เทพมารตกสวรรค์ – ตอนที่22 เจ้ามันปีศาจ

ตอนที่22 เจ้ามันปีศาจ

อู้เฉียงตกตะลึงกับหอกที่มีขนาดใหญ่ก่อเกิดจากการรวมคลื่นพลังจนก่อเป็นรูปร่างหอกขนาดใหญ่สีทองอยู่เหนือหัวของไท่ซู่ อู้เฉียงสามารถรับรู้แรงกดดันของมันได้ อู้เฉียงไม่รอช้า เร่งพลังมาปกป้องตัวเองทันที

” หอกที่ข้าสร้างมันขึ้นมาคือ หอกมรณะ!! ถ้าเจ้าไม่สามารถทนการโจมตีของมันได้ ก็ถือว่าเจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่เคียงข้างนายน้อย เอาล่ะจงแสดงออกมาให้ข้าดูว่าสิ่งใดกันที่ทำให้นายน้อยสนใจตัวเจ้ากัน เจ้าหนู ” ไท่ซู่กล่าวออกมาด้วยน้ำที่เคร่งขรึม เมื่ออู้เฉียงได้ยินเช่นนั้นก็มีภาพอย่างขึ้นมาในหัวของตน เป็นภาพของเพื่อนสมัยเด็กที่เล่นกันกับตนบ่อยๆแต่เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น นางโดนสังหารแต่ก่อนที่นางจะโดนสังหารนางได้บอกให้อู้เฉียงหนีไป ซึ่งอู้เฉียงรู้สึกเจ็บใจเป็นอย่างมากที่ตนเองอ่อนแอ ไม่สามารถช่วยเพื่อนของตนไว้ได้ ” ทันใดนั้นก็มีเสียงภายในหัวของอู้เฉียงดังขึ้น เจ้าจะหนีอีกแล้วมักจะเป็นแบบนี้เสมอเลยน่ะ ”

” ไม่ข้าจะไม่หนีเด็ดขาดข้ายอมตาย!! ดีกว่าที่จะหนี ข้าจะต้องผ่านบททดสอบนี้ให้ได้ ” อู้เฉียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น เร่งเร้า พลังทั่วร่างทันที

“ท่านไท่ซู่ ข้าพร้อมแล้ว เชิญทดสอบข้าได้เลย ” อู้เฉียงบอกกล่าวแก่ไท่ซู่ที่ยืนอยู่

” ได้จงรับไป หอกมรณะ ” ไท่ซู่กล่าวจบหอกก็พุ่งไปหาอู้เฉียงทันที ความจริงอีกอย่างที่ไท่ซู่ ไม่ได้บอกเกี่ยวกับหอกนี้คือ มันมีชื่อเรียกอีกชื่อนึงคือ หอกแห่งสังจะ!! เป็นหอกที่ใช้ในการตัดสินความผิดส่วนใหญ่เพราะหอกเล่มนี้จะสังหารคนที่กล่าวคำพูดเท็จต่อหน้าหอกเล่มนี้ ใครก็ตามที่อยู่ต่อหน้าหอกเล่มนี้เมื่อกล่าวสิ่งใดออกมาแล้ว ถ้าไม่เป็นความจริงหอกเล่มนี้จะพุ่งทะลวงล่าง ของคนผู้นั้นในทันที ส่วนใครก็ตามที่พูดความจริงออกมา คำพูดทุกคำพูดที่กล่าวมานั้นเป็นความจริงหอกเล่มนี้จะสลายหายไปในทันทีเมื่อโดนตัวคนผู้นั้นจะไม่ได้รับอันตรายใดๆทั้งสิน นี้จึงเป็นที่มาของ หอกแห่งสัจจะ แต่มันจะเป็นหอกมรณะก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นพูดโกหก

อู้เฉียงเห็นหอกสีทองขนาดใหญ่พุ่งมาใช้พลังทั้งหมดต้านทานรับไว้ทันที ถึงแม้รู้ว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ต่อหอกเล่มนี้ แต่อู้เฉียงเป็นคนที่ยึดมั่นในคำพูด ทันใดนั้นเองหอก ก็ทะลวงการป้องกันของอู้เฉียงมาอย่างง่ายดาย

” จบแล้วสินะ..ข้ามันไม่มีคุณสมบัติจริงๆด้วย ” อู้เฉียงกล่าวออกมาด้วยความเศร้าใจ

” ผิดแล้ว ” ทันใดนั้นเองเสียงดังขึ้นเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งแฝงไว้ หอกที่กำลังโดนตัวอู้เฉียงสลายหายไปในทันทีราวกับไม่เคยมีหอกเล่มนี้มาก่อน ก่อนที่อู้เฉียงจะเรียกสติและกล่าวถามแก่ไท่ซู่

” หมายความว่าอย่างไรก็ในเมื่อข้ารับหอกของท่านไม่ได้….แล้วข้าผ่านได้อย่างไร? ” อู้เฉียงกล่าวถามด้วยงุนงง

