บทที่ 66 หอนางโลมบุปผชาติ
“เจ้าต้องการทําอะไร!?”
ซูหลุนที่แทบจะไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์ซูก็ปรากฏตัวขึ้นในค่ํานั้น เมื่อเขาได้ยินเหตุการณ์ที่วัดลั่วหยิน จากนั้นเขาก็เดินไปที่โถงบ้านนางอันทันที ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง
ไม่ช้ารอยยิ้มกว้างของนางอันที่มีเต็มใบหน้าก็ต้องหุบลง นางตกใจกับคําพูดดุดันของซูหลุน
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลี่มาม่าจึงรีบนําสาวใช้ออกจากห้อง ปิดประตูและรักษาการณ์ที่ด้านนอก
เมื่อมองไปที่ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธของซูหลุน นางอันก็รู้สึกกังวลเช่นกัน
“ท่านหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ใต้เท้า? ข้าไม่รู้ว่าข้าทําอะไรที่จะทําให้ท่านโกรธขนาดนี้”
ซูหลุนตะคอกอย่างเย็นชา “เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าทําอะไรบ้างงั้นรึ? ข้ารู้ซึ้งถึงตัวตนอันแท้จริงของนางจ้าวหลังจากผ่านมาหลายปี นางทําเรื่องแบบนั้นไม่ได้แน่ แม้ว่านางจะเก่งกาจกว่านี้อีกหมื่นเท่าก็ตาม!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางอันก็ตระหนักว่าซูหลุนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวิหารลั่วหยินแล้ว โดยไม่มีหลักฐานใดๆหลงเหลืออยู่อีก นางจึงไม่สามารถถูกกล่าวหาได้ว่าเป็นผู้ก่อเหตุร้าย
อย่างไรก็ตาม นางยังคงรู้สึกหงุดหงิดกับการปกป้องนางจ้าวของซูหลุน
นางไม่เคยถูกซูหลุนต่อว่าเสียงดังเช่นนี้ หลังแต่งงานกับเขามาสิบกว่าปี
“ทําไมท่านถึงตําหนิข้าเช่นนี้ ใต้เท้า? ท่านคิดว่าข้าจงใจใส่ร้ายนางอย่างนั้นหรือ?”
ซูหลุนจ้องมองนางอย่างเย็นชาและเห็นได้ชัดว่าเป็นการยืนยันคํากล่าวอ้างนี้
นางอันหงุดหงิดใจมากจนหน้าอกกระเพื่อมอย่างรุนแรง นางแทบอยากจะเป็นลมลงตรงนั้น
“ดี นั่นดูเหมือนว่าจะไม่มีที่สําหรับข้าในคฤหาสน์ซูอีกแล้ว ข้าจะไปจากที่นี่กับเหวินเอ่อร์ เพื่อไม่ให้รบกวนใจท่าน!” พูดจบนางอันทําท่าว่าจะจากไป เมื่อเห็นความจริงจังของนางอัน ซูหลุนทําได้เพียงแค่ยื่นมือออกไปรั้งนางไว้
ถ้านางอันจากไป นางก็จะกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลอันอย่างแน่นอน จากนั้นพ่อตาของเขาต้องขุ่นเคืองใจ เขาไม่สามารถทําให้ใต้เท้าอันขุ่นเคืองได้ในตอนนี้
“เจ้ากําลังจะทําอะไร? นี่ข้าไม่สามารถถามอะไรเจ้าได้เลยรึ?”
ซูหลุนถือโอกาสหยุดการกระทําของนาง หากนางกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลอัน นางก็จะเสียหน้าเช่นกัน
“ท่านบอกชัดเจนแล้วว่า ท่านไม่เชื่อในตัวข้า ข้าจะพูดอะไรได้อีกเจ้าคะ!?”
เมื่อเห็นท่าทางที่นางอันแสดงออกมา ซูหลุนเริ่มไม่แน่ใจเล็กน้อย นางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้จริงๆหรือ?
