ฝนตกลงมาทำให้พื้นดินกลายเป็นโคลน อากาศชื้นและมีกลิ่นเหม็นไปทั่ว
ตามทิศทางที่คนขับบอก ซูมู่เกอเห็นร่างสีขาวบวมอืดอยู่ใต้ล้อรถม้า!
ซูมู่เกอสวมเสื้อคลุมฟางกันฝนแล้วกระโดดลงจากรถม้า “ทำการถอยรถม้าออกไปสักหน่อย”
คนขับรถม้าดึงบังเหียนด้วยมืออันสั่นเทาและทำให้รถม้าถอยหลังด้วยความยากลำบาก
เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวออกไป มีศพนอนหลาอยู่บนถนน
ซูมู่เกอหยิบถุงมือหนังแกะออกมาเป็นถุงมือที่นางใช้สำหรับปรุงยาและสวมมัน จับศพพลิกหงายหน้าขึ้นมา
จากหลักฐานทางร่างกายและความบวมอืด มันสามารถบอกได้ว่าศพนั้นตายมาแล้วอย่างน้อยห้าวัน
“มะ-มันคือ มันคือ ฮู่ ชายชราฮู่ มันคือชายชราฮู่!” คนขับเบียดตัวเองเข้ากับที่นั่งของเขา ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่คิดเลยว่าทำไมสาวน้อยถึงนิ่งสงบได้ขนาดนี้เมื่อนางเห็นศพ แต่เขากลับสั่นสะท้านมองไปที่ใบหน้าซีดไร้สีเลือดของศพหลังจากที่ซูมู่เกอจับร่างพลิกหงายขึ้นมา
“เจ้ารู้จักเขา?” ซูมู่เกอมองไปที่คนขับรถม้า
คนขับพยักหน้ารับ “คุณหนูใหญ่ เขายังเป็นคนขับรถม้าจากคฤหาสน์ซูด้วยขอรับ เขาไปเขตเมืองโจวกับใต้เท้าเมื่อไม่นานมานี้”
ซูมู่เกอคิ้วขมวด “เจ้าหมายถึงเขาออกจากคฤหาสน์ซูพร้อมกับท่านพ่อ?”
“ใช่ๆ ขอรับ”
ซูมู่เกอตรวจสอบศพอย่างละเอียด อาการบาดเจ็บสาหัสของผู้ตายอยู่ตรงหัวใจของเขาซึ่งเกิดจากอาวุธมีคม เขาตายด้วยการถูกแทงเพียงครั้งเดียว ไม่มีร่องรอยที่เห็นได้ชัดจากการต่อสู้บนร่างกายของเขา
อีกอย่าง คนที่แทงผู้ชายคนนี้ต้องอยู่ในระดับปรมาจารย์ เขาเร็วมากขนาดที่ไม่ปล่อยให้คู่ต่อสู้มีเวลาได้ต่อต้านเขาได้
“รอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปตรวจรอบๆ และดูว่ามีเบาะแสอย่างอื่นๆอีกหรือไม่”
ซูมู่เกอตรวจสอบรอบๆ แต่ไม่พบอะไร ฝนตกมาหลายวันแล้วและร่อยรอยใดๆ ที่เป็นไป ได้ถูกชะล้างไปหมดแล้ว
เมื่อเดินกลับไปที่รถม้า ดวงตาของซูมู่เกอยังคงจับจ้องไปที่ร่างที่นอนสิ้นใจบนพื้น ดวงตาของนางมืดมน
“คุณหนูใหญ่ ปะ ไปกันเถอะขอรับ กลับไป”
“เจ้าขี่ม้ากลับไปเพื่อขอให้ใครมาจัดการศพ ทำการตรวจสอบหาความจริงเกี่ยวกับมัน ข้าคิดว่าท่านพ่อของข้าคงถูกปล้น ข้าจะไปเขตเมืองโจวด้วยตัวข้าเอง”
คนขับมองไปที่ซูมู่เกอด้วยความประหลาดใจ
“คะคุณหนูใหญ่ ท่านไป ท่านกำลังจะเดินทางไปด้วยตัวเอง……”
“ใช่”
ซูมู่เกอเดินไปที่รถม้าและดึงกริชของนางออกมาเพื่อตัดบังเหียนออกจากม้าตัวหนึ่ง
