ไป๋หลงนั้น ไม่ได้รู้ถึงความสำคัญของเหรียญตราที่ตนถืออยู่แม้แต่น้อยว่ามันมีความสำคัญและอำนาจของมันเพราะก่อนออกมาจากราชสำนัก องค์จักรพรรดิถังหน่านเหิงนั้นไม่ได้กล่าวบอกไป๋หลงแม้แต่น้อย เกี่ยวกับ เหรียญตรา ทองคำรูปมังกรสลักเอาไว้อย่างสวยงามเด่นสะดุดตา ไป๋หลงนั้นตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ไป๋หลงนั้นหาใช่คนโง่เขลา เมื่อ รับรู่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เก็บ เหรียญตราสีทองนี้เข้าแหวนมิติในทันที
เมื่อไป๋หลงเก็บเหรียญตราแห่งราชันเข้าแหวนมิติ ทุกคนที่อยู่และเห็นเหตุการณ์อยู่ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นยืนหรือแม้แต่เงยหน้ามามองไป๋หลงก็ไม่มีใครกล้าสบตา ยิ่งเป็นพวกที่เคยดูถูกไป๋หลงไว้สั่นเทา ด้วยความหวาดกลัว
” ผู้เยาว์คนนี้เป็นใครเหตุใดถึงมีเหรียญตราแห่งราชันได้ ” ผู้อาวุโสที่มองดูสังเกตุการณ์อยู่ ในที่ห่างไกลกับโรงประมูลพอสมควร ซึ่ง ผู้อาวุโสท่านนี้นั้นใส่ชุดสีขาวล้วน ผมยาวสีขาวและหนวดเคราที่ดูยาวเฟื้อย แต่ดูแล้วเต็มไปด้วยผู้มีความรู้ความสามารถ ใบหน้าที่ ผ่องใส ซึ่งแน่นอน ไป๋หลงนั้นไม่สามารถรับรู้ได้แม้แต่น้อยด้วยความต่างของระดับพลังและฝีมือถึงแม้ไป๋หลงจะแข็งแกร่ง แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า
หลังจากผู้อาวุโสท่านนั้นกล่าวออกมาด้วยความสงสัยก่อนจะกลายเป็นแสงหายไปทันที หลิงหลุนสามารถรับรู้ได้ถึงการจับตามองแต่ไม่ได้บอกกล่าวไป๋หลง เพราะ ผู้อาวุโสท่านนั้นไม่ได้มีเจตนาคิดร้ายแก่ไป๋หลง หลิงหลุนจึงปล่อยผ่านไป ไป๋หลงเมื่อเห็นว่าไม่มีคนเงยหน้าขึ้นมาหรือแม้แต่ยืนยังไม่มีไป๋หลงจึงกล่าวออกมาทันที
” เหตุใดพวกท่านจึงต้องคุกเข่าและก้มหน้าด้วย พอมีใครจะอธิบายข้าได้หรือไม่? ” ไป๋หลงกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย ผ่านมาสักระยะ ก็มีเสียงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียง ที่หวาดกลัวต่อไป๋หลง
” ระ เรียน ท่านผู้ยิ่งใหญ่!! เหรียญตราที่ท่านมีอยู่นั้น การที่จะมีได้จะต้องทำความชอบใหญ่หลวงแก่ทวีปจรัสแสง หรือไม่ก็เป็นบุคคลสำคัญขององค์จักรพรรดิ อีกอย่างก็คือ มีสิทธิที่จะออกคำสั่งแก่กองทัพครึ่งนึงของเมืองแห่งนี้ ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เหรียญตราชิ้นนี้นั้น เท่าที่ข้า ได้ทราบมา เหตุผลที่เหรียญตราที่ท่านครอบครองอยู่นั้น มีชื่อว่า เหรียญตราแห่งราชัน ” คนที่กล่าวบอกแก่ไป๋หลงนั้นก็คือ เหมยซาน นั้นเอง ที่ตอนแรกมีทีท่าไม่พอใจไป๋หลงแต่เมื่อไป๋หลงนำเหรียญตราแห่งราชันออกมา ก็แทบจะล้มทั้งยืนเพราะเหตุผลบางอย่าง เมื่อไป๋หลงได้ยินเช่นนั้น ก็กล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย
” ทำไมเหรียญตราที่ข้ามี ถึงมีชื่อว่าเหรียญตราแห่งราชันโปรดบอกกล่าวแก่ข้าด้วย ”
เมื่อแม่ทัพเหมยซานได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวอธิบายทันที
” เพราะว่า เหรียญตราแห่งราชันนั้นว่ากันว่ามีพลังบางอย่างแฝงอยู่ที่สามารถ บังคับหรือสั่งการสิ่งใดก็ได้แล้วแต่ใจปราถหนา แต่ต้องเป็นผู้ที่ เคยลงสัณญาเลือดไว้กับ เหรียญชิ้นนั้น ถ้าคิดทรยศแก่ผู้ที่ถือครองเหรียญตราที่ตนทำพันธะสัณญาด้วยร่างกายก็จะระเบิดออกในทันที นั้นเป็นเพียงแค่ข้อมูลส่วนหนึ่งเท่าที่ข้าได้รู้มา อีกอย่าง ข้าก็เป็นหนึ่งในคนที่ทำพันธะสัณญา เลือดกับเหรียญตราที่ท่านถือครองอยู่ นั้นจึง เป็นที่มาของชื่อเหรียญตราแห่งราชัน นี้เป็นเพียงข้อมูลส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่ข้ารู้ก็มีเพียงแค่นี้ ”
เมื่อไป๋หลงได้ยินเช่นนั้นก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ทำไม องค์จักรพรรดิ ถึงมอบของสำคัญแบบนี้ให้ เมื่อไป๋หลงได้ยินเช่นนั้นก็บอกกล่าวแก่เหมยซานทันที
” ขอบใจท่านมาก ข้าเข้าใจแล้ว ” ไป๋หลงกล่าวแก่เหมยซานด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เมื่อเหมยซานได้ยินเช่นนั้น ก็กล่าวตอบรับด้วยความเกรงกลัว ไป๋หลงเดินไปหาทหารที่เคยถามหาหลักฐานจากไป๋หลง เมื่อมันรู้ว่าไป๋หลงเดินมาหามันตัวมันก็สั่นและหวาดกลัวไป๋หลงจับขั้วหัวใจ ในที่สุดไป๋หลงก็เดินมาถึงตัวมันที่นั่งก้มหน้าแนบติดกับพื้น
” หลักฐาน เจ้าคงจะเห็นแล้วสินะ..ว่าไง จะถามหาอย่างอื่นอีกรึเปล่าล่ะ ” ไป๋หลงกล่าวถามออกมาด้วยความเย็นชา เมื่อมันได้ยินไป๋หลงก็ตอบกลับออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวอย่างแท้จริงข
” ขะ ข้า ขอภอัยเป็นอย่างสูงข้ามีตาหามีแววไม่ !! โปรดท่านให้อภัยข้าด้วย ”
เมื่อไป๋หลงได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้มีทีท่าอะไรเพียงแค่กล่าวบางอย่างออกมาเท่านั้น
” ข้าจะไม่ถือโทษ เจ้าหรอกนะ แต่จงจำไว้ อย่าให้พรรคพวกของเจ้ามามอง คนของข้าด้วยสายตาแบบนั้นอีก มิฉะนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน ” ไป๋หลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่่อนจะเดินตรงไปที่เอลฟ์สาวแล้วพยุงตัวขึ้น
” เจ้าไม่ต้องทำแบบนี้ข้าไม่ชอบ อีกอย่างพวกท่านทุกคนจะคุกเข่าไปจนถึงเมื่อไหร่ เงยหน้าแล้วลุกขึ้นได้แล้ว ” ไป๋หลงบอกกล่าว แก่ทุกคนในที่นี้ ตอนนี้ผู้ติดตามของซานอี้นั้น รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็แทบจะมุดหน้าลงดิน ไม่อยากที่จะมองหน้าไป๋หลงด้วยซำ ไม่ต่างจากซานอี้ที่ตอนนี้รู้สึกสงสัยในตัวไป๋หลงเป็นอย่างมากในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมด
” เจ้าเป็นใครกันแน่ ”
” มาจากที่ใดกัน ”
ซานอี้ได้แต่เก็บความสงสัยต่างๆเอาไว้ในใจ หวังว่าสักวันคงมีโอกาศได้ถามเหล่านี้กับไป๋หลง
