“ข้าช่วยเจ้า เหมาะสมหรือไม่ที่จะปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้?” กุยหม่าจุดคบเพลิงและวางตะกร้าไว้บนก้อนหินใหญ่
ซูมู่เก๋อนั่งลงหน้าไฟ “ท่านช่วยข้า?”
เขาถูกเปิดโปงแต่เขาไม่โกรธ “ใช่ ข้าช่วยเจ้าไว้”
กุยหม่าหยิบอาหารออกมาจากตะกร้าแล้วโยนให้นาง
ซูมู่เก๋อไม่รู้ว่านางอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว และนางก็หิวโซ นางเลยหยิบซาลาเปาขึ้นมากินโดยไม่สนใจว่ามันจะสกปรกแค่ไหนก็ตาม
กุยหม่านั่งตรงข้ามกับนางและถามว่า “เจ้าถูกวางยาพิษที่ไหน?”
ซูมู่เก๋อกัดซาลาเปา และเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาใสแจ๋วของนางซึ่งเต็มไปด้วยปริศนา
“พิษ พิษอะไร? ข้าถูกวางยาพิษ?” ความกลัวปรากฏในดวงตาของนาง “แล้ว ข้าจะตายเร็วๆนี้หรือไม่?”
กุยหม่ารู้สึกงงงวยเมื่อเห็นว่านางไม่รู้และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ซูมู่เก๋อส่ายหน้าอย่างกับท่อนไม้
“ทำไมเจ้าถึงขับรถม้าในป่าด้วยตัวเอง?”
ซูมู่เก๋อหลังตาลงและพูดว่า “ข้าจะไปเยี่ยมท่านยายของข้า แต่ข้าได้พบกับโจรบางคนและสาวใช้และผู้คุ้มกันก็ถูกแยกออกไปจากข้า….”
กุยหม่าไม่สงสัยเกี่ยวกับคำอธิบายของนางเพราะเขาเห็นว่ามีสิ่งของจำเป็นในการเดินทางในรถม้า รถม้าของนางและการแต่งตัวแสดงให้เห็นว่านางเป็นหญิงสาวที่มาจากครอบครัวที่เป็นทางการ
“เจ้าถูกวางยาพิษและเจ้าอาจจะตายได้ทุกเมื่อ แต่ข้าได้ให้ยาล้างพิษที่สามารถระงับพิษชั่วคราว มิเช่นนั้นเจ้าต้องตายไปแล้ว”
ว่าแล้วไง ซูมู่เก๋อซ่อนแสงไฝ้ในดวงตาของนางและมองเขาอีกครั้งด้วยดวงตาที่ไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ชัดเจน
“ขอบคุณในความมีน้ำใจของท่าน”
กุยหม่าหยิบขวดกระเบื้องสีขาวขนาดเล็กออกมา
“มียาสามเม็ดที่สามารถทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ได้ภายในสามเดือน แต่เจ้าจะตายหลังจากสามเดือนนั้นถ้าเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าไม่พบยาถอนพิษ”
ซูมู่เก๋อตกใจกับคำพูดของเขา
“แล้วข้าจะทำยังไง?”
“ติดตามข้าและข้าจะทำให้เจ้ามีชีวิตยืนยาว”
ซูมู่เก๋อหยิบขวดยาสีขาวขึ้นมาและนิ่งเงียบ
“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าควรอาบน้ำในสระไอเย็นเป็นเวลาสามวันเพื่อกดเลือดแห่งเปลวเพลิงลงไปข้างใน” กุยหม่ามองนางด้วยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของเขาและพูด จากนั้นเขาก็ออกจากถ้ำไป
ซูมู่เก๋อกระชับมือของนางที่คว้าขวดกระเบื้องยาไว้
นางคิดว่านักพรตลัทธิเต๋าไม่มียาแก้พิษของเลือดแห่งเปลวเพลิง สาเหตุที่เขาจับนางได้ก็คือเขาตั้งใจจะค้นคว้าเกี่ยวกับนาง!
