หลังจากได้ลิ้มรสอาหารและไวน์ของชาวแอสการ์ด ซู่เจินก็กลับไปที่ห้องของเขาอย่างรวดเร็วและเริ่มกลืนกินอนุภาคอีเทอร์ ซึ่งในปัจจุบันอนุภาคอีเทอร์ยังคงมีความเสถียรอยู่ ถึงแม้ว่าเขาจะกลืนกินมันอย่างต่อเนื่องในตอนนี้ แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะฟื้นฟูร่างกายของเขาได้อย่างร้อยเปอร์เซ็น เพราะถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะควบคุมอนุภาคอีเทอร์ได้และเขายังไม่กล้าที่จะดึงพลังของมันออกมามากเกินไปด้วยไม่งั้นมันอาจจะเป็นอันตรายได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงกลืนกินและหลอมรวมมันเข้ากับร่างกายของเขาอย่างช้า ๆ เท่านั้น
แต่มันก็กลืนกินได้ช้ามาก ๆ และดูเหมือนว่าประสิทธิภาพการกลืนกินจะค่อย ๆ น้อยลง แถมอนุภาคอีเทอร์ก็เริ่มไม่ค่อยเสถียรขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นตราบใดที่ซู่เจินยังกลืนกินมันไปเรื่อย ๆ มันจะเกิดอาการต่อต้านอย่างรุนแรงและทำให้เกิดอาการเจ็บปวดอย่างมหาศาล
และด้วยประสิทธิภาพการกลืนกินแค่นี้ ซู่เจินไม่รู้ว่าเขาจะต้องใช้ระยะเวลาแค่ไหนในการกลืนกินพลังงานของอนุภาคอีเทอร์ได้ทั้งหมด ทำให้เขาค่อนข้างหดหู่เล็กน้อยเพราะว่าถ้าหากเขาไม่สามารถกลืนกินมันได้ทั้งหมดเขาก็จะไม่สามารถใช้พลังของมันได้ และยังมีมาเลคิธที่สามารถรองรับพลังของอนุภาคอีเทอร์ได้อย่างง่ายดายอีกด้วย ทำให้เขาไม่กล้าใช้พลังของอนุภาคอีเทอร์ออกมา ไม่งั้นมันจะเป็นอันตรายต่อตัวเขาเอง
“ ไม่ได้! ฉันจะต้องรีบหาวิธีจัดการกับมันอย่างเร็วที่สุด ไม่งั้นอนุภาคอีเทอร์ที่ได้มามันจะไร้ประโยชน์ แล้วฉันจะทำยังไงละให้มันอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ฉันรับได้ละ ?” ซู่เจินขมวดคิ้วขึ้นมาและพยายามคิดอย่างหนัก เพราะก่อนที่อนุภาคอีเธอร์จะถูกเขากลืนกินจนหมด เขาจะต้องหาอะไรที่มันสามารถรองรับพลังของอนุภาคอีเทอร์ได้เช่นเดียวกับ อินฟินิตี้ กอนต์เล็ต เพื่อให้เขาสามารถใช้พลังของอนุภาคอีเทอร์ได้อย่างเต็มที่และมีผลกระทบต่อร่างกายน้อยที่สุด
แต่ภาชนะที่รองรับพลังของอนุภาคอีเทอร์ได้ มันหายากมาก ๆ !
“ดูเหมือนว่าดันเจี้ยนแห่งที่สองจะต้องคิดอย่างรอบคอบซะแล้ว!”
ระยะเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว!
โดยที่ค่ำคืนแรกในแอสการ์ดของซู่เจิน เขาไม่ได้ทำอะไรมากมายนอกจากคิดทบทวนวนไปวนมาเกี่ยวกับอนุภาคอีเทอร์
เช้าวันรุ่งขึ้น ซู่เจินก็ตื่นขึ้นมาด้วยความสนชื่นและกำลังจะออกไปเดินเล่นข้างนอก โดยที่เขาลองคิดเล่น ๆ ดูว่าถ้าเกิดว่าเขาสามารถหาสมบัติของแอสการ์ดได้และนำมันไปที่โลก เขาก็จะมีพลังที่จะสามารถทำลายล้างโลกได้เลยใช่ไหม ?