” แย่แล้วจะค่ำแล้วข้าไปงานเลี้ยงก่อนละ อ้อ อีกอย่าง พี่สาวพิธีกร ไม่ต้องเป็นห่วงข้าจะดูแลนางเองไว้ใจข้าได้เลย ” ไป๋หลงกล่าวจบก็จับมือเอลฟ์สาวและทะยานร่างไปบน นภาในที่สุด ทิ้งไว้ให้พิธีกรสาวอึ้งเล็กน้อย
” เขารู้ได้ไง ชั่งเป็นเด็กที่แสบซะจิงๆหึ…เจ้าเด็กแก่แดด ข้าขอฝากปิงปิงเพื่อนข้าด้วยล่ะ ” พิธีกรสาวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ชอบใจ ก่อนจะเดินไปทำหน้าที่ปกติของตัวเองในทันที
” เอาล่ะ เจ้าค่ะ ใครที่ได้ประมูลสินค้าเอาไว้ โปรดมาจ่ายเงินแล้วรับของที่ท่านประมูลไว้ด้วยก่อนที่ท่าจะโดนตัดสิทธิ ” พิธีกรสาวกล่าวราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่คนที่ได้ประมูลสินค้าไว้จะมารับสินค้าของตน สิ่งที่ทุกคน ณ ที่แห่งนี้ได้ยินและได้เห็นในวันนี้ จะต้องจดจำขึ้นใจ ว่า อย่ามีเรื่องกับ คนที่ชื่อ ไป๋หลงเป็นอันขาด
แม่ทัพเหมยซานก็สั่งถอยทัพในทันทีพร้อมกับรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับองค์จักรพรรดิได้ทราบนวันรุ่งขึ้น
” เฮ้อ..นึกว่าจะไม่ทันสะแล้ว เสียเวลาอธิบายตั้งเยอะกว่าจะพาเจ้าเข้ามาได้ เจ้าอยู่ในห้องของข้าก่อนก็แล้วกันคืนนี้และก็นี้เสื้อผ้าของเจ้าเปลี่ยนสะด้วย อย่าออกไปไหนล่ะ ” ไป๋หลงกล่าวกำชับแก่เอลฟ์สาว เมื่อเอลฟ์สาวได้ยินเช่นนั้นหน้าแดงเล็กน้อย ก็พยักหน้าให้ไป๋หลงในทันที ก่อนจะเริ่มถอดเสื้อผ้าออกไป๋หลงเมื่อเห็นเช่นนั้นกำลังจะกล่าวห้ามทันใดนั้น
ก็อกๆๆๆ!!
เสียงเคาะประตูหน้าห้องไป๋หลงก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงอันคุ้นเคย
” ไป๋หลงข้าเข้าไปน่ะ ” เมื่อไป๋หลงได้ยินเช่นนั้นก็รีบตอบกลับออกมาทันที
” เดี๋ยวอย่าพึ่งเข้า…. ” ไป๋หลงกล่าวไม่ทันจบ อู้เฉียงก็เข้ามาในห้องไป๋หลง เมื่ออู้เฉียงเห็นเอลฟ์สาวกำลังถอดเสื้อ กับไป๋หลงที่นั่งบนเตียงก็หน้าแดงทันที
” ขะ ข้า ขอตัวเข้าไปในงานก่อนล่ะ เจ้าก็รีบๆด้วยละข้าไปล่ะ ” อู้เฉียงกล่าวจบก็ปิดประตู ออกจากห้องของไป๋หลงในทันที
” เดี๋ยวก่อนเจ้าเข้าใจข้าผิดแล้วอู้เฉียงข้าไม่ใช่คนแบบนั้น ” ไป๋หลงกล่าวออกมา แต่อู้เฉียงนั้น ออกจากห้องไปแล้ว ไป๋หลงได้แต่หันมามองหน้า เอลฟ์สาวก่อนจะกล่าวบางอย่างออกมา
” ที่บ้านเจ้า…เขาเปลี่ยนเสื้อผ้ากันที่ไหนก็ได้รึไง..เฮ้อ ” ไป๋หลงถามแก่เอลฟ์สาวด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
” ใช่แล้วล่ะ…หรือว่าเจ้า ” เอลฟ์สาวกล่าวออกมาอย่างมีเลศนัย
” หรือว่าอะร? ” ไป๋หลงกล่าวถามแก่เอลฟ์สาว
” เจ้ายังบริสุทธิ์อยู๋ ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะสอนเจ้าเอง ” เอลฟ์สาวกล่าวพลางเดินเข้ามาหาไป๋หลง เมื่อไป๋หลงได้ยินเช่นนั้น และ เอลฟ์สาวที่กำลังเดินเข้ามา แต่หน้าแปลก ที่ไป๋หลงนั้นไม่สามารถ ขยับร่างกายได้