“ถ้า ถ้าเช่นนั้นโปรดดูแลตัวเองด้วยขอรับ คุณหนูใหญ่”
ซูมู่เกอพนักหน้าตอบรับ ดึงศพออกไปด้านข้างและคลุมด้วยกิ่งไม้ หลังจากนั้นนางก็กระโดดขึ้นบนรถม้าและหวดแส้ วิ่งออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
คนขับก็กระโดดขึ้นไปบนหลังม้าของเขาเช่นกัน ถ้าทุกอย่างราบรื่น เขาจะสามารถกลับไปที่เมืองชุนหยางได้ก่อนที่ฟ้าจะมืด
ซูมู่เกอขี่รถม้าไปตามถนนเส้นหลัก ยิ่งใกล้เขตเมืองโจว ถนนก็ยิ่งยากขึ้น มีร่อยรอยของการถูกน้ำท่วมในบางแห่ง
มันมืดลงแล้วและซูมู่เกอมองไม่เห็นถนนตรงหน้านางอย่างชัดเจน นางต้องตั้งแคมป์ในคืนนี้และโชคยังดีที่ฝนตกน้อยลง
ก่อนที่ความมืดจะมืดสนิทลง เธอพบพื้นที่ว่าง ผูกรถม้าไว้และกลับขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้น
ซูมู่เกอพบตะเกียงน้ำมันจากลิ้นชักเล็กๆ ภายในรถม้าและจุดมัน จากนั้นนางก็นทานอาหารเย็นห่ออาหารสำหรับที่นางพร้อมทาน พร้อมด้วยน้ำ
จุดประสงค์ของนางในการไปเยือนเขตเมืองโจวคือเพื่อค้นหาสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบันที่นั่น ช่วยน้ำท่วมและตามหาซูหลุน
ไม่ว่าซูหลุนจะหายตัวไปจริงหรือไม่ เขาจะต้องปรากฏตัวในช่วงเวลาวิกฤตนี้!
ลมพัดแรงอยู่ด้านนอกรถม้าทำให้ผ้าม่านมีเสียงดัง มันมีเสียงกรอบแกรบดังในความเงียบโดยรอบ แต่ที่ได้ยินตอนนี้มีเพียงเสียงสายฝนที่โปรยลงมาและเสียงของซูมู่เกอเคี้ยวและกลืนอาหารของนาง
ทันใดนั้น มีเสียงกรอบแกรบดังขึ้นอีกครั้ง
ซูมู่เกอหยุดชั่วขณะตอนที่นางถือกาต้มน้ำไว้ในมือ นางปิดหน้าด้วยผ้าดึงกริชออกมาจากขาของนาง แนบตัวกับผนังด้านข้างของรถม้าและตั้งใจฟังเสียงนั้นด้วยความระมัดระวัง
เสียงกรอบแกรบหยุดและดังเรื่อยๆ หากไม่ใช่เพื่อการได้ยินที่ละเอียดอ่อนของซูมู่เกอ มันอาจเป็นเรื่องยากที่จะสังเกตได้
ครู่ต่อมาเสียงดังใกล้เข้ามา และซูมู่เกอกระชับมือเข้ากับกริช
พร้อมกับเสียงลมที่รุนแรง ซูมู่เกอเปิดม่านอย่างฉับพลันและกระโดดออกจากรถม้า กริชในมือของนางกระพริบในความมืดด้วยความเย็นและแทงออกไปอย่างแม่นยำยังทิศทางของเสียงที่ดังอย่างรวดเร็วและรุนแรง
“โอ้ย!” มีเสียงเด็กร้องออกมาด้วยความตกใจ ซูมู่เกอยั้งมือที่ถือกริชค้างไว้ได้ทัน เพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายเด็ก ด้วยแสงจางๆ นางเห็นเด็กอายุหกหรือเจ็ดขวบอยู่ในมือของนาง
ในขณะนั้น เด็กก็มองนางด้วยสายตาหวาดผวา เขากำลังสั่นสะท้าน
“ถงเอ๋อร์!”