สองวันถัดมา ซูมู่เก๋ออาบน้ำในสระเป็นเวลาสามชั่วโมงทุกวัน นางไม่ได้ปีนออกไปจนกว่าแขนและขาของนางจะชาเพราะความหนาวเย็น
ซูมู่เก๋อสวมชุดแห้งของนาง หลังจากอาบน้ำในสระน้ำเย็นเป็นเวลาสามวัน นางรู้สึกว่าความร้อนที่แผดเผาภายในอ่อนแรงลงมาก แต่นางว่านั่นเป็นเรื่องแค่ชั่วคราว
กุยหม่าดูเหมือนจะมั่นใจว่านางจะไม่หนีไปไหน เขาจึงไม่ได้เฝ้านาง
ซูมู่เก๋อสวมชุดของนางเรียบร้อย เดินออกจากถ้ำพร้อมกับขวดยาสีขาว นางไม่สนใจที่จะเป็นวัตถุในการวิจัย
ถ้ำอยู่บนไหล่เขา นางพบทางที่ซ่อนอยู่และเดินลงเขาไป โชคดีที่ภูเขาไม่สูง ไม่นานนางก็มาถึงด้านล่างของเนินเขา
มีทางเดินเป็นดินโคลนที่เชิงเขา แต่ฝนไม่ตกมาหลายวัน ดังนั้นถนนจึงค่อนข้างแข็ง
“แกร็ก” ซูมู่เก๋อได้ยินเสียงล้อและนางลงไปซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้
“พี่ เราสามารถถึงบ้านก่อนค่ำนี้ไหม?”
“ใช่ เรากลับถึงบ้านก่อนค่ำได้อย่างแน่นอน”
ซู่มู่เก๋อเห็นเด็กหญิงอายุประมาณสิบขวบนั่งอยู่บนรถเข็นและเด็กวัยรุ่นอายุสิบหกหรือสิบเจ็ดปีกำลังเข็นรถเข็นอยู่ข้างหลัง
ทั้งสองคนคนเดินมาใกล้ตรงที่ซูมู่เก๋ออยู่ นางริบหยิบดินมาทาหน้า จากนั้นนางก็เดินไปหาพวกเขา
ทั้งสองคนตกใจเมื่อเห็นซูมู่เก๋อ
ซูมูเก๋อถามว่า “เจ้าช่วยบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าหมู่บ้านจ้าวของเมืองหนานเจิงอยู่ไกลแค่ไหน?”
เด็กชายหน้าแดงเพราะความเขินอายเมื่อเห็นซูมู่เก๋อ แม้ว่าใบหน้าของนางจะสกปรก
เด็กหญิงตัวเล็กผู้กล้าหาญตอบว่า “พี่สาว ท่านจะไปหมู่บ้านจ้าหรือ?”
“ใช่ ข้าจะไปเยี่ยมญาติ แต่ข้าหลงทางในป่า”
“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ เรามาจากหมู่บ้านจ้าว ท่านสามารถไปกับเรา พี่ชายท่านตกลงไหม?”
