หลังจากที่ซู่เจินเดินทางมาถึง เขาก็พบว่าทุกคนภายในยานได้มารวมตัวกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนแรกเขาอยากจะถามว่าภารกิจในครั้งนี้มันคืออะไร แต่เขาก็คิดว่ามันไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไหร่ และหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เดินออกจากยานบินและเดินไปขึ้นรถออฟโรดเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางทันที
เมื่อเดินทางมาถึง ซู่เจินก็รู้ได้ทันทีเลยว่าภารกิจในครั้งนี้มันคืออะไรกันแน่!
ซึ่งบริเวณโดยรอบมีเต็นท์กางอยู่สองอัน อยู่ใกล้ ๆ กับรถจี๊ปสีแดง พร้อมกับมีกองไฟและอุปกรณ์ตั้งแคมป์บางส่วนที่อยู่ตรงใจกลางของแคมป์ และในขณะที่พวกเขากำลังเดินสำรวจอยู่ก็มีคนมารายงานสถานการณ์คร่าว ๆ ให้กับพวกเขาฟังว่า มีคนกลุ่มหนึ่งมาตั้งแคมป์กันที่นี่ และในขณะนั้นมีชายที่ชื่อว่าอดัม ครอส ได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นบริเวณรอบ ๆ ทำให้เขาลองเดินไปสำรวจดู ผลก็คือ ….. เขาเสียชีวิต!
มีรอยไหม้อย่างชัดเจนบริเวณต้นไม้โดยรอบ และเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาได้ไม่นานพวกเขาก็เจอเข้ากับศพ!
ศพที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ!
เมื่อเห็นศพนี้ทุกคนก็ตกอยู่ในความตกตะลึงทันที เพราะว่าสถานการณ์ตรงหน้ามันแปลกเกินไป
หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เจมมาก็เดินเข้าไปตรวจร่างกายของศพที่ลอยอยู่ทันที
“บลา ๆ ……!”
ทันใดนั้นซู่เจินก็เดินเข้าไปคว้าแขนของเจมมาเอาไว้ ทำให้เจมมาผงะเล็กน้อยและถามขึ้นมาด้วยความมึนงงว่า “มีอะไรงั้นหรอ?”
“ผมกำลังช่วยคุณอยู่!”ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองคนอื่น ๆ และพูดว่า “เจ้าสิ่งนี้มีไวรัสอยู่ ใครก็ตามที่สัมผัสมันอาจจะติดเชื้อได้ ดังนั้นก่อนที่จะตรวจสอบจะต้องใส่ชุดป้องกันให้เรียบร้อยซะก่อน!”
หลังจากที่ซู่เจินพูดจบ เขาก็ใช้พลังจิตของเขาห่อหุ้มศพเอาไว้ และค่อย ๆ วางมันลงกับพื้น
“ผมจะเอามันไปไว้ในห้องทดลองบนยานบินก่อน!”
ด้วยเหตุนี้ทำให้ซู่เจินจะต้องรับหน้าที่ในการจัดการกับศพอันนี้แทนเจมมา และไม่นานเขาก็หันหลังเดินจากไปทันที
“ดูเหมือนว่าเขาจะรู้อะไรบางอย่าง!”
โคลสันพูดขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับสั่งให้คนอื่น ๆ ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุต่อไป
เมื่อซู่เจินกลับไปถึงที่ยาน เขาก็เอาศพนี้ไปวางไว้ที่ห้องทดลองอย่างรวดเร็ว โดยที่เขายังไม่ได้หยุดใช้พลังจิตของเขาห่อหุ้มศพเอาไว้
“ถ้าฉันจำไม่ผิดเขาน่าจะโดนไวรัสจากหมวกของ ชิทอรี่ มนุษย์ต่างดาวที่ยกกองทัพมาบุกโลกที่ใจกลางนิวยอร์ก แถมไวรัสตัวนี้สามารถนำมันมาทำเป็นยาแก้พิษได้อีกด้วย“ ซู่เจินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และหลังจากที่เขาคิดได้แล้วเขาก็ถามระบบขึ้นมาว่า “หมวกกันน็อคอันนี้มีประโยชน์ไหม?”