เสียงกรีดร้องดังออกมาข้างหลังนาง ซูมู่เกอปล่อยเด็กและขยังร่างกายอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการจู่โจม
“โอ้ย!”
หลังจากเสียงกรีดร้องไม่นานก็มีบางอย่างตกลงที่พื้นอย่างแรง
ซูมู่เกอพยายามรักษาสมดูลการทรงตัวและมองย้อนกลับไป สิ่งที่ตกลงบนพื้นคือหญิงชราที่อายุมากกว่าห้าสิบปี
ซูมู่เกอขมวดคิ้ว
“ท่านย่า ท่านยาเป็นยังไงบ้าง?” เด็กน้อยลุกขึ้นจากพื้นและรีบไปช่วยหญิงชรา
มันชัดเจนว่าหญิงชราอาการไม่ดีนักจากการล้มลงบนพื้นเนื่องจากนางต้องใช้เวลาสักพักก่อนที่นางจะสามารถลุกนั่งได้จากความช่วยเหลือของเด็กชายตัวน้อย
“เจ้าเป็นใคร?”
“พวก พวกเราเพิ่งหนีออกจากเขตเมืองโจว…” เด็กชายตอบซูมู่เกอในขณะที่ตัวสั่นด้วยความกลัวและตื่นตัว
ซูมู่เกอขมวดคิ้ว “เจ้าออกมาจากเขตเมืองโจวงั้นรึ?”
“เจ้าค่ะ นายน้อย โปรดเมตตาเราด้วยและช่วยเราด้วยเจ้าค่ะ เราไม่มีอาหารมาหลายวันแล้ว ระหว่างทางเราไม่พบผู้ใดแม้สักคนเดียว เราเห็นรถม้าของท่านและต้องการที่จะมาขออาหาร” หญิงชราอ้าปากค้างและพูดอย่างอ่อนแรง นางขอร้องซูมู่เกอ
“มีเพียงเจ้าสองคนเท่านั้นหรือ?”
เด็กน้อยพยักหน้า “ขอรับ คนในหมู่บ้านหนีออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ บางส่วนถูกน้ำพัดหายไป….”
ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้แกล้งทำ เมื่อซูมู่เกอกำลังจะเก็บกริชที่นางถือไว้ในมือ ทันใดนั้น นางก็หยุดมองไปที่ป่าด้านหลังพวกเขา
“อยู่นิ่งๆและห้ามขยับ!”
ซูมู่เกอกำกริชไว้ในมือของนางและตั้งท่าพร้อมที่จะต่อสู้เมื่อความรู้สึกถึงไอสังหารจากในป่าแล้วจู่ๆมันก็หายไป
ซูมู่เกอตรวจสอบมันหลายครั้ง หลังจากที่นางมั่นใจว่าไม่มีอันตรายแล้ว นางก็หายใจเข้าลึกๆ และเก็บกริชของนาง
นางเดินไปช่วยหญิงชราและหลานชายขึ้นยืน “ข้าไม่รู้ว่าฝนจะหยุดตกเมื่อไหร่ คืนนี้ท่านสามารถพักบนรถม้ากับข้าได้”
เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้พวกเขากำลังจะคุกเข่าลงและคำนับเพื่อขอบคุณซูมู่เกอ นางหยุดพวกเขาไว้
เสื้อผ้าของทั้งคู่เปียก และพวกเขาคงป่วยแน่ ๆ ที่อยู่แบบนี้ นางทำได้เพียงแค่นำเสื้อผ้าที่เตรียมไว้สำหรับตัวเองและให้พวกเขาเปลี่ยน
นางหยิบห่ออาหารออกจากย่ามของนางให้พวกเขาด้วย “เจ้าไม่ได้กินอาหารมาหลายวันแล้วดังนั้นอย่ากินมากเกินไป กระเพาะอาหารต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว”
“ขอบคุณ นายน้อย ขอบคุณมาก”
เมื่อทั้งสองอิ่มแล้ว นางให้ยาสองเม็ดกับพวกเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัดและเป็นไข้ และทั้งสองก็นอนในรถม้า
รถม้าก็ไม่ใหญ่ ซูมู่เกอกังวลว่าจะมีคนเข้ามาในตอนกลางคืน ท้ายที่สุดนางกลัวความรู้สึกของอันตรายที่มาจากในป่า
………………………….