” ฮ่าๆๆ ข้าละยอมใจเจ้าจริงๆเลย ไม่คิดว่าเจ้าจะจริงจังในคำพูดที่ตัวเองพูดออกมาถึงเพียงนี้ ข้าเริ่มรู้แล้วล่ะว่านายน้อยเห็นสิ่งใดในตัวเจ้า ” ไท่ซู่กล่าวพลางหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ อู้เฉียงได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นทันที

“แน่นอน ข้าอู้เฉียง พูดจริงทำจริงไม่เคยผิดคำพูด ” อู้เฉียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ไท่ซู่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกถูกใจอู้เฉียงเข้าไปใหญ่

” ดีๆ ดีมาก เจ้าอยากรู้ไหมทำไมหอกถึงสลายไป ” ไท่ซู่ กล่าวออกมาอย่างมีเลศนัย อู้เฉียงได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้างุนงง ในทันที

” ท่านไม่ได้เป็นคนทำให้หอกหายไป แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ” อู้เฉียงถามขึ้นด้วยความงุนงง ไท่ซู่เห็นเช่นนั้นก็เริ่มอธิบายทันที

” ความจริงแล้วหอกเล่มนั้นมันมีอีกชื่อคือ หอกแห่งสัจจะ!! ” ไท่ซู่กล่าวขึ้นเพื่ออธิบายแก่อู้เฉียง

” หอกแห่งสัจจะ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกันล่ะข้าไม่เข้าใจ” อู้เฉียงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย

” ฟังให้ดี ชื่อแรก หอกมรณะ ที่ข้าบอกเจ้าไปนั้น มันสามารถสังหารเจ้าได้จริงๆนั้นแหละถ้าเจ้าผิดในคำพูดที่ตนพูดมา แต่ข้าจะยั้งมือไว้เพราะเจ้าเป็นสหายของนายน้อย อีกชื่อนึงมันคือ หอกแห่งสัจจะ การที่เจ้าพูดออกมาต่อหน้า หอกเล่มนี้ หอกเล่มนี้สามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเจ้าพูดจริงหรือโกหก มันจะกลายเป็นหอกมรณะและสังหารคนที่พูดเท็จต่อหน้าหอกเล่มนี้ กลับกันถ้าหากเจ้าพูดจริงและเชื่อมั่นในคำพูดของตนหอกเล่มนั้นก็จะสลายหายไปทันทีเมื่อโดนตัวเจ้า ” ไท่ซู่พลางกล่าวอย่างยืดอกและพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจในหอกของตัวเอง

” งั้นถ้าข้าผิดในคำพูดที่พูดออกไปเมื่อกี้ก็… ”

” ใช่เจ้าจะตายแน่นอนแต่ข้าจะยั้งมือไว้ และเจ้าจะไม่มีคุณสมบัติที่จะฝึกกับข้า ” ไท่ซู่กลาวออกมาด้วยน้ำเสียงเถรตรง

อู้เฉียงได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ ถ้าพูดผิดคำพูดที่ตนพูดมาก็คือ ตาย และไม่ผ่านการทดสอบ อู้เฉียงพลางคิด เมื่อตอนที่กำลังจะถอยหนี มีเสียงนึงดังขึ้นแต่อู้เฉียงจำไม่ได้เลยไม่ได้ใส่ใจต่อ

” เอ่อ..นี้เจ้าหนูเจ้ามีอาจารย์ที่สอนเจ้าหรือไม่? ” ไท่ซู่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงคาดหวัง

” ยังเลยข้าไม่มีอาจารย์หรอก ไม่มีอาจารย์คนไหนรับข้าที่เป็นเพียงขยะหรอก ” อู้เฉียงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสลดเล็กน้อยใบหน้าเศร้าหมอง

” ผิดแล้ว เจ้าไม่ใช่ขยะ เจ้ามาเป็นลูกศิษยของข้า แล้วข้าจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งมากพอที่จะปกป้องคนที่เจ้ารักรวมถึงปกป้องนายน้อยด้วย ” ไท่ซู่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแฝงไปด้วยความอบอุ่นในคำพูด

” ลูกศิษย์ ? ” อู้เฉียงตกตะลึงกับการที่ไท่ซู่นั้นจะรับตนมาเป็นศิษย์ ทำให้ตัวมันเองนิ่งข้างเพราะตลอดมาไม่เคยมีใครเคยคิดที่จะสอนตัวมันเองด้วยซ้ำยกเว้นไป๋หลง แต่มาถึงตรงนี้ มีอสูรที่ ยอมรับคนอย่างมันเป็นศิษย์ แม้แต่มนุษย์ด้วยกันยังไม่มีเลย

” ว่าไงจะมาเป็นศิษย์ข้ารึเปล่าเจ้าหนู? ” ไท่ซู่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อู้เฉียงได้ยินเช่นนั้นก็ตอบรับคำในทันที

” ข้าอู้เฉียงขอคาราวะท่านอาจารย์ ” อู้เฉียงกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น พลางคุกเข่าลงเอาหัวลงพื้นทันที