หลังจากออกมาได้ไม่นานซู่เจินก็สังเกตเห็นซิฟและคนอีกสองสามคน ที่กำลังกดดันเชลยศึกอยู่ โดยที่หนึ่งในสามคนนั้นกำลังสวมหมวกเหล็กและมีรูปร่างที่ค่อนข้างใหญ่โต ซึ่งมันดูสะดุดตามาก
“มันเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?”
ซู่เจินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เพราะว่าต้นกำเนิดของผู้ชายคนนี้มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เขาเป็นนักรบที่ถูกสาปเพียงคนเดียวของเผ่าดาร์กเอลฟ์ และดูเหมือนว่าเขาจะเป็นลูกน้องมือหนึ่งของมาเลคิธอีกด้วย ซึ่งการที่เขามาอยู่ที่นี่ตรงนี้แสดงว่าเหล่าดาร์กเอลฟ์กำลังที่จะบุกแอสการ์ดแน่นอน
“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องรีบแล้ว!”
ซู่เจินพึมพำขึ้นมากับตัวเองเบา ๆ และหันไปทางซ้ายเดินจากไปทันที
เมื่อวานตอนซู่เจินเดินสำรวจไปรอบ ๆ ทำให้เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับที่นี่ไม่มากก็น้อย และในตอนแรกเขาต้องการที่จะเดินสำรวจเพื่อหาสถานที่เก็บสมบัติของแอสการ์ด แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเปลี่ยนแผนและรีบไปหาธอร์โดยเร็วที่สุด ไม่นานเขาก็หาธอร์เจอ
“ธอร์ คุณน่าจะรู้จักผมดีอยู่แล้ว งั้นคุณก็คงจะรู้ความสามารถของผมด้วยใช่ไหม ?” ซู่เจินพูดถามกับธอร์ขึ้นมาตรง ๆ
ธอร์พยักหน้าให้เบา ๆ
“ ถ้าอย่างนั้นคุณก็รู้ใช่ไหมว่าผมมีความสามารถในการทำนายอนาคตได้ ถึงแม้ว่าความสามารถนี้จะไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ แต่มันก็มีความแม่นยำเป็นอย่างมาก และที่ผมสามารถไปยังสวาทาลฟ์ไฮม์และหาอนุภาคอีเทอร์เจอก็มาจากความสามารถนี้เช่นกัน และเมื่อกี้ผมก็เห็นภาพอะไรบางอย่าง โดยที่แอสการ์ดกำลังถูกอะไรบางอย่างยกกองทัพมาโจมตี” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ธอร์ขมวดคิ้วและพูดขึ้นมาว่า “เจ้าอย่ามาล้อเล่น นี่มันไม่ใช่เรื่องตลก ๆ !”
“ผมก็หวังว่ามันจะไม่ใช่เรื่องจริง เพราะมาเลคิธผู้นำของเผ่าดาร์กเอลฟ์กำลังบุกโจมตีแอสการ์ด พร้อมกับกองทัพจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้ผู้คนของแอสการ์ดเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และแอสการ์ดก็โดนถล่มจนยับเยินจนกลายเป็นซากปรักหักพัก ธอร์นายควรเชื่อผมนะ มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เราจะต้องรีบเตรียมตัวเดี๋ยวนี้เลย!”
