ตอนที่ 125 กลืนกินอย่างบ้าคลั่ง
ซู่เจินสูดหายใจเข้าไปลึก ๆ สองสามครั้ง ก่อนที่ดวงตาของเขาจะค่อย ๆ จริงจังขึ้น
ความสามารถของ ฮิโรชิ นากามูระ จะต้องถูกเขาเอามาให้ได้ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไร ขวางหน้าก็ตาม เขาก็จะพยายามแย่งชิงมันมาให้ได้ เพราะว่าเขาคือ … คนที่จะขึ้นเป็นราชา!
“ไปกันเถอะ … ได้เวลาออกล่าแล้ว!”
ซู่เจินดื่มไวน์ที่อยู่ในแก้วจนหมดพร้อมกับหันไปพูดกับชาวเฮติด้วยน้ําเสียงนุ่มลึกยากที่จะคาดเดา
ชาวเฮติไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับซู่เจิน แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูด เพราะเขารู้สึกได้ว่าซู่เจินในตอนนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเขาก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันแตกต่างตรงไหน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีความรู้สึกที่ทําให้เขารู้สึกยอมจํานนต่อมัน ความรู้สึกของการเคารพบูชาดั่งราชาผู้ยิ่งใหญ่
หลังจากที่พวกเขาเดินออกมาจากโรงแรม ซู่เจินก็พบรถคันหนึ่งกําลังขับมาจอดหน้าโรงแรม และเมื่อเขามองดูไปที่สติ๊กเกอร์โฆษณาบนรถแล้ว รถคันนี้มันน่าจะเป็นรถทําความสะอาด
ทําให้ซู่เจินเดินไปหาคนขับที่กําลังลงมาจากรถพร้อมกับตบไปที่ไหล่ของเขาเบา ๆ ทําให้คนขับหันไปมองทางซู่เจินและถามขึ้นมาว่า “มีอะไรให้ผมช่วยอย่างงั้นหรอ ?”
” ผมขอยืมรถคุณชั่วคราวได้ไหม ? เดี๋ยววันพรุ่งนี้ผมจะเอามาคืน และคุณก็มารอผมที่นี่ในวันพรุ่งนี้!” เมื่อซู่เจินพูดจบ ดวงตาของเขาก็ค่อย ๆ มืดลง
“ตกลง พรุ่งนี้ฉันจะมารอที่นี่เพื่อเอารถของฉันคืน!” คนขยับหยิบกุญแจรถออกมาพร้อมกับยื่นออกไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นชาวเฮติก็เดินไปหยิบกุญแจมา และพวกเขาก็เดินขึ้นไปบนรถอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ซู่เจินขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว เขาก็เริ่มใช้ความสามารถของเขาในการตามหาคนที่มีความสามารถพิเศษทันที
ซึ่งเป้าหมายแรกของเขาก็คือ ปีเตอร์ เพเทรลรี่ ทําอาชีพเป็นพยาบาลชาย และเป็นตัวของดันเจี้ยนซูเปอร์ฮีโร่ ซึ่งพี่ชายของเขามีชื่อว่า นาธาน เพเทรลรี่ เป็นนักการเมืองที่มีความสามารถในการบิน ส่วนแม่ของพวกเขาก็มีความสามารถเช่นกันนั่นก็คือการทํานายอนาคตโดยใช้การฝันเป็นสื่อกลาง เรียกได้ว่าครอบครัวนี้เป็นผู้มีความสามารถพิเศษทุกคน
และเขายังว่ากันว่าหลานสาวของปีเตอร์ก็คือแคลร์ ลูกสาวของพี่ชายของเขานาธานที่เป็นผู้ให้กําเนิดเธอขึ้นมา และแน่นอนว่าพวกเขายังไม่ได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ํา
ในขณะเดียวกันทางด้านของปีเตอร์ในตอนนี้ที่กําลังเดินออกมาจากบ้านของผู้ป่วยที่เขาดูแลอยู่ ทันใดนั้นในขณะที่เขากําลังจะเดินลงบันไดเขาก็สังเกตเห็นใครบางคนกําลังเดินขึ้นมา ทําให้เขาพยายามที่จะหลีกทางให้ แต่เขาก็พบว่าชายคนนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา
” ปีเตอร์ ?”
“คุณรู้จักฉันงั้นหรอ ?”
“เป็นคุณนั่นเอง!”
ชายคนนั้นยิ้มขึ้นมาทันที ทําให้ปีเตอร์ในตอนนี้เริ่มรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดปกติ เพราะ หลังจากที่เขาลองสังเกตชายคนนี้ดูแล้วเขาก็พบว่าดวงตาของชายคนนี้เป็นสีดําสนิท และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ยินชายคนนั้นพูดขึ้นมาว่า “คุณไปรอผมอยู่ในรถคันนั้น!”