ทั้งเด็กหญิงตัวน้อยและซูมู่เก๋อมองไปที่เขาทำให้เด็กชายรู้สึกอึดอัดใจมากขึ้น
“ได้ ไม่เป็นไร”
“ขอบคุณเจ้ามาก”
“พี่สาว นั่งบนรถเข็นแล้วพี่ชายของข้าจะลากมันไปเอง”
ซูมู่เก๋อยังอ่อนแอ นางจึงพยักหน้าและขึ้นรถเข็น
ระหว่างทางเด็กหญิงตัวน้อยพูดคุยตลอดเวลาและเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พอค่ำก็มาถึงทางเข้าหมู่บ้าน
ซูมู่เก๋อมีที่อยู่ใช้เดินทางไปบ้านของนางจาง ระหว่างทาง นางบอกลาพวกเขาและจากไป
เมื่อนางมาถึงประตูบ้านของนางจาง นางประหลาดใจ
บทที่ 20 : รู้สึกเศร้า
ซูมู่เก๋อมองไปที่ลานบ้านและขมวดคิ้ว
ใกล้มืดค่ำแล้ว ในลานบ้านมันมืดมาก เงียบและแปลกๆ ซึ่งเข้ากันไม่ได้กับควันที่ลอยไปทั่วบริเวณโดยรอบ
ซูมู่เก๋อเปิดประตูรั้ว ไม่มีอะไรเลยนอกจากบ้านอิฐดินเก่าๆสามหลังในสนาม
นางอันให้เงินนางจ้าวและมู่เก๋อเป็นมูลค่าสามเหลียงต่อเดือนเพื่ออยู่ได้ นางจ้าวเก็บหนึ่งเหลียงไว้ใช้ส่วนที่เหลือจะแอบเก็บไว้ นางส่งอย่างน้อยสิบเหลียงให้นางจางทุกปี
ซูมู่เก๋อรู้ว่านางจางมีลูกชายสามคนและลูกสาวสองคนและแต่งงานกันหมดแล้ว พวกเขามีที่ดินมากกว่าสิบเอเคอร์ นางจ้าวบอกมู่เก๋อว่าลุงของนางไม่ได้ไร้ประโยชน์ ลุงคนที่สามของนางเป็นชาวนา ส่วนลุงอีกสองคนทำงานในเมืองและมีรายได้ทุกเดือน ยิ่งไปกว่านั้นนางจ้าวยังส่งเงินให้พวกเขาทุกปี การสร้างบ้านดีๆ หลายหลังไม่ใช่เรื่องยาก
ด้วยความงงงวย ซูมู่เก๋อผลักประตูห้องโถงเข้าไปและได้กลิ่นเหม็นฉุนทำให้นางขมวดคิ้ว
ห้องเงียบมากจนนางได้ยินเสียงหายใจอ่อนแรงอย่างชัดเจน
มีคนอยู่ข้างใน!
นางหยิบม้วนไฟออกมาและจุดฟางที่พื้น จากนั้นนางก็เห็นคนนอนอยู่บนเตียงนอนดินเตี้ยๆแบบดั้งเดิม
คนที่นอนอยู่บนเตียงมีผมหงอกและแก้มตอบจม ศีรษะของนางเหมือนโครงกระดูกไม่มีผิวหนังและเนื้อ ผ้าห่มของนางหมดสภาพ สีซีดจางและเหม็นอย่างหนัก
ตั้งแต่นางจ้าวแต่งงานกับซูหลุน นางไม่เคยกลับมาดูนางจางเลย ซูมู่เก๋อจึงไม่แน่ใจว่าคนบนเตียงคือนางจางหรือไม่
ซูมู่เก๋อก้าวไปข้างหน้า คนที่อยู่บนเตียงสังเกตเห็นและลืมตาขึ้นช้าๆ ด้วยท่าทางหมองคล้ำของนาง
“เจ้ามันสารเลว! เพื่อรับเงินที่พี่สาวของเจ้าส่งมาที่นี่ทุกปี เจ้าปล่อยให้ข้าใช้ชีวิตของฉันด้วยตัวเอง ไอ้สารเลว!” เสียงที่กลวงพอๆกับเสียงร้องที่แตกออกมาหลอกหลอนในห้องที่ว่างเปล่า
ซูมู่เก๋อไม่ใช่คนเลือดเย็น ดังนั้น นางจึงรู้สึกเศร้าใจกับหญิงชรามาก
“จ้าวเสี่ยวคุย เป็นลูกสาวคนเล็กของท่านใช่หรือไม่?”
การได้ยินเสียงของซูมู่เก๋อ นางจางเปิดตาขุ่นๆของนางอย่างกว้าง ในที่สุดนางก็เห็นซูมู่เก๋อ แต่ห้องมันมืดเกินไป นางสามารถมองเห็นเพียงร่างบางสลัวๆ
“เจ้า เจ้า….”