” ทำไมข้าขยับร่างกายไม่ได้ หรือ เป็นฝีมือของเจ้า ” ไป๋หลงพยามใช้ทุกวิถีทางแต่ไม่อาจขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย
” ใช่รึเปล่าน่ะ…ตอนที่เจ้าสู้กับข้าแล้วจัดการกับทหารพวกนั้น มันชั่งแตกต่างกันยิ่งนัก ตอนนั้น เจ้าทั้งสุขุมและเยือกเย็น แต่ตอนนี้เล่า เป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ไร้ทางสู้ ไม่ต้องกลัวหรอก ข้าสัณญาว่ามันจะไม่เจ็บ ”
ไป๋หลงทำอะไรได้เลยในตอนนี้ ในที่สุดไป๋หลงก็ ขอความช่วยเหลือจากหลิงหลุน
” หลิงหลุนช่วยข้าด้วย!! ” ไป๋หลงกล่าวขอความช่วยเหลือแต่คำตอบที่ได้นั้นราวกับมีฟ้าผ่ามาใส่ตัวโดยตรง
” นายท่าน….เกรงว่าเรื่องนี้ข้าจะช่วยไม่ได้ นี้จะทำให้นายท่านเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ” หลิงหลุน กล่าวออกมา เมื่อไป๋หลงได้ยินเช่นนั้นถึงกับใบหน้าบิดเบี้ยวในทันที
” บัดซบ..หลิงหลุนเจ้าทรยศ ข้าจะจำเรื่องครั้งนี้ไว้ มันจะไม่จบลงด้วยดีแน่นอน ” ไป๋หลงกล่าวออกมาด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะนึกถึงอีกคนนึงซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายของตน
” ท่านอาจารย์ ช่วยข้าด้วย ” ไป๋หลงกล่าวขึ้นในจิตใจ แต่คำตอบที่ได้ทำให้ใบหน้าไป๋หลงนั้นบิดเบี้ยวเป็นอย่างยิ่ง
” เรื่องของเจ้า ไม่ใช่เรื่องของข้าสักหน่อย บอกแล้วว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าเรียกข้า…ข้าไปล่ะ อย่าเรียกอีกถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ”
หลังจากไป๋หลงได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะร้องไห้ด้วยความเจ็บใจ
” โอ๋ๆ..ไม่ร้องนะเดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะปลอบเจ้าเอง ” เอลฟ์สาวกล่าวจบก็เข้ามากอดไป๋หลงในทันที
” เจ้านี้กลิ่นหอมกว่าที่คิดนะไป๋หลง ” เอลฟ์สาวกล่าวจบก็กัดที่คอของไป๋หลงในทันที
ม่ายยยยยยยยยยยย!!!!!
ไป๋หลงส่งเสียงร้องออกมาแต่นั้นกลับสร้างความตื่นเต้นให้กับเอลฟ์สาวอย่างแปลกประหลาด
ทางด้านโรงประมูล
“อ้ะ..แย่ละสิลืมเตือนไป๋หลงไปเลยว่าพอตกค่ำนิสัยของปิงปิงจะเปลี่ยนไปเป็นอารมณ์ที่มุ่งในตัณหาราคะกับพละกำลังจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว แต่ไป๋หลงคงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง ก็เจ้าเด็กนั้นมีฝีมือซะขนาดนั้นคงจะไม่พลาดท่าง่ายๆ … ทำงานต่อดีกว่า ” เสียงของสาวงามที่อายุราวๆ18-19ที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรสาวในงานประมูลบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเคลียเอกสารที่อยู่บนโต๊ะต่อไป โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้มีคนกำลังเดือดร้อน เพราะตัวเอง
จบ.