นอกเมืองหยานเซี่ย
เซี่ยโฮวโม่กำลังควบม้าสีดำ เขาสวมชุดเกราะสีม่วงและทองดูหนักและกระหายเลือดไปตามความมืด
กองทัพตะวันตกบุกโจมตีค่ายหยานเซี่ยในเวลาเที่ยงคืนและเซี่ยโฮวโม่ กษัตริย์แห่งจิน นำกองกำลังต่อสู้กลับด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเซี่ยโฮวโม่มาถึงก็ไม่พบกองทัพตะวันตกเลย
คนในหมู่บ้านของพวกเขา ออกมาต่อสู้เอง แต่เมื่อพวกเขาออกมาและพร้อมที่จะต่อสู้ คู่ต่อสู้ก็หายไป และสิ่งที่น่าขันที่สุดคือคนที่เซี่ยโฮวโม่ส่งออกไปนั้นไม่พบร่องรอยของกองทัพตะวันตกเลย
มันเหมือนกับจินตนาการที่หลอกลวงเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นกับกองกำลังของเซี่ยโฮวโม่
กษัตริย์แห่งจินโกรธ และผลที่ตามมาอาจร้ายแรงมาก
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็ขึ้นม้า
“ฝ่าบาท เราได้ค้นหาสถานที่ที่เป็นไปได้ทั้งหมดแล้วและไม่พบร่องรอยของกองทัพตะวันตกเลยพะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้ที่กราบทูลก็รู้สึกเพียงอากาศเย็นยะเยือกรอบตัวพวกเขา และแม้แต่ลมหายใจของพวกเขาก็หดหู่!
ดวงตาของเซี่ยโฮวโม่ผสานเข้ากับความมืด และดวงตานั้นก็เปี่ยมไปด้วยความเย็นชา
นอกจากนี้ยังมีความขึงขังบนใบหน้าของตงหลิน
“พวกสามารถซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?”
รองแม่ทัพมองไปที่เซี่ยโฮวโม่
“ฝ่าบาท เราจะทำเยี่ยงไรดี?”
ดวงตาสีเข้มของเซี่ยโฮวโม่ขยับเล็กน้อย “เจ้าค้นหาสถานที่ทั้งหมดแล้วหรือยัง?”
“ครั้งนี้พวกมันขนกองกำลังมาทั้งหมดเกือบห้าพันคนจากกองทัพตะวันตก ซ่อนตัวอยู่นอกค่ายหยานเซี่ย จะไม่พบร่องรอยหรือทิ้งหลักฐานใดๆเลย มันแทบจะเป็นไปไม่ได้!”
“แล้วค่ายพักทหารล่ะ?”
ตงหลินมองไปที่เซี่ยโฮวโม่ด้วยความประหลาดใจ “ค่ายพักทหารเป็นที่ที่ทหารและม้าของเรามักจะพักผ่อนหลังการฝึก พวกมันจะไม่ไปที่นั่นได้อย่างไร?”
เมื่อดวงตาของเซี่ยโฮวโม่เคลื่อนไหว ตงหลินรู้สึกหายใจลำบากขึ้น “ข้าน้อยจะส่งคนไปค้นหาเดี๋ยวนี้พะย่ะค่ะ”
รองแม่ทัพยังไม่เชื่อเรื่องนี้ “ฝ่าบาท พระองค์คิดว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ในค่ายพักทหารของเราจริงๆหรือพะย่ะค่ะ?”
“เราจะรู้คำตอบเร็วๆนี้”
คนของตงหลินกลังมาในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
“ฝ่าบาท คนของเราพบร่องรอยที่น่าสงสัยในค่ายพักทหารพะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของเซี่ยโฮวโม่ดูมืดมน
“แน่ใจ?”