“ท่านยาย ข้ามู่เก๋อ หลานสาวของท่าน”
“มู่เก๋อ เจ้าคือมู่เก๋อ….”
นางจ้าวเขียนจดหมายถึงนางจางเพื่อให้นางรู้เกี่ยวกับตัวเองและมู่เก๋อ
“ใช่จริงรึ? เจ้าคือมู่เก๋อ?” นางจางรู้สึกตื่นเต้นและจับมู่เก๋อด้วยมือที่ผอมแห้งของนาง
ซูมู่เก๋อจับมือนางเบาๆ “ข้าเองจ้าค่ะท่านย่า ท่านแม่ส่งให้มาดูท่าน นางเพิ่งให้กำเนิดน้องชายของข้า ดังนั้นท่านแม่จึงไม่สามารถกลับมาเยี่ยมท่านย่าได้ ท่านย่ารอสักประเดี๋ยวนะเจ้าค่ะ ข้าจะกลับมาให้เร็ว”
ซูมู่เก๋อปล่อยมือนางจางและเดินออกจากลานโล่งของบ้านไป
มืดสนิทและไม่มีใครอยู่ข้างนอก นางไปที่ลานท้ายหมู่บ้าน
ที่ที่เด็กหญิงตัวน้อยส่งนางให้มาที่หมู่บ้านที่อาศัยอยู่
“แม่นาง เจ้า ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่….” เด็กหนุ่มที่เข็นรถมีชื่อว่าฮูเทา ลูกชายคนโตของครอบครัวนี้ เขาเขินอายและเคอะเขินเมื่อเห็นซูมู่เก๋อ
“ข้าต้องการซื้อของบางสิ่งที่นี่” ซูมู่เก๋อบอกกับเขา
หลังจากนั้นไม่นาน ซูมู่เก๋อก็กลับไปที่บ้านของนางจางพร้อมกับตะเกียงน้ำมันและตะกร้า
ตะเกียงน้ำมันไม่สว่างมากนัก แต่มันก็สามารถให้แสงสว่างมากขึ้น
“ท่านยาย นี่ของกิน” นางซื้อไข่ต้มสองฟองและตะเกียงน้ำมันและสาวน้อยเอย่าคนนั้นให้ขนมปังนึ่งสองก้อนกับโจ๊กหนึ่งชามกับนาง
นางจางแทบรอไม่ไหวที่จะได้กินโจ๊ก เมื่อเห็นเช่นนั้นซูมู่เก๋อก็รู้สึกไม่สบายใจ
ถ้านางจากได้รับการดูแลเป็นอย่างดี นางไม่ควรมีสภาพน่าอนาถเช่นนี้!
นางจางกินโจ๊กหนึ่งชามและซาลาเปาไปครึ่งลูกแล้วซูมู่เก๋อจึงหยุดป้อนอาหารนาง
เมื่อกินอิ่มนางจางมีแรงเพิ่มมากขึ้น
“ท่านยาย ให้ข้าจับชีพจรท่านดูหน่อย ท่านพ่อของข้าจ้างครูมาสอนข้าและเขาก็รู้บางอย่างเกี่ยวกับยา ข้าจึงได้เรียนรู้อย่างลับๆ”
นางจางให้ความสำคัญกับซูมู่เก๋อมากจนนางไม่สงสัยในสิ่งที่หลานของนางพูด
ซูมู่เก๋อรู้สึกได้ถึงชีพจรนางจาง ชีพจรอ่อน แต่ไม่ได้หมายความว่านางกำลังจะตาย มีความเป็นไปได้มากกว่าว่าความเจ็บป่วยของนางจางเกิดจากการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง
นางเปิดผ้าห่มและเห็นขาของนางจางที่เนื้อเน่า นางจางถึงกับกำผ้าห่มไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มีของนาง
เมื่อมู่เก๋อเข้ามาใกล้ นางก็สามารถเห็นตัวหนอนที่ดิ้นได้!
“บ้าเอ้ย!”
ในขณะนั้นมีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้อง