“ได้!”
ปีเตอร์ตอบขึ้นมาพร้อมกับเดินลงจากบันไดและมุ่งหน้าไปที่รถตู้คันนั้นทันที
ซู่เจินพยักหน้าไปทางชาวเฮติที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาเล็กน้อย หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินไปพร้อมกัน
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็มาถึงห้อง ๆ หนึ่ง ซู่เจินจ้องมองไปที่ลูกบิดประตูเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคลิ้กดังขึ้นมาจากด้านใน ทําให้เขาเปิดประตูและเดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่พวกเขาเดินเข้าไปได้สักพัก เขาก็สังเกตเห็นชายชราผิวดําคนหนึ่งกําลังนอนอยู่
โดยสภาพร่างกายของเขาก็อ่อนแอมากและสภาพมันก็ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ซึ่งเขาก็คือผู้ป่วยที่อยู่ภายใต้การดูแลของปีเตอร์ ผู้ป่วยที่กําลังจะตาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามเขาก็เป็นคนที่มีความสามารถในการโทรจิต
“ช่วยขยายขอบเขตการปิดกั้นหน่อย เพราะว่ายังมีอีกคนหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากนี้มากนัก”
ซู่เจินหันไปพูดกับชาวเฮติ หลังจากนั้นเขาก็เดินไปที่ระเบียงและกระโดดข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งฝั่งตรงข้ามก็มีกรงนกพิราบอยู่มากมาย และที่ข้างกรงนกพิราบนั้นมีชายคนหนึ่งกําลังนั่งขดตัว พร้อมกับมองไปที่ซู่เจินอย่างระมัดระวัง
“คุณไม่หนีอย่างงั้นหรอ ? หรือคุณคิดว่าผมมองไม่เห็น ?”
ซู่เจินมองไปที่ชายคนนั้นพร้อมกับพูดขึ้นมาเบา ๆ
สีหน้าของชายคนนั้นดูตกตะลึงเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา และพึมพําขึ้น มาในใจว่า ”เขามองเห็นฉันอย่างงั้นหรอ ? เขาเห็นฉันจริง ๆ ใช่ไหม ? หรือว่าเขาจะโกหก ?”
” ผมไม่ได้โกหกคุณหรอกนะคุณมนุษย์ล่องหน เพราะว่าผมมองเห็นคุณจริง ๆ เพราะว่าตอนนี้คุณไม่ได้ล่องหนอยู่” ซู่เจินพูดขึ้นมา
“คุณรู้งั้นหรอว่าฉันคิดอะไรอยู่”
ชายมนุษย์ล่องหนพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ และเขาก็พบว่าตอนนี้ความสามารถล่องหนของเขามันหายไปแล้วจริง ๆ
“นี่ … คุณเป็นพวกเดียวกับคนพวกนั้นอย่างงั้นหรอ ?”
หลังจากชายมนุษย์ล่องหนพูดจบ เขาก็รีบวิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนก โดยไม่ถามซู่เจินสักคําว่าปล่อยให้ไปได้แล้วหรือยัง ? ทันใดนั้นก็มีบอลเพลิงพุ่งตามเขาไปอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันทางด้านของชายมนุษย์ล่องหนก็รู้สึกเจ็บที่ต้นคออย่างรุนแรง ทําให้เขาหมดสติไปในทันที
ซึ่งจริง ๆ แล้วชายมนุษย์ล่องหนคนนี้ก็คืออดีตเพื่อนร่วมงานของเบนเน็ตต์ พวกเขาเคยทําภารกิจขององค์กรด้วยกันมาก่อน แต่แล้วเขากับคิดที่จะกลับใจเป็นคนธรรมดา ทําให้เขาหลบหนืออกจากองค์กรแล้วมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่จนถึงปัจจุบัน
หลังจากที่เงินเดินไปอุ้มตัวของชายมนุษย์ล่องหนมาเรียบร้อยแล้ว เขาก็กระโดดกลับไปที่ห้องของชายชราผิวดํา พร้อมกับมอบมนุษย์ล่องหนให้กับชาวเฮติ หลังจากนั้นเขาก็หันไปพูดกับชายชราผิวดําว่า “อีกไม่นานคุณก็ตายแล้ว และความสามารถของคุณมันก็จะสูญเปล่า ดังนั้นคุณควรที่จะมอบมันให้กับผมจะดีกว่า และผมก็ขอสัญญาว่าถ้าเกิดว่าผมเจอคนที่ควบคุมพลังของคุณได้ ผมจะช่วยต่อชีวิตให้กับคุณอีกสักสองสามปีก็แล้วกัน”
หลังจากพูดจบ ซู่เจินก็ใช้พลังจิตของเขาห่อหุ้มไปที่ร่างกายของชายชราผิวดําทันที หลังจากนั้นเขาก็ย้ายร่างของชายชราผิวดําไปบนรถเข็น และเดินออกมาจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปที่รถทันที
“สาม!”