“มีรอยฝีเท้าใหม่ๆมากมายในค่ายพักทหาร แต่เราหยุดฝึกคนและม้าของเราไปเมื่อสามวันก่อนแล้วพะย่ะค่ะ”
ดวงตาของรองแม่ทัพเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“พวกมันกล้าซ่อนตัวอยู่ในค่ายพักทหารของเราได้อย่างไร! พวกมันไม่กลัวที่จะถูกจับใส่เหยือกเหมือนเต่าหรือ?”
“พวกกองทัพตะวันตกได้เรียนรู้ที่จะเล่นกลกับเรา!”
เซี่ยโฮวโม่กุมบังเหียนไว้ในมือของเขาแน่น “เนื่องจากพวกเขาต้องการที่จะถูกจับใส่เหยือกเหมือนเต่า งั้นข้าขอเป็นผู้เติมเต็มความฝันของพวกมัน! ไปที่ค่ายพักทหาร!”
“พะย่ะค่ะ!”
ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนเป็นสว่าง
ซูมู่เกอลืมตาและขยับร่างกาย
ขณะนี้ฝนยังไม่ตกหนัก แต่ก็ไม่หยุด
หญิงชราและหลานชายของนางก็ลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงข้างนอก
เปิดม่านรถม้า หญิงชรามองไปที่ซูมู่เกอด้วยความขอโทษ
ซูมู่เกอตกแต่งใบหน้าด้วยเคราดำ เปลี่ยนหน้าตาของนางคล้ายซูหลุน เมื่อคืนนี้หลังจากที่ทั้งสองนอนหลับ
“นายน้อย ขอบคุณที่ช่วยพวกเรา ถ้าไม่ได้ท่าน พวกเราอาจตายแล้ว!”
ซูมู่เกอล้างหน้าด้วยเม็ดฝนและมองไปที่พวกเขา “พวกเจ้ามีแผนจะทำอย่างไรต่อ?”
หญิงชราถอนหายใจขณะที่มองไปที่หลานชาย “เด็กคนนี้มีชีวิตวัยเด็กที่น่าสังเวชนัก พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตและข้าก็เลี้ยงเขามา ตอนนี้หมู่บ้านของเราถูกน้ำท่วม เราไม่มีที่อาศัยและไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน”
“ท่านพอรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของเมืองโจวหรือไม่?”
“หมู่บ้านรอบๆ เมืองโจวถูกน้ำท่วมทั้งหมดหลังจากทำนบเขื่อนแตก สถานที่แห่งเดียวที่สามารถเข้าพักหลบภัยได้คือในตัวเมือง แต่ตอนนี้ฝนตกและไม่มีใครแน่ใจว่าถูกน้ำท่วมหรือไม่ ดังนั้นผู้คนจำนวนมากในเมืองก็เลยหนีไป”
“ท่านคุ้นเคยกับภูมิประเทศรอบๆ เขตเมืองโจวหรือไม่?”
หญิงชราพยักหน้า “ข้าอาศัยอยู่ในเขตโจวมาเกือบทั้งชีวิต ข้าไม่รู้มันครอบคลุมทั้งหมดไหม แต่ข้ารู้มากที่สุด “
“ท่านอยากเป็นเพื่อร่วมเดินทางกลับเข้าเมืองกับข้าหรือไม่?”
หญิงชราลังเลเล็กน้อยและไม่ตอบ
เด็กน้อยเดินมาและดึงเสื้อของนาง “ท่านย่า นายน้อยช่วยเรา เราจะไม่ตอบแทนเขาหรือ?”
เมื่อมองไปที่เด็กน้อย หญิงชราก็ตอบตกลงและพยักหน้าให้ซูมู่เกอ “นายน้อย มีอะไรสำคัญที่ท่านต้องจัดการในเขตโจวหรือไม่? หรือสิ่งอื่นไม่งั้นท่านคงไม่เดินทางไปในเวลาเช่นนี้”
ซุมู่เกอพยักหน้า แต่ไม่พูออะไรออกมาอีก
หลังจากอาหารเช้า หญิงชราและหลานชายของนางขึ้นรถม้า ทั้งสามออกเดินทางไปด้วยกัน
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างสีดำออกมาจากป่าและไล่ตามพวกเขาไปในทิศทางที่พวกเขาออกไป…..