“ลุกขึ้นเถิดศิษย์ข้า ” ไท่ซู่เห็นเช่นนั้นก็เข้าไปพยุงร่างของอู้เฉียงให้ลุกขึ้นทันที

” เอาล่ะศิษย์ข้าเรามาเริ่มการฝึกสอนกันเถอะ ข้าจะฝึกสอนเจ้าให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นเอง” ไท่ซู่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกล่าวขึ้นด้วยคสามภาคภูมิ

” ขอรับ..ท่านอาจารย์ ” อู้เฉียงกล่าวขานรับออกมาด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

ตัดมาทางด้ายไป๋หลงที่นั่งอยู่บนต้นไม้ไม่ห่างไกลมากนัก เห็นการณ์เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็รู้สึกยินดีกับอู้เฉียงที่มีไท่ซู่เป็นอาจารย์

” เฮ้อ..ดีจังน้าดูๆไปแล้วท่านไท่ซู่กับเป็นอาจารย์ที่ดีให้กับอู้เฉียงได้แน่นอน ข้าก็อยากจะมีอาจารย์ที่ดีแบบนี้บ้างจัง ” ไป๋หลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียดเหนื่อยหน่ายใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธเคือง

“บัดซบ!! ข้านี้ไงอาจารย์ของเจ้าเป็นเลิศในยุทธภพด้านกระบี่ ใครได้ข้าเป็นอาจารย์ ดีใจกันแทบตาย ส่วนเจ้า… ” เสียงของของจือ ที่ดังภายในหัวของไป๋หลงด้วยความไม่พอใจ

” ท่านทำอะไรบ้างล่ะ ข้าเห็นท่านเอาแต่เงียบข้าถามอะไรก็ไม่ยอมตอบทีข้าว่า พูดประชดนี้ท่านเถียงข้าทันทีเลยนะ ข้าล่ะเสียใจจริงๆ ที่มีอาจารย์ ไม่ได้เรื่อง เช่นนี้ อวดอ้างว่าตนเป็นหนึ่งด้านกระบี่แต่ไหนเลยจะสั่งสอนหรือสอนวิชาข้านอกจาก หมื่นกระบี่สยบเทวา เฮ้อข้าละเหนื่อยหน่ายใจจริงๆ ” ไป๋หลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายใจ ขงจือไดหังดังนั้นก็เดือดดาลขึ้นมาทันที

” พอ พอเลยก็ได้ข้าจะสอนเจ้า ข้าไม่ได้มีดีแค่กระบี่หรอกนะรู้ไว้ ” ขงจือกล่างออกมาด้วยความภาคภูมิ

” ชื่อของวิชานี้ก็คือ หมื่นขุนเขาสะเทือนปฐพี ” ขงจือกล่าวออกมาด้วยความภูมิใจในวิชาของตน แต่ไป๋หลงกับ งุน งง ว่ามันคือวิชาอะไร

” อาจารย์ มันคือวิชา อะไร?ข้าไม่ได้ยินมาก่อน ” ไป๋หลงกล่าวออกมาด้วยความงุนงง ก่อนจะโดนด่ากลับมา

” เจ้าศิษย์โง่ เฮ้อ…มันคือยอดวิชา ที่ข้าใช้เวลาหลายปีในการคิดค้นขึ้น ความสามารถวิชานี้ จะเพิ่มพลังของเจ้าเป็นเท่าตัว ยังไม่หมดแค่นั้นมันยังช่วยส่งเสริมวิชาอื่นๆของเจ้าอีกด้วย เป็นไงล่ะ ฮ่าๆๆ ” ขงจือกล่าวออกมาด้วยภาคภูมิและชอบใจ

” ฟังดูแล้วดีไม่น้อยเลยทีเดียว แล้วข้าจะฝึกมันยังไงล่ะ ” ไป๋หลงกล่าวถามแก่ขงจือ

” เจ้าก็แค่ตั้งสมาธิแล้วเนื้อหาในตำราเล่มนี้จะเข้าสู่สมองเจ้าโดยตรง ข้าไปล่ะ ถ้าไม่จำเป็นอย่าเเรียกข้าออกมาข้าขี้เกียจ มาฟังเจ้าบ่น ข้าไปล่ะ ” ขงจือ กล่าวจบ เสียงก็เงียบหายไปในทันที

” เฮ้อ..เอาเถอะอย่น้อยก็มีวิชาเพิ่มมาดีกว่าไม่มีเลยข้าต้องรีบฝึกแล้ว ถ้าข้าช้ามีหวังอู้เฉียงแซงข้าแน่ๆ ” ไป๋หลงกล่าวจบก็หายไปจากต้นไม้แล้วไปหาที่สงบๆฝึกวิชาทันที

ตัดมาทางอู้เฉียง

หลังจากที่ไท่ซู่ สอนกระบวนท่าต่างๆให้อู้เฉียงรวมถึงวิชาหอกด้วย ไท่ซู่ให้อู้เฉียงนั่งพักผ่อนก่อนแล้วค่อยฝึกต่อ ผ่านไปไม่นาน อู้เฉียงก็กล่าวขึ้น