หลังจากที่เขาเอาร่างของชายชราผิวดํา ชายมนุษย์ล่องหน และปีเตอร์ขึ้นไปบนรถเสร็จแล้ว ซู่เจินก็ขับรถออกไปอย่างรวดเร็วโดยมีชาวเฮติที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา โดยที่ซู่เจินจะยังไม่หยุดแค่นี้อย่างแน่นอนเพราะว่าแค่สามคนมันยังไม่เพียงพอ
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ซู่เจินก็กลับมาถึงห้องพักที่โรงแรม
ซึ่งนอกจากเขาและชาวเฮติแล้ว ยังมีคนอีกมากมายที่อยู่ภายในห้องของเขา
ปีเตอร์ มีความสามารถในการเลียนแบบความสามารถของคนอื่น , ชายชราผิวดํา มีความสามารถโทรจิต , ชายล่องหน มีความสามารถล่องหน , พี่ชายของปีเตอร์ นาธาน มีความสามารถในการบิน , แม่ของปีเตอร์ มีความสามารถในการทํานายอนาคตผ่านการฝัน , ชายอ้วน มีความสามารถในการละลายของแข็ง ป้าคนหนึ่ง มีความสามารถสุดยอดการได้ยิน
คนที่มีความสามารถพิเศษทั้ง 7 คนที่มีความสามารถแตกต่างกัน
ซึ่งซู่เจินก็พยายามหาคนที่มีความสามารถพิเศษที่มีความสัมพันธ์กับปีเตอร์ เพราะว่ามันสะดวกดี แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่สองคนที่ไม่ค่อยสะดวกนักเพราะว่าพวกเขาอาศัยอยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเมืองมาก ทําให้ซู่เจินจะต้องเสียเวลาสักพักหนึ่งกว่าจะพาตัวของพวกเขามาได้
และถ้าถามว่าทําไมซู่เจินถึงได้ยอมเหนื่อยขนาดนี้ ก็เพราะว่าพวกเขาทั้งสองคนนี้ก็คือคนที่มีความสามารถ ในการละลายของแข็ง และ สุดยอดการได้ยิน ซึ่งพวกเขาจะถูกฆ่าโดยเซอร์ร่าในเวลาต่อมา ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียซู่เจินจึงต้องยอมเสียเวลามากขึ้นไปอีกสักเล็กน้อย
แน่นอนว่าความสามารถของคนทั้งเจ็ดคนนี้ ความสามารถของปีเตอร์นั้นกลืนกินได้อยากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ยากไปกว่าของ ฮิโรชิ นากามูระ อย่างแน่นอน
ซู่เจินมองไปที่พวกเขาที่ละคน ก่อนที่จะสูดหายใจเข้าไปลึก ๆ พร้อมกับพูดขึ้นมากับชาวเฮติ เบา ๆ ว่า “นายออกไปจากที่นี่ก่อน และค่อยมาหาผมพรุ่งนี้ตอนเช้า”
ชาวเฮติพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับหันหลังเดินจากไปทันที
ด้วยความสามารถของคนทั้งเจ็ดคนนี้มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว ซึ่งซู่เจินก็ยังไม่ต้องการกลืนกินความสามารถของชาวเฮติในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงไล่ชาวเฮติให้กลับไปก่อน ไม่งั้นถ้าเกิดว่าเขาเสียการควบคุมขึ้นมาเขาอาจจะเผลอกลืนกินความสามารถของชาวเฮติขึ้นมาก็ได้
หลังจากชาวเฮติเดินจากไปเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็ตัดสินใจที่จะกลืนกินความสามารถของป้าที่มีความสามารถสุดยอดการได้ยินเป็นคนแรก เขาค่อย ๆ วางมือลงบนหัวของเธอพร้อมกับใช้ความสามารถในการกลืนกินของเขาทันที
หลังจากที่เขากลืนกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็เริ่มกลืนกินความสามารถของคนต่อไปทันที
ซู่เจินค่อย ๆ กลืนกินความสามารถที่ละคนอย่างช้า ๆ และเมื่อเขากลืนกินไปได้สามคน เขาก็รู้สึกได้ว่าภายในร่างกายของเขามันเต็มไปด้วยพลังงานอันท่วมท้นเต็มไปหมด ทําให้เขาพยายามที่จะกัดฟัน และเริ่มกลืนกินความสามารถต่อไป ซึ่งหลังจากที่เขากลืนกินความสามารถของคนที่สี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็หมดสติไปในทันที …