“พี่ชายขอบคุณสำหรับคำเตือนของเจ้า และถ้าพวกเขากล้ามาจริง ๆ ข้าจะสอนให้พวกเขารู้เองว่าค่าใช้จ่ายสำหรับการบุกแอสการ์ดมันคืออะไร!” ธอร์ตบไปที่บ่าของซู่เจินเบา ๆ เพื่อแสดงความขอบคุณ และสำหรับคำเตือนของซู่เจิน ธอร์ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับมันมากนัก
ธอร์ไม่รู้ว่าเขาไม่เชื่อคำนายของซู่เจิน หรือว่าเขาไม่เกรงกลัวต่อเหล่าดาร์กเอลฟ์กันแน่
“ธอร์ ดูเหมือนว่านายจะมั่นใจในตัวเองมากเกินไป ในเมื่อฉันเตือนนายแล้วแต่กับไม่เชื่อ นายก็รอดูผลของมันก็แล้วกัน!” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างลับ ๆ ในใจของเขา
และทันใดนั้นเสียงระฆังก็ดังขึ้นมา ทำให้การแสดงออกของธอร์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “นี่คือเสียงระฆังเตือนของแอสการ์ด ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ข้าจะต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเองซะแล้ว!”
หลังจากพูดจบธอร์ก็บินออกไปพร้อมกับค้อนของเขา
ซู่เจินยักไหล่พร้อมกับยิ้มออกมาและกล่าวว่า “การโจมตีของดาร์กเอลฟ์ได้เริ่มขึ้นแล้ว … งั้นฉันจะต้องรีบไปที่ห้องเก็บสมบัติของแอสการ์ดอย่างรวดเร็ว หวังว่ามันจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง!”
ในขณะเดียวกันคุกของแอสการ์ดก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นมา
โดยนักรบต้องถูกสาปที่ถูกขังอยู่ในคุกก็ได้แหกคุกออกมาฆ่าผู้คุมของเรือนจำจนตายและปล่อยนักโทษคนอื่น ๆ ออกมา
และในตอนนี้นักรบต้องคำสาปคนนั้นก็กำลังยืนอยู่หน้าห้องขังของโลกิหลังจากที่เขาปล่อยนักโทษคนอื่น ๆ เรียบร้อยแล้ว เขากะว่าจะมาปล่อยโลกิออกไปด้วย แต่เมื่อเขาเห็นโลกิที่กำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาเรียบเฉย ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยและไม่ได้ปล่อยตัวของโลกิออกมา และในขณะที่เขาจะเดินจากไป …
“เจ้าควรไปทางซ้ายดีกว่านะ!”
โลกิที่อยู่ในห้องขังก็ตะโกนขึ้นมา ทำให้นักรบต้องสาปคนนั้นเหลือบมองไปที่โลกิเล็กน้อย โดยที่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาและหันหลังเดินจากไป
และไม่นานหลังจากที่นักรบต้องสาปเดินจากไป ธอร์ก็เดินทางมาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน โดยที่เขาบอกให้เหล่านักโทษกลับเข้าไปในห้องขัง ก่อนที่พวกเขาจะมีความผิด แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้ฟังคำพูดของธอร์เลยสักนิด และมันก็เกิดการต่อสู้ขึ้นอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันยานรบของมาเลคิธ ราชาของเผ่าดาร์กเอลฟ์ ก็เข้าสู่แอสการ์ดแล้วเช่นกัน โดยบนท้องฟ้าตอนนี้เต็มไปด้วยยานรบที่ไกลสุดลูกหูลูกตา และถึงแม้ว่าผู้พิทักษ์ของแอสการ์ด เฮมดอลล์ จะพยายามหยุดยั้งพวกเรือรบพวกนั้นเอาไว้ แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จ ทำให้ยานรบขนาดเล็กเหล่านั้นหลุดเข้ามาได้และทำการโจมตีอย่างรวดเร็ว!
ทำให้แอสการ์ดในตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายและเข้าสู่เปลวไฟแห่งสงครามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และในขณะเดียวกันซู่เจินก็เดินทางมาถึงหน้าห้องเก็บสมบัติของแอสการ์ดแล้วเช่นกัน!