“ไม่!”
ระบบให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา
ซู่เจินหน้ามุ่ยทันที เขาคิดไว้แล้วว่ามันน่าจะไม่มีประโยชน์อะไร ทำให้เขาเลิกสนใจมันอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นานโคลสันและคนอื่น ๆ ก็กลับมาที่ยาน และถามคำถามกับซู่เจิน ซึ่งซู่เจินก็ตอบคำถามกับพวกเขาไปตามตรงว่า “คน ๆ นี้ติดเชื้อไวรัสของมนุษย์ต่างดาว โดยที่หมวกอันนี้น่าจะเป็นของมนุษย์ต่างดาวชาว ชิทอรี่ และเจ้าหมวกแบบนี้น่าจะมีมากกว่าหนึ่งอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นไวรัสในหมวกอันนี้สามารถนำไปทำเป็นยาแก้พิษได้ ดังนั้นเรื่องนี้ผมจะฝากให้พวกคุณจัดการกันเองก็แล้วกัน“
“แล้วคุณล่ะ?”
“ผม ? ผมมีบางอย่างที่จะต้องทำ ….. แต่อยู่ภายในยานนี่แหละ!”
ในเมื่อหมวกอันนี้มันไม่มีประโยชน์สำหรับเขา เขาจะอยู่ไปให้เสียเวลาไปทำไมจริงไหม ? ดังนั้นสิ่งที่ซู่เจินจะต้องทำให้เร็วที่สุดในตอนนี้ก็คือการดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์หรือคริสตัลแห่งความกลังให้เร็วที่สุด
เมื่อได้ยินสิ่งที่ซู่เจินพูด โควสันก็ไม่สามารถบังคับอะไรซู่เจินได้อีกต่อไป แค่ซู่เจินยอมบอกข้อมูลพวกนี้ให้กับเขามันก็ช่วยได้มากแล้ว
ซู่เจินหันหลังเดินจากไปเพื่อกลับไปที่ห้องของเขา หลังจากนั้นเขาก็นั่งดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์ต่อทันที
ในขณะที่ซู่เจินดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์อยู่ ทางด้านของโควสันและคนอื่น ๆ ก็พบข้อมูลของ อดัม ครอส อย่างรวดเร็วจากข้อมูลที่ซู่เจินได้ให้มา และหลังจากนั้นไม่นานเจมมาและฟิทซ์ก็กำลังเอาไวรัสภายในหมวกอันนั้นมาทำเป็นยาแก้พิษอย่างรวดรวด ซึ่งในตอนแรกมันไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ค่อย ๆ ลองปรับเปลี่ยนและทดลองไปเรื่อย ๆ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถทำยาแก้พิษได้สำเร็จ!
หลังจากที่พวกเขาทำภารกิจเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ส่งหมวกกันน็อคใบนั้นเอาไปเก็บรักษาความปลอดภัยเอาไว้ ทำให้ทุกคนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและอดทึ่งไม่ได้กลับความสามารถในการทำนายอนาคตของซู่เจิน
ถ้าเกิดว่าซู่เจินไม่รู้ว่าภายในหมวกอันนั้นมันมีไวรัสอยู่ ? บางทีเจมมาอาจจะติดเชื้อและตายลงในที่สุด
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เกิดขึ้นจริง ๆ แต่ความรู้สึกขอบคุณของเจมมาที่มีต่อซู่เจินมันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
“การอัพเกรดระบบเสร็จสมบูรณ์!“
ในขณะที่ซู่เจินกำลังดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์อยู่ เขาก็ได้ยินเสียงของระบบดังขึ้น
“ในเมื่ออัพเกรดเสร็จแล้ว ….. มันมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างไหม ?” ซู่เจินรีบถามขึ้นมาทันที