” ท่านอาจารย์ ข้าพักเสร็จแล้วมาต่อกันเถอะข้าอยากแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ” อู้เฉียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงมี่แฝงไปด้วยความหนักแน่น ไท่ซู่เห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้มขึ้น

” ได้วิชานี้คือ วิชาที่มีพลังโจมตีรุนแรงถ้าไม่จำเป็นข้าแนะนำว่าอย่าใช้เพราะมันจะทำให้พลังของเจ้าหายไปเกือบหมดเป็นอันตรายต่อตัวเจ้าอย่างมาก ถ้าเจ้าจะใช้ข้าแนะนำว่าควรใช้ ในยามคับขัน แค่นี้แหละ ” ไท่ซู่ กล่าวออกมาด้วยความเป็นห่วงและอธิบายแบบรวบรัด

” ข้าทราบแล้วท่านอาจารย์ ” อู้เฉียงตอบรับด้วยความเข้าใจ

” ฟังไว้ให้ดี วิชานี้มีชื่อ หัตอสนีทะลายฟ้า!! ”

ตัดมาทางอู้หยาที่ตอนนี้นั่งทำงานเอกสารที่กองเป็นภูเขาใกล้ๆกับไป๋หยาง

” ท่านไป๋หยาง ทำไมงานเอกสารถึงเยอะถึงเพียงนี้ ” อู้หยากล่าวออกมาด้วยความสงสัย

” ข้าต้องปกครองเหล่าอสูรจำนวนมากในป่าแห่งนี้ก็ต้องมีเอกสารเยอะเป็นธรรมดา เจ้าจะสงสัยทำไม? ” ไป๋หยางกล่างออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

” เปล่า ข้าก็แค่คิดว่า มันเยอะกว่าปกติ ไม่ใช่ว่าท่าน เกียจคร้านแล้วไม่ได้ทำ ทำให้งานมันเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นเช่นนี้ ” อู้หยากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ให้ความเคารพและแฝงไปด้วยความสงสัย ไม่รู้เป็นเพราะอะไรอู้หยานั้นรู้สึกว่าตนไม่ได้เกรงกลัวเทพอสูรตรงหน้าแม้แต่น้อย คงเป็นเพราะนิสัยของไป๋หยางที่ไม่ได้ถือตน ทำให้พูดคุยได้ง่าย

” เหลวไหล!! เทพอสูรอย่างข้าเนี้ยหนะที่จะขี้เกียจ… ” ไป๋หยางกล่าวไม่ทันจบก็มีผู้อาวุโสที่เป็นที่ปรึกษาของไป๋หยางเข้ามา

“ท่านไป๋หยาง รีบจัดการเอกสารเหล่านี้ด้วยเมื่อครั้งก่อนท่านหนีงานไปนอนอยู่หลังคฤหาสน์ทำให้มีเอกสารที่ยังไม่ได้เซ็นหลงเหลืออยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวโปรดเร่งมือด้วยด้วย ” ผู้อาวุโสกล่าวออกมาด้วยความนอบน้อมก่อนจะรีบกลับไปทำหน้าที่ของตน

” ใครบอกว่าไม่เคยหนีงาน เป็นถึงเทพอสูรแท้ๆ แต่กลับโป้ปดชั่งน่าผิดหวัง ” อู้หยา กล่าวออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ

” เจ้า เจ้า กล้าว่าข้ารึ ” ไป๋หยางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคืองเล็กน้อย

” แล้วมันจริงไหมล่ะที่ท่านหนีงาน รีบทำให้เสร็จๆเถอะข้าจะได้ทำงานต่อหรือท่านจะให้ข้าบอกไป๋หลงว่าพ่อของตนหนีงานหนีไปนอนหลังคฤหาสน์ ข้าอยากจะรู้จริงๆว่าไป๋หลงจะมองท่านเช่นใด” อู้หยากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เมื่อไป๋หยางได้ยินเช่นนั้นถึงกับพูดไม่ออก จะให้ไป๋หลงรู้ไม่ได้ภาพลักษณ์ที่สะสมมา ก่อนที่ไป๋หยางจะอุทานว่า อู้หยาด้วยน้ำเสียง ไม่พอใจ

เจ้ามันปีศาจโดยแท้!!

จบ..

เทพมารตกสวรรค์

เทพมารตกสวรรค์

Status: Ongoing

ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ได้เกิดเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่สุด เทพและมารได้ตกหลุมรักกันเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้กันเฉพาะเบื้องบนเท่านั้น แต่ก็มีเบื้องล่างบางส่วนที่รู้เแต่ทั้งสองนั้นหาใช่เทพและมารทั่วไป ฝ่ายเทพคือ ราฟาเอล ซึ่ง ตกหลุมรักกับเทพมาร อัลบาร์ ซึ่งทั้งสองเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจ และมีชื่อเสียงอยู่มาก ในเรื่องความแข็งแกร่ง ทั้งสองได้ตกหลุมรักกัน และได้ให้กำเนิดบุตร แต่ ความรักของเทพและมาร เป็นเรื่องต้องห้าม เพราะ ทั้ง2ฝ่าย ต่าง เปรียบเสมือน แสง และความมืด ซึ่งมิอาจเป็นที่ยอมรับได้ เรื่องนี้รู้ถึงหูของ เทพสูงสุด จึงจำเป็นจะต้อง สะสางปัญหาเรื่องนี้ด้วยตัวเอง...