“ใต้เท้า ท่านไม่ได้ไปที่ลานดอกท้อบานมาหลายปีแล้ว ดังนั้นท่านไม่อาจรู้เบาะแสบางอย่างว่ามีอะไรหรอกเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าซูหลุนไม่พูดอะไร เริ่มโอนอ่อนมาทางคําพูดของนาง นางอันจึงพูดด้วยเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานขึ้น
แน่นอน ซูหลุนรู้สึกบูดบึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้
มันเป็นเวลานานมากแล้วจริงๆ ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาไปที่ลานบ้านของนางจ้าว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาจะทานอาหารเย็นกับนางในช่วงเทศกาลเท่านั้น และเขาก็ไม่สนใจนางด้วยซ้ํา
ถ้านางมีความคิดทุกอย่างจริงๆ เขาก็ไม่จําเป็นต้องรู้!
เมื่อเห็นใบหน้าอันบึงตึงของซูหลุน นางอันก็เผยรอยยิ้มที่มีบางอย่างแอบแฝงและเอื้อมมือไปจับมือของซูหลุนในขณะที่เอนร่างพิงร่างของเขา
“ใต้เท้าเจ้าค่ะ อย่าทําผิดต่อข้าในภายหน้าได้หรือไม่เจ้าค่ะ”
เมื่อมองลงไปที่รูปลักษณ์ที่ออดอ้อนและน่ารักของนาง ซูหลุนรู้สึกว่าความโกรธของเขาหายไปมากทีเดียว
ในวัยสามสิบต้นๆของนาง นางอันยังคงดูแลตัวเองอย่างดี นอกจากนี้นางมักจะทําตัวเหมือนเด็กสาวอายุยี่สิบเมื่ออยู่กับซูหลุน ปราศจากความเขินอายและความไร้เดียงสาของเด็กสาว นางก็มีเสน่ห์ที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
ซูหลุนเริ่มฟุ้งซ่านทันที เขาเชยคางของนางขึ้นแล้วค่อยๆก้มเข้าไปหา…..
……………………
“คุณหนูเจ้าคะ คนจากคฤหาสน์ท่านแม่ทัพแจ้งว่านายหญิงท่านแม่ทัพรู้สึกไม่ค่อยสบายและขอให้คุณหนูไปพบนางเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!” เยว่รู่เดินเข้ามาในห้องและพูดด้วยเสียงเบา
ซูมู่เกอกําลังเตรียมใบสั่งยา เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางจึงหยุดมือลงทันที
มันไม่ใช่เวลาที่ได้กําหนดนัดหมายกันไว้ มันอาจเกิดเหตุไม่คาดคิดที่นั่น?
“ข้าจะไปที่นั่นทันที”
หลังจากเตรียมตัวพร้อมแล้ว ซูมู่เกอออกจากคฤหาสน์ตระกูลซูไปยังคฤหาสน์ท่านแม่ทัพพร้อมกับเยว่รู่
แตกต่างจากครั้งที่แล้ว สาวใช้ที่รอนางเผยให้เห็นความกลัวบนใบหน้าของพวกเขา
เมื่อนางเข้าไปในโถงที่ท่านแม่ทัพหลินอยู่ นางหลินก็รออยู่ที่ด้านนอกแล้วและก้าวเข้ามาหานางทันที
“คุณหนูซู ท่านมาแล้ว เชิญเข้าไปดู…”
โดยไม่ซักถามสิ่งใด ซูมู่เกอสวมหน้ากากและถุงมือแล้วเดินเข้าไปในห้อง