“ระยะเวลาในการอยู่ในดันเจี้ยนเพิ่มขึ้นเป็น 7 วัน และเวลารีเซ็ตของดันเจี้ยนลดลงเหลือ 15 วัน พร้อมกับเปิดดันเจี้ยนแห่งที่สาม“
เมื่อได้ฟังคำตอบของระบบซู่เจินก็อดไม่ได้ที่จะกำปั้นของเขาอย่างรุนแรงด้วยความตื่นเต้น
“ฉันไม่คิดว่าการอัพเกรดในครั้งนี้มันจะสุดยอดแบบนี้ เปลี่ยนจากอยู่ในดันเจี้ยนได้ 3 วัน เป็น 7 วัน และเวลารีเซ็ตก็ยังลดลงเหลือเพียงครึ่งเดียว ดังนั้นในตอนนี้ฉันจะสามารถเข้าดันเจี้ยนได้ทุก ๆ 15 วัน ซึ่งมันยอดเยี่ยมมาก อย่างไรก็ตามสิ่งที่ดีที่สุดก็คือดันเจี้ยนแห่งที่สาม!” ยิ่งซู่เจินคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากเท่านั้น หวังว่าเขาจะมีเวลาในการเปิดดันเจี้ยนแห่งที่สามได้ในเร็ว ๆ นี้
แต่การที่เขาจะเปิดดันเจี้ยนแห่งที่สาม เขาจะต้องคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบเช่นกัน
“มีความสุขอะไรงั้นหรอ?”
ทันใดนั้นสกายก็เปิดประตูเดินเข้ามา พร้อมกับมองไปที่ซู่เจินและถามขึ้นมาอย่างสงสัย
ซู่เจินส่ายหัวเบา ๆ และยื่นมือของเขาออกไปจับแขนของสกายเอาไว้ และค่อย ๆ ดึงเธอให้มานั่งบนตักพร้อมกับกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน “เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งได้ยานบินมาหนึ่งลำ และผมก็กำลังสร้างฐานที่เกาะแห่งหนึ่งแถวชายฝั่งตะวันตก และตอนนี้ผมก็มีลูกน้องอยู่ประมาณ 2 – 3 คน แต่มันจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต“
“คุณมีอะไรให้ฉันช่วยไหม?”
แน่นอนว่าสกายก็มีความสุขกับการพัฒนาของซู่เจินเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงหวังว่าเธอจะช่วยเขาได้สักเล็กน้อยก็ยังดี
ซู่เจินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ในตอนนี้ยังไม่มี แต่ผมหวังว่าคุณจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่อยู่ที่นี่ เพราะว่า SHIELD จะอยู่ได้อีกไม่นาน และถ้าหากคุณสามารถดึงพวกเขาให้มาเข้าร่วมกับพวกเราได้ละก็มันจะดีมากเลยล่ะ!”
“ฉันเข้าใจแล้ว!” สกายพยักหน้าและถามขึ้นมาอย่างสงสัยว่า “จะเกิดอะไรขึ้นกับชิลด์งั้นหรอ ?”
“คุณรู้จักไฮดร้าไหม ?”
สกายพยักหน้าและพูดว่า “รู้จักสิ แต่ว่าพวกมันไม่ได้ถูกทำลายทิ้งไปหมดแล้วงั้นหรอ ?”
“ตัดหัวไปหนึ่ง จะงอกขึ้นมาอีกสอง และถ้าเกิดว่าไฮดร้ามันถูกทำลายง่ายดายซะขนาดนั้น พวกเขาก็คงเป็นไฮดร้าตัวปลอมแล้วล่ะ ซึ่งในตอนนี้ภายใน SHIELD มีไฮดร้าแฝงตัวอยู่ภายในเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้สำนักงานใหญ่ของ SHIELD ในตอนนี้ไม่ใช่ของ SHIELD อีกต่อไป“ ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ
ดวงตาของสกายเบิกกว้างขึ้นทันที ข่าวนี้ทำให้สกายตกใจเป็นอย่างมาก
“อย่าคิดมาก เพราะถึงยังไงคุณก็ยังมีผมอยู่ ผมจะปกป้องคุณเอง!” ซู่เจินกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนฉันเชื่อคุณ!”
สกายพยักหน้าอย่างรุนแรง