"ราฟาเอล เจ้าได้ทำผิดกฏของสวรรค์ และมิหนำซ้ำยังให้กำเนิดบุตร เห็นทีว่าข้าต้อง สังหารบุตรของเจ้าเพื่อไม่ให้เป็นที่ครหา "

เสียงพูดอันทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์ แต่ มิทำได้ให้ราฟาเอล หรือ เทพมารหวั่นแม้แต่น้อย ถึงแม้อยู่วงล้อมของกองทัพเทพ มากกว่าแสนตนก็ตาม

" เอาล่ะส่งตัวบุตรของพวกเจ้ามาข้าจะถือว่าข้าให้อภัยพวกเจ้าทั้งสองก็แล้วกัน"

เมื่อองค์เทพค์สูงสุดของเหล่าเทพพูดจบก็เกิดความเงียบเข้าครอบคลุมแต่ในขณะนั้นเองก็เกิดเสียงหัวเราะของเทพมารขึ้น ทำให้เหล่าเทพ หน้าขึ้นสีและจะเข้าไปจัดการเทพมารตนนั้นแต่ไม่มีคำสั่งขององค์เทพสูงสุด เลยได้แต่รอฟังคำสั่ง

"ฮ่าๆๆๆๆ!! ตลกสิ้นดี คิดว่าข้าจะส่งบุตรของพวกเราให้เจ้าอย่างงั้นรึ หึ!! ฝันไปเถอะ ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าจะลากพวกเจ้าไปด้วยให้จงได้"

เทพมารพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันสร้างความไม่พอใจกับเหล่าเทพอย่างมาก แต่ องค์เทพสูงสุดยังไม่ได้กล่าวอะไร

"เป็นเช่นนั้น ถึงแม้ข้าจะตายแต่ข้าจะลากพวกท่านทุกคนไปกับข้าด้วยถึงแม้ข้าจะตายก็ตามแต่....บุตรของพวกข้าต้องรอด ถึงแม้พวกท่านจะะเป็นเผ่าพันธุ์ เดียวกัน แต่ข้า ก็ไม่ยอมให้พวกท่านแตะต้องบุตรของข้าเป็นอันขาด!!! "

หลังจากราฟาเอลและเทพมารพูดจบก็หันหน้ามาหากันซึ้งในอ้อมแขนของเทพมาร อุ้มเด็กทารกหน้าตาน่ารัก ดวงตาที่ไร้เดียงสา เส้นผมที่ปลิวไสวตามสายลม ทั้งสองได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา สร้างความกดดันให้กับเหล่าเทพเป็นจำนวนมาก

ตู้มมม!!

หลังจากทั้งสองปลดปล่อยแรงกดดันออกมา ทำให้องค์เทพสูงสุดเริ่มขมวดคิ้วและเริ่มคิดบางอย่างในใจ

" ทั้งสองคงจะรักกันมากสิน่ะ ข้าเองก็ไม่อยากสู้กับเผ่าพันธ์ตัวเองด้วยสิ งั้นเอาเป็นแบบนี้ละกัน "

"ราฟาเอล และ เทพมาร พวกเจ้าคงจะรักกันมากสินะ เอาเป็นแบบนี้เป็นไง เรื่องบุตรของพวกเจ้าข้าจะไม่ยุ่ง แต่ ข้าจะผนึกพวกเจ้า ทั้งสองไว้ในมิติพิเศษ เป็นเวลา10000ปี หลังจากผ่านหนึ่งหมื่นไป พวกเจ้าทั้งสองจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของข้า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าในนามองค์เทพสูงสุด ขอปลด ราฟาเอล

ออกจาก การเป็นเผ่าเทพ ณ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ส่วนเจ้า เทพมาร!! ถ้าเจ้ารัก ราฟาเอลจงตัดปีกตัวเองออก1คู่ ข้าจะไม่ทำอันตรายต่อลูกของพวกเจ้า เป็นไงจะรับหรือไม่รับข้อเสนอของข้าล่ะ จงเลือกซะ"

หลังจากเทพสูงสุดกล่าวจบก็เกิดเสียงคัดค้านหลายเสียง...

" ท่านเทพสู- " เทพองค์นั้นกล่างยังไม่ทันจบก็ โดนเสียงอันทรงพลังกล่าวขึ้น

"เงียบบบบบ!!"