ท่านแม่ทัพหลินนอนอยู่บนเตียงเช่นเดิม ทันทีที่นางเข้าไป นางสังเกตเห็นว่ากลิ่นในห้องนั้นแรงกว่าครั้งที่แล้ว
นางยกผ้าห่มขึ้นจากตัวท่านแม่ทัพหลินและพบว่าตุ่มเปื่อยสีแดงบนร่างกายของเขาและแม้แต่ส่วนที่เป็นหนองบนใบหน้าของเขาก็เพิ่มขึ้น
หลังจากจับชีพจรของท่านแม่ทัพหลินแล้ว นางพบว่าชีพจรของเขาปั่นป่วนและแม้แต่ลมหายใจของเขาก็ถี่กระชั้นขึ้นมาก
“อาการของท่านแม่ทัพดีขึ้นในตอนแรกหลังจากกินยาที่คุณหนูซูสั่ง แต่จู่ๆอาการของเขาก็แย่ลงในเช้าวันนี้ ” หลังจากนายพลหลินเป็นโรค นางหลินได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว นางจึงไม่มีเจตนาที่จะตําหนิซูมู่เกอในเวลานี้
ซูมู่เกอขมวดคิ้วเล็กน้อยและตรวจดูบาดแผลบนใบหน้าและตุ่มแดงบนร่างกายอย่างพิจารณา จากนั้นนางก็หยิบเข็มเงินแทงเข้าไปในเลือดสีแดงบนตุ่มที่เปื่อยเน่าแล้วใส่กลับเข้าไปในหลอดยา
“ยกท่านแม่ทัพขึ้นไปวางบนโต๊ะเจ้าค่ะ”
นางกําลังจะทําการตรวจร่างกายของแม่ทัพหลินอย่างละเอียดมากขึ้น
นางหลินลังเล แต่ก็พยักหน้าในที่สุด
คนรับใช้เข้ามาและยกตัวแม่ทัพหลินขึ้นไปบนโต๊ะยาวที่สามารถรองรับตัวเขาได้
“ถอดเสื้อผ้าของท่านแม่ทัพออก”
เมื่อได้ยินคําพูดของนาง นางหลินเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ถ้าไม่ใช่เพราะอาการป่วยหนักของท่านแม่ทัพ นางคงสงสัยว่าซูมู่เกอมีเจตนาอื่นหรือไม่
แม้ว่าในแคว้นฉู่จะมีประเพณีที่เปิดกว้างแล้ว มันยังไม่เหมาะสมที่หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานจะมองเรือนร่างของชายแปลกหน้า
“คุณหนูซู มันไม่เหมาะสม!”
ซูมู่เกอยังคงสงบนิ่ง “นายหญิงหลินเจ้าคะ ตอนนี้ข้าเป็นเพียงหมอ ส่วนท่านแม่ทัพ หลินเป็นแค่คนป่วยที่ข้ารักษา ข้าต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาพของผู้ป่วย นี่เป็นขั้นตอนที่จําเป็นเจ้าค่ะ”
นางหลินกําผ้าเช็ดหน้าแน่นและพยักหน้า หลังจากดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง
“พวกเจ้าทุกคน ออกไป” ถือว่าซูมู่เกอช่วยเหลือตระกูลหลินทุกทาง นางหลินคิดว่านางควรช่วยรักษาชื่อเสียงของซูมู่เกอ
ซูมู่เกอถอดเสื้อผ้าของท่านแม่ทัพออกเหลือเพียงซับใน
จากนั้นนางก็เริ่มตรวจร่างกายของเขาจากบนลงล่าง
นางหลินไม่เข้าใจพฤติกรรมของซูมู่เกอในตอนแรก แต่เมื่อนางมองดูสีหน้าจริงจังและการตรวจอย่างละเอียดแล้ว นางรู้สึกมั่นใจมากขึ้น
ในขณะที่ตรวจสอบฝ่าเท้าของเขา ซูมู่เกอพบเบาะแส
“นายหญิงหลินเจ้าค่ะ ข้าสงสัยว่าท่านแม่ทัพหลินเพิ่งได้รับบาดเจ็บที่ฝ่าเท้าหรือไม่?”
