมาเลคิธได้จริง ๆ ข้าจะยอมไปเดทกับเจ้าก็ได้!”
“คุณเป็นคนพูดเองนะ!”
ซู่เจินยิ้มออกมาและดวงตาของเขาก็ค่อย ๆ แหลมคมขึ้นและจ้องมองไปตรงหน้าด้วยสายตาจริงจัง
มาเลคิธผู้นำของเผ่าดาร์กเอลฟ์ปรากฏตัวขึ้น…