" นี้คือการตัดสินใจของข้าพวกเจ้าไม่มีสิทธ์ ในที่นี้มีใคร สู้ตัวต่อตัว กับ ราฟาเอลและเทพมารได้บ้างล่ะ ข้าขอพูดเลยว่าไม่มี พวกเขาทั้ง2 ทรงพลังเกินไป และอีกอย่าง ราฟาเอลเป็นพวกพูดจริงทำจริง จำที่นางพูดได้หรือไม่ ว่านางจะลากพวกเจ้าไปด้วยถึงให้ต้องตาย " หลังจากเทพสูงสุดพูดจบก็ไม่ใครกล่าวขีดขึ้นมาอีก ถึงจะมีเทพบางองค์เจ็บใจแต่ต้องยอมรับว่า ที่เทพสูงสุดพูดมานั้นเป็นเรื่องจริง

"ได้ ข้าขอรับข้อเสนอ นั้นข้าจะตัดปีกของข้าออก1คู่ หวังว่าเทพอย่างพวกเจ้าคงไม่ผิดคำพูด!!"

เทพมารพูดด้วยน้ำเสียงอันแสนจะเย็นชา การตัดปีกออกนั้น จะเป็นการตัดพลังไปด้วย ซึ่งเทพมารที่มีปีกถึง8 คู่ การที่เสียไป1คู่ ถือว่าเป็นการสูญเสียที่หนักหนาพอสมควร...

"ไม่นะอัลบาร์เจ้าจะทำแบบนั้นไม่ได้นะ!!!"

ราฟาเอลพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าและเสียใจ...

"ไม่เป็นไรหรอกยังไงต้นเหตุก็เกิดมาจากข้า แล้วอีกอย่างข้าก็ไม่อยากให้เจ้าสู้กับเผ่าพันธุ์ตัวเองด้วย"

ราฟาเอลกำลังจะพูดต่อ แต่เทพมารได้ตัดปีกตัวเองออก1คู่ ทำให้ความเจ็บปวดถาโถม เข้ามา แต่เทพมารไม่ส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่น้อย

"เอาล่ะข้าทำตามที่ท่านพูดไว้แล้ว หวังว่าท่านคงจะไม่ผิดคำพูดนะ!!!"

เทพมารพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนล้าเต็มทน...

"อืม...ข้าให้สัญญา"

หลังจากเทพสูงสุดให้คำสัณญาเขาก็ล้มตัวลงหมดสติเพราะการตัดปีกออกนั้น เหมือนกับตายทั้งเป็น

"อุแว้ๆ"

เสียงเด็กทารกร้องขึ้น ถึงแม้จะไร้เดียงสาแต่ความเป็นบุตรเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อบาดเจ็บก็ส่งเสียงร้องขึ้นมา ราฟาเอลเห็นภาพตรงหน้ารู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก นางเองก็ถือเป็นแม่คนนึง ราฟาเอลนางเดินเข้าไปใกล้ ลูกของตนซึ่งอยู่ในอ้อมอกของผู้เป็นพ่อ นางได้ทำการผนึกจิตวิญญาณส่วนนึงของนางไว้ในจิตของบุตร เมื่อถึงเวลา ผนึกจะคลายออกและจะได้เจอกับจิตวิญญาณ....ของนางที่นางได้หลงเหลือไว้ให้ และได้มอบอาวุธจิตวิณญาณของตนให้กับบุตร

เป็นดาบประจำดวงจิตวิณญาณของผู้ถือครอง...ไม่สามารถให้ใครใช้ได้ ยกเว้นจะได้รับการสืบทอดโดยตรงและได้รับการยิมยอมทั้ง2ฝ่าย!! ซึ่งบุตรของ ราฟาเอล และ อัลบาร์ นั้น เป็นกรณียกเว้นสามารถให้ได้โดยไม่ต้องผ่านการยินยอมจากอีกฝ่าย ซึ่งก่อนหน้านี้อัลบาร์ ได้มอบอาวุธจิตวิณญาณของตนให้กับบุตรไปแล้ว... ราฟาเอลอุ้มบุตรขึ้นมาและนำพลังส่วนหนึ่งมาห่อหุ้มร่างของบุตรตนและหายวับไปทันที ในตอนนี้บุตรของนาง ถูกส่งลงไปยังโลกเบื้องล่างแล้ว สร้างความตื่นตระหนกให้กับพวกเทพเหล่านี้เป็นอย่างมากเพราะกลัวว่าในอนาคต เด็กคนนี้จะนำภัยพิบัติมาให้...

"หลังจากผนึกพวกมัน2คนแล้วพวกเจ้านำกำลังคนของเราไป100 คนแล้วสังหารเด็กนั้นทิ้งซะในอนาคตมันอาจจะเป็นปัญหาต่อแผนการในอนาคตของท่านผู้นั้นได้"

เทพองค์นี้ รูปร่างสูงใหญ่กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เส้นผมสีน้ำตาล กล่าวด้วยน้ำเสียงเบาๆกับสหายของตนแทนที่จะใช้จิตคุยกันเพราะมันมั่นใจว่าไม่มีใครได้ยินแต่แล้วเหตุการณ์บางอย่างไม่เป็นดังที่คิดเมื่อมีน้ำเสียงดังขึ้นพร้อมปล่อยแรงกดดันระดับมหาเทพ ขั้นปลาย ออกมา ทำให้เทพองค์นั้นหน้าซีดเผือกเพราะมันที่อยู่ขั้นเทพนักรบไม่อาจต้านทานแรงกดดันของราฟาเอลที่ปล่อยออกมา

ตู้มมม!!