นางหลินขมวดคิ้วและส่ายหน้าปฏิเสธ “เมื่อเร็วๆนี้ท่านแม่ทัพไม่จําเป็นต้องเข้าเวรหรือไปดูการฝึก และข้าไม่เคยได้ยินว่าเขาบาดเจ็บที่เท้าเลย”
ซูมู่เกอมองไปที่รอยช้ําบนฝ่าเท้าของเขา เอื้อมมือไปกดมันและพบว่ามันแข็งเล็กน้อย เนื่องจากรอยช้ําอยู่ตรงกลางฝาเท้าของเขาเพียงจุดเดียว มันจึงไม่สามารถถูกลบออกได้
ซูมู่เกอหยิบเข็มเงินออกมา แทงเบาๆลงไปที่รอยช้ําเล็กน้อย และพบว่าเนื้อใต้ผิวหนังเป็นสีดําอย่างน่าประหลาดใจ
หลังจากเก็บตัวอย่าง ซูมู่เกอก็คลุมตัวท่านแม่ทัพด้วยผ้าห่ม
“ข้ามีคําถามสองสามข้อจากท่านเจ้าค่ะ นายหญิงหลิน”
นางหลินพยักหน้า “ได้ เชิญถามได้”
“ผู้หญิงคนไหนในหอนางโลมที่ท่านแม่ทัพติดโรคมาเจ้าคะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางหลินหน้าถอดสี “คุณหนูซู ทําไมท่านจึงถามเช่นนี้?”
“ข้ายังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการป่วยของท่านแม่ทัพหลินเจ้าค่ะ ข้าจึงอยากเริ่มต้นจากที่มาของโรค”
นางหลินรู้สึกประหลาดใจ “ท่าน ท่านจะไปพบหญิงสาวเช่นท่านจะไปยังสถานที่แบบนั้น ได้อย่างไร?” นางตกใจแทบสิ้นสติ คิดว่าคุณหนูซูกล้าหาญมากจนไม่สนใจชื่อเสียงของนางเลย!
แต่เมื่อนึกถึงท่าทางที่สงบและนิ่งของนางในตอนนี้ นางหลินก็รู้สึกว่าตัวเองยุ่งยากเกินไป
“นายหญิงเจ้าค่ะ อย่าเข้าใจข้าผิด ข้าไม่ต้องไปที่นั่นด้วยตัวเอง”
เพียงเท่านั้นนางหลินก็พบว่ามันเป็นที่สามารถยอมรับได้มากขึ้น
“มันคือจิงหงส์แห่งหอบุปผชาติ ท่านแม่ทัพอยู่กับนางเมื่อเร็วๆนี้”
………………
ในหอคณิกาที่ชื่อบุปผชาติ
เซี่ยโฮวคุณ ในชุดคลุมคอกลมสีน้ําเงินกรมท่า เดินเข้าไปในห้องที่ชั้นสอง
ทันที่ที่ประตูปิดลง ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวในห้อง
“ฝ่าบาท”
เซี่ยโฮวคุณเดินไปที่เก้าอี้และนั่งลง “มันเป็นอย่างไร?”
“ข้าพบว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่คนในท้องถิ่นพะยะค่ะ”
“พวกมันไม่ยอมปริปากแม้แต่คําเดียว แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกมันไม่ใช่คนในพื้นที่?”
“ข้าพบว่าผิวของพวกมันเป็นสีเทาเข้ม ฟันของพวกมันขาวสว่าง ตัวพวกมันสูงและแข็งแรง และร่างกายของพวกมันได้กลิ่นเนื้อแกะจางๆ ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะของพวกยิปซีพะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวคุณขมวดคิ้ว “พวกคนเร่ร่อน…”
อาณาเขตของแคว้นฉู่อุดมไปด้วยภูเขาและเทือกเขา ทุ่งหญ้าหาได้ไม่ยาก แต่อยู่ห่างไกลมาก ซึ่งทอดยาวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ตะวันตกเฉียงเหนือ!
ตาของเซี่ยโฮวคุณหรี่แคบลงทันที
ทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นดินแดนของท่านลุงสาม กษัตริติงฉี!
ร่างในชุดสีขาวราวแสงจันทร์ปรากฏตัวที่ด้านนอกหอบุปผชาติพร้อมกับถือพัดขนนกในมือ และเผยให้เห็นอารมณ์ของบุรุษผู้หล่อเหลาและโรแมนติก
เมื่อเห็นเขา สาวงามต้อนรับที่อยู่นอกประตูก็ก้าวไปหาเขาอย่างยั่วยวน “ใต้เท้าเจ้าคะ ท่านต้องเป็นแขกที่ได้รับเกียรติของหอบุปผชาติใช่หรือไม่เจ้าค่ะ? เชิญด้านใน…”
ซูมู่เกอปลอมตัวโบกพัดขนนกของนางและมองไปที่หญิงงามที่ต้อนรับด้วยดวงตาชั่วร้ายแต่มีเสน่ห์ของนาง “แน่นอน ข้ามาที่หอบุปผชาติเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ”
แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มืด แต่ก็มีแขกมากมายในหอบุปผชาติ
“ใต้เท้าเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน ต้องเป็นครั้งแรกที่ท่านมาที่นี่ใช่หรือไม่เจ้าค่ะ? ข้าจะเรียกสาวที่ดีที่สุดของเรามารับใช้ท่าน” สาวงามต้อนรับเรียกเด็กสาวตัวเล็กๆ “มานี่สิ ไปเรียกยู่เอ๋อร์มาหาข้า เร็วเข้า”
“เจ้าค่ะ”
“รอสักครู่นะเจ้าค่ะ”
“ใต้เท้า ท่านไม่ชอบยู่เอ๋อร์หรือเจ้าค่ะ? ข้าจะหาคนอื่นมาให้ท่าน”
“มันเป็นที่เลื่องลือให้รู้กันทั่วอยู่แล้วว่าหญิงงามที่โดดเด่นที่สุดในหอบุปผชาติคือจิงหงส์ ผู้ที่เก่งทั้งการร้องเพลงและการเต้นรํา ข้าต้องการนาง”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้สาวงามต้อนรับกล่าวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น “ใต้เท้า มันเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับใช้ท่าน แต่เมื่อวานนางเป็นไข้หวัด ข้าเลยกลัวว่าตอนนี้นางจะรับใช้ท่านไม่ได้เจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอมองไปที่นางอย่างเฉยชา “นางป่วยทันทีที่ข้ามาที่นี่? เจ้ากลัวว่าข้าจะไม่มีปัญญาจ่าย ค่าตั๋ว!” ในขณะที่พูดนางหยิบตัวเงิน100เหลียงออกมาและโยนให้กับสาวงามต้อนรับ
สามงามต้อนรับตรวจสอบตั๋วเงินและยิ้มด้วยความจริงใจมากขึ้น “ใต้เท้าเจ้าค่ะ ท่านเข้าใจข้าผิด ข้าจะไปดูว่าตอนนี้นางดีขึ้นหรือไม่ นําใต้เท้าไปที่ห้องบนชั้นสอง”
“เจ้าค่ะ”
จากนั้นซูมู่เกอก็ถูกพาไปที่ห้องๆหนึ่ง และสาวใช้ก็นําเครื่องดื่มและผลไม้มาต้อนรับ
ไม่กี่อึดใจต่อมา ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกและมีร่างหนึ่งในชุดสีพีชเดินเข้ามา
นางสวมชุดเกาะอกสีพีชยาว คลุมด้วยผ้าโปร่งบางเบา ไม่มีปินปักผม ผมของนางประดับด้วยกล้วยไม้สีฟ้าอ่อนสองดอกเท่านั้น
“ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้าเจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอยิ้มมุมปาก “มานี่ มานั่งข้างๆข้า”