เสียงระเบิดพลังของราฟาเอลที่ปล่อยกลิ่นอายระดับมหาเทพออกมา พร้อมกับแรงกดดันที่มหาศาล

"เจ้าเมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรน่ะเจ้าจะสังหารบุตรของข้ายังงั้นเหรอ หึ!! ชั่งหาที่ตาย..ดีในเมื่อข้ายอมรับข้อเสนอแต่กลับมีพวกคิดไม่ซื่อกับลูกของข้า ข้าจะสังหารมันทิ้งซะ จงโผล่หัวออกมา หรือจะให้ข้าไปลากหัวเจ้าออกมา จงเลือกเอาซะ!!! "

ราฟาเอลตอนนี้พูดด้วยน้ำเสียง เย็นชา แฝงไปด้วยความโกรธแค้น จนยากจะควบคุม!!!

"ใจเย็นลงก่อน เรื่องนี้ข้าจัดการให้เมื่อครู่ข้ารู้เป็นเสียงผู้ใด เจ้าไม่ต้องลงมือหรอก ราฟาเอล บุตรแห่งข้า ข้าจะจัดการให้เพื่อเป็นการไถ่โทษที่มีพวกคิดไม่ซื่อ"

หลังจากองค์เทพสูงสุดพูดจบ ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งก่อนจะมีเสียงขึ้น...

" อะไรนะ ท่านราฟาเอลเป็นบุตรของท่านองค์เทพสูงสุดอย่างงั้นเหรอข้าไม่เคยรู้มาก่อนข้าอยู่มา1000ปีข้าพึ่งรู้เนี้ยแหละ"

เทพองค์นี้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงตกตะลึง

"ใช่ๆข้าก็พึ่งรู้เนี้ยแหละ !! " เสียงเทพองค์อื่นดังขึ้นเรื่อยๆพูดกันไปต่างๆนาๆ

"เงียบ!! "

องค์เทพสูงสุดพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

"เรื่องนี้ข้าไม่เคยบอกพวกเจ้าก็คงไม่รู้หรอก ว่าราฟาเอลเป็นบุตร สตรี เพียงคนเดียวของข้าเรื่องอื่นชั่งมันตอนนี้ข้าจะจัดการกับเทพนอกรีตที่แฝงตัวอยู่ในนี้ "

ตู้มมมม!!

เทพองค์ที่โดนจับได้ว่าเป็นคนพูดระเบิดพลังระดับเทพนักรบ เพื่อจะหนีไปให้ไกลแต่มีหรือระดับเทพนักรบจะเทียบเคียงกับระดับเทพสูงสุด มันโดนฝ่ามือของเทพค์สูงสุดซัดเข้าตรงที่หน้าอกอย่างจังจนตัวระเบิดออก เพียงแค่ใช้พลัง ไม่ถึง1ใน10 ก็จัดการกับเทพองค์นั้นลงได้อย่างง่ายดาย...

"เอาล่ะข้าจัดการมันให้แล้วเจ้าจงวางใจเถิด ราฟาเอลบุตรเพียงคนเดียวของข้า ตามกฏเจ้าต้องโดนผนึก10000ปี เจ้าถึงจะออกมาได้ เพราะฉะนั้นพ่อรักลูกนะราฟาเอล"

เมื่อองค์เทพสูงสุดกล่าวจบราฟาเอลก็คลายพลังลงและส่งยิ้มให้ผู้เป็นพ่อก่อนจะกล่าวตอบกลับไปว่า

"ข้าขอโทษที่เป็นบุตรที่แย่ ให้กับท่าน ฝากท่านช่วยเฝ้ามองบุตรของข้าแทนข้าด้วย"

ราฟาเอลพูดจบก็มีแสงสีเหลืองส่องลวมาที่ร่างของราฟาเอลและอัลบ่ร์ ที่หมดสติอยู่แล้วทั้ง2ก็หายไปอยู่ในห้องมิติที่โดนผนึก จนกว่าจะครบ10000ปี

"แล้วค่อยกลับมาเจอกันใหม่นะบุตรเพียงคนเดียวของข้า"

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแฝงไปด้วยความเศร้าและเสียใจเป็นอย่างมากที่ต้องผนึกบุตรของตัวเอง...

"หึมันยังไม่จบเพียงเท่านี้หรอก ดินแดนแห่งนี้จักต้องล่มสลาย!! "

เมื่อกล่าวจบ เงาสีดำที่แอบมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ ก็หายไปทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า..สาเหตุที่มกาเทพสูงสุดมิอาจจับการเคลื่อนไหวได้เพราะมันเป็นเพียงร่างที่สร้างขึ้นเท่านั้นไร้ซึ่งจิตวิญญาณ...

ระดับพลัง

นักรบแรกเริ่ม 1-9

นักรบจิตวิณญาณ 1-9

นักรบหลอมรวม 1-9

นักรบที่แท้จริง 1-9

ราชันนักรบ 1-9

ราชันนักรบที่แท้จริง 1-9

จักรพรรดิ 1-9

จักรพรรดิที่แท้จริง 1-9

เทพนักรบ 1-9

เทพสงคราม 1-9

มหาเทพ 1-9

เทพสูงสุด(พระเจ้า)

ระดับพลัง สัตว์อสูร

อสูรระดับแรกเริ่ม 1-9

อสูรระดับจิตวิณญาณ 1-9

อสูรระดับหลอมรวม 1-9

อสูรที่แท้จริง 1-9

ราชันอสูร 1-9

ราชันอสูรที่แท้จริง 1-9

จักรพรรดิ 1-9

จักรพรรดิที่แท้จริง 1-9

เทพอสูร 1-9

มหาเทพอสูร 1-9

เทพอสูรสูงสุด (ผู้ปกครองเหล่าอสูรทั้งปวง)

เงินตรา

1000เหรียญทองแดง = 1เหรียญเงิน

1000เหรียญเงิน = 1เหรียญทอง

1000เหรียญทอง = 1เหรียญเพชร

ระดับอาวุธ

อาวุธจะแบ่งออกเป็น2ประเภท ประเภทแรก 1.อาวุธที่หาได้จากการสังหารสัตว์อสูร

และหาซื้อทั่วไปหรือได้จากงานประมูล

ประเภทที่สอง อาวุธจิตวิณญาณ เป็นอาวุธที่อยู่ในจิตใจของแต่ละคน แต่ละคนสามารถมีได้เพียงหนึ่งเดียว ยกเว้น สายเลือดผสม

อาวุธประเภทแรก

อาวุธระดับ 1 ดาว (ชาวบ้าน)

อาวุธระดับ 2 ดาว (นักรบฝึกหัด)

อาวุธระดับ 3 ดาว ( นักรบ)

อาวุธระดับ 4 ดาว ( พาลาดิน)

อาวุธระดับ 5 ดาว (ราชา)

อาวุธระดับ 6 ดาว (ราชัน)

อาวุธระดับ 7 ดาว (มายา)

อาวุธระดับ 8 ดาว (ตำนาน)

อาวุธระดับ 9 ดาว (เทวะ)

อาวุธประเภทที่ 2 ศาสตร์ตราจิตวิณญาณ เป็นอาวุธที่อยู่ในจิตของผู้ครอบครอง มีพลังมหาศาลกว่า อาวุธประเภทแรก เป็นอย่างมาก ข้อเสียก็คือพลังจะลดลงอย่างลวดเร็วแรกกับพลังมหาศาลที่ได้รับ ระดับยิ่งสูงยากต่อการควบคุมในการใช้แต่ละครั้ง

ศาสตร์ตราจิตวิณญาณ ระดับ ชาวบ้าน

ศาสตร์ตราจิตวิณญาณ ระดับ นักรบฝึกหัด

ศาสตร์ตราจิตวิณญาณ ระดับ นักรบ

ศาสตร์ตราจิตวิณญาณ ระดับ พาลาดิน

ศาสตร์ตราจิตวิณญาณ ระดับ ราชา

ศาสตร์ตราจิตวิณญาณ ระดับ ราชัน

ศาสตร์ตราจิตวิณญาณ ระดับ มายา

ศาสตร์ตราจิตวิณญาณ ระดับ ตำนาน

ศาสตร์ตราจิตวิณญาณ ระดับ เทวะ

* ศาสตร์ตราวิณญาณต้องใช้เวลาในการฝึกฝนเป็นอย่างมาก หาผู้ใช้ได้น้อยมากในแต่ละทวีป

ทวีป

ทวีป จรัสแสง (เป็นที่ตั้งของเผ่าพันธ์มนุษย์)

ทวีป ปักษา

ทวีป อสูร

ทวีป มืด

ทวีป สีชาด

ทวีป มังกร

ทวีป หงส์สา

เผ่าพันธ์

มนุษย์

เทพ

มาร

มังกร

เอล์

อสูร

ระดับโอสถ

ความบริสุทธิ์จะมี1-10ส่วน 5ในส่วน10 จะถือว่า ระดับ ต่ำ 6ในส่วน10 ระดับกลาง 7 ส่วนขึ้นไปถือว่าระดับสูง

โอสถระดับ ต่ำ (สีเทา)

โอสถระดับ กลาง (สีเขียว)

โอสถระดับ สูง (สีเหลือง)

โอสถระดับ ราชัน (สีขาว)

โอสถระดับ จักพรรดิ (สีม่วง)

โอสถระดับ ตำนาน (สีทอง)

โอสถระดับ มายา (สีแดง)

โอสถระดับ เทวะ (สีรุ้ง)

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท