บทที่161 เธอท้องแล้ว
เธอไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่จ้องมาที่ผมอย่างไม่ละสายตา
ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน ได้เพียงหันส่งสายมองเธออย่างสนใจเท่านั้น นัยน์ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนดุจดั่งสายธารน้ำ
จ้องตากันสักพัก จากนั้นเธอก็เริ่มเคลื่อนไหวจากการที่นั่งนิ่งเงียบ เปลี่ยนเป็นดั่งกระต่ายที่วิ่งอย่างรวดเร็ว แล้วเข้ามาผลักผมให้ลงไปนอนบนโซฟา พร้อมกับจู่โจมจูบผมอย่างร้อนแรง ความต้องการอย่างบ้าคลั่ง ทุกการจูบนั้นรุนแรงมาก
ณ เวลานั้นผมก็มีภาพลวงตาขึ้น ผมคิดว่าผมเป็นถังเซิง เพราะว่าเธออยากจะกลืนกินผมไปทั้งตัว
การจู่โจมของเธอนั้น แน่นอนว่านั่นมันไม่ใช่สไตล์ของผม ดังนั้นการจูบที่ร้อนแรงช่วงสั้นๆก็หยุดลงทันที ผมจึงผลักเธอลงนอนกับเตียง จากนั้นก็เริ่มถอดเสื้อของเธอ เผยให้เห็นส่วนนั้นที่ไม่ค่อยจะอวบอิ่มเท่าไหร่ แต่กลับกระจุ๋มกระจิ๋ม ค่อนข้างเล็ก กลับมีรสชาติอ่อนนุ่มละเอียดไม่เหมือนใคร
เธอไม่ได้ต่อต้านอะไร ดังนั้นผมเลยช่วงชิงจังหวะนั้นจู่โจมจูบและหยอกเย้าเหมือนกับฟ้าฝนพายุซัดกระหน่ำเธอ
น้ำเสียงของเธอนั้นทำให้ผมเคลิบเคลิ้มมาก โดยเฉพาะขณะที่ครางด้วยน้ำเสียงกังวาลใส เต็มไปด้วยความเย้ายวนน่าหลงใหล ราวกับเหมือนเสียงนักแสดงหญิงในละครที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การแสดง
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างช้าๆ ในระหว่างการจูบอันร้อนแรงนั้น มือทั้งสองของผมก็ค่อยๆหยอกล้อลูบไล้ไปบนเรียวขาอันนุ่มนวลคู่นั้นของเธอ
เรียวขานั้นผอมบางมาก ถึงขั้นที่ผมยังสามารถลูบสัมผัสได้ถึงเนินกระดูกที่ถูกซ่อนไว้ เนินนั้นเต็มไปด้วยความสวยงามอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นทำให้ผมลองเดาได้เลยว่า ถ้าเกิดผมทำกับเธอรุนแรงเกินไป มันจะสามารถไปกระทบกระดูกเชิงกรานขาอ่อนด้านล่างของเธอได้หรือเปล่านะ
ขณะที่ผมเตรียมตัวที่จะใช้มือลูบไล้ไปทั่วเพื่อปลุกอารมณ์อันร้อนแรงของเธอ มือเล็กที่บอบบางคู่นั้นของเธอก็ได้มาเกาะกุมมือของผมไว้แล้ว
“พวกเราแค่พูดคุยความรู้สึกกันเท่านั้น ไม่ทำเรื่องอย่างว่า ได้ไหม?”
คำพูดของเธอ ทำให้ผมรู้สึกว่าเธอนั้นค่อนข้างน่ารักเลยทีเดียว
ไม่เคยได้ยินผู้หญิงคนไหนที่มาซื้อบริการเพื่อที่จะพูดคุยความรู้สึกกัน แต่ลูกค้านั้นคือพระเจ้า พระเจ้าต้องการร่วมรักก็จะร่วมรัก อยากพูดคุยปลดทุกข์ก็ทำแค่พูดคุย ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ต้องใส่ใจอะไรมากมาย
ปล่อยมือ จูบเบาๆที่ริมฝีปากแดงของเธอ จากนั้นก็กอดเธอไว้ในอ้อมแขนของผม
เธออิงแอบในอ้อมแขนของผมอย่างเงียบๆ น่ารักเหมือนกับนกน้อยที่เกาะอยู่บนไหล่ของใครสักคน เติมเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
“คุณช่วยฉันปิดเพลงที่น่ารำคาญให้หน่อย ฉันอยากฟังเพลงที่มันนุ่มนวล”
เพลงในห้องส่วนตัวนั้นเป็นเพลงเดียวกับที่เปิดในห้องโถง ทั้งหมดเพื่อเติมเต็มความดื้อรั้นอยากทำลายล้าง มันง่ายต่อการปลุกเร้าอารมณ์ในใจด้วยเพลงHeavy metals
แต่ถ้าเธอไม่ชอบฟังก็ไม่ต้องฝืนฟัง เพราะว่าในห้องนั้นมีอุปกรณ์เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นโปรเจคเตอร์ คอมพิวเตอร์ มองดูแล้วที่นี่ก็เหมือนกับห้องคาราโอเกะห้องหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงพวกเขาไม่ใช้มันฟังเพลง แต่จะใช้เพื่อฉายหนัง เผื่อลูกค้าคนไหนต้องการดูเพิ่มความสนุก
“ฉันอยากฟังเพลงอารมณ์ช้าๆฟังสบายๆ เพราะว่าฉันกำลังท้องอยู่ ฉันเลยอยากฟังเพลงสงบๆหน่อย”
“อ่อ อย่างงั้นได้เลย เดี๋ยวผมช่วยเปลี่ยนเพลงให้”
ผมปิดเพลงที่มันต่อกับด้านนอก แล้วเริ่มใช้แค่ระบบภายในห้องเปิดเพลง เป็นเพลงที่บรรเลงด้วยเปียโน พอฟังก็จะรู้สึกอบอุ่น
เพียงแต่ ผมเพิ่งตั้งสติได้ขึ้นมา เธอพูดว่าเธอกำลังท้องอยู่!
ท้องแล้วยังมาในที่แบบนี้ได้อย่างไร?แล้วเมื่อกี้อีกนิดเดียวผมก็เกือบเกินเลยเธอไปแล้ว?!
“คุณ… ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว คุณไม่ควรมาที่นี่นะ?”
“ไม่มีอะไรที่ไม่สมควรหรอกคุณ รอฉันพูดระบายความรู้สึกกับคุณเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นพวกเราก็นอนด้วยกัน คุณมีอะไรกับฉันหลายครั้งหน่อย ลูกของฉันก็จะหลุดออกไปแล้ว”
นี่มันบ้าไปแล้วว….
แต่ผมลองคิดดูแล้ว ในเบื้องหลังของทุกความบ้านั้น ต้องมีเรื่องอะไรที่ทำให้เธอคลั่งได้ขนาดนี้
ดังนั้น ผมจึงอยากฟังเรื่องราวของเธอ
“ดื่ม ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
นี่เป็นคำตอบที่เธอให้ผม แสดงให้เห็นว่า เธอไม่อยากเล่าเรื่องราวของเธอให้ฟัง หรือจะพูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือ เธอคิดว่าผมยังไม่คู่ควรพอที่จะฟังเรื่องของเธอ
ดังนั้น ผมจึงอยู่เป็นเพื่อนดื่มเหล้ากับเธอ อีกแก้วต่ออีกแก้ว
เธอดื่มไปเยอะพอสมควร ผมจึงพูดแนะนำให้เธอดื่มน้อยๆหน่อย เพื่อเด็กในท้องเท่านั้นเอง
จากนั้น เธอจึงยอมวางแก้วลง แล้วตรงไปหยิบขวดเหล้า ‘พลั่ก พลั่ก’ ราดลงไปที่ท้อง
ผมพยายามคว้าขวดเหล้าจากเธออยู่หลายครั้ง แล้วเธอก็พูดกับผมด้วยประโยคซ้ำๆ
“เจี้ยนเฟิง ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่น่าเดินออกมาจากชีวิตเธอตั้งแต่แรก ฉันผิดไปแล้ว……”
เวลาผ่านไปสักพัก ในที่สุดเธอก็หยุดดื่มเหล้า ไม่ได้เป็นเพราะว่าผมพูดโน้มน้าวเธอ แต่เป็นเพราะเธอดื่มเหล้าจนหมดสติล้มตัวลงนอนไปเอง แต่ตำแหน่งนั้นค่อนข้างยั่วยวนเสียเหลือเกิน ปากเล็กๆของเธอที่ฟุบลงมาระหว่างขาของผมพอดิบพอดี
เนื่องจากเมื่อคืนและเมื่อเช้าเรื่องของกู้ฟางเฟยเป็นสาเหตุ ทำให้อารมณ์ของผมคุกรุ่นอยู่มาก ผมอยากจะฉวยโอกาสที่เธอเมาใช้ปากช่วยผม ซึ่งแน่นอนถ้าทำแบบนั้นจะไม่มีผลอันตรายต่อเด็กในท้องอย่างแน่นอน
แต่เรื่องจริงแล้วผมก็ไม่ได้ทำอย่างที่คิด เพราะผมกลัวว่าเธอจะอ้วกใส่กางเกงผม
ทันใดนั้นก็เกิดฉากน้ำมันที่พุ่งออกมาจากบ่อนั้นขึ้นมา ยืนยันได้ว่าผมนั้นรอบรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
เธออ้วกเละเต็มไปทั่วทั้งห้อง ถึงแม้ว่าผมจะหยิบถังขยะมาให้เธอรองแล้วก็ตาม แต่เธอก็กลับไม่อ้วกในถังขยะเลย ถังขยะกลับกลายเป็นที่สะอาดที่สุดแล้วในห้องนี้
ทำอะไรไม่ได้ ผมทำได้แค่ช่วยเช็ดปากเธอ แล้วก็เทน้ำอุ่นบังคับให้เธอจิบ แล้วก็ไปหยิบผ้าขี้ริ้วจากห้องน้ำมา ทำความสะอาดเช็ดเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย
ทันทีหลังจากนั้น ผมก็ล้มตัวลงนอนลงบนโซฟา โดยที่เธอก็นอนเมาอยู่ข้างๆของผม
ลูบไล้ไปที่ผมยาวของเธอเบาๆ เล่นกับใบหูของเธออย่างอ่อนโยน ตั้งใจมองดูเธอดีๆแล้ว ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอนั้นสวยมาก แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้หญิงสวยคนแรกที่ผมเจอ แต่เธอก็มีเสน่ห์มากเช่นกัน
ถ้าเกิดว่าเธอไม่มีเด็กในท้องละก็ ผมคิดว่า ไม่แน่ว่าจะฉวยโอกาสตอนที่เธอเมาถอดกางเกงเธอ กางเรียวขาคู่นั้นออก นั่นก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน
หยุดคิดเรื่องฟุ้งซ่านพวกนั้น ผมก็ปิดตาลง ค่อยๆหลับ
ตอนที่ผมตื่นมานั้น ก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว
ตอนนี้เหมือนว่าเธอก็เพิ่งจะตื่นเช่นกัน แต่ยังมีอาการเมาค้างอยู่นิดหน่อย แต่ก็ดูเหมือนไม่เมาเท่ากับแต่ก่อน
“ขอบคุณนะคะ ที่ไม่ฉวยโอกาสทำอะไรไม่ดีตอนที่ฉันหลับ ”
ผมคิดว่านี่มันเป็นเรื่องปกตินะ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาขอบคุณ แต่ว่าเธอยังคงขอบคุณผมอย่างมีมารยาท
ในที่สุด หลังจากที่ชำระเงินค่าเปิดเหล้าแล้วเรียบร้อย เธอยังเอาเงินหนึ่งพันหยวนยื่นให้กับผม แล้วบอกว่านี่คือค่าตอบแทนเล็กๆน้อยๆ
เธอกลับแล้ว ผมถามเธอว่าให้ผมไปส่งไหม เธอยิ้มตอบ
“ถ้าสามีฉันเห็นว่ามีผู้ชายมาส่งที่บ้าน คุณคิดว่าคุณหรือฉันที่จะโดนจัดการก่อนกันแน่?”
ผมเข้าใจความหมายของเธอ
จากนั้น เธอก็สวมหมวกแล้วใส่แว่น ใส่หน้ากากปิดปาก แล้วถือประเป๋าหนังเดินจากไป
ออกจากห้อง จากนั้นเจี้ยเสินก็เดินพุ่งตรงมาข้างหน้าอย่างหันหัน แล้วก็หยิบเงินหนึ่งพันหยวนจากกระเป๋าเสื้อผมออกมา แล้วมองดูอย่างละเอียดอีกครั้ง จากนั้นก็ตะโกนออกมา
“ว้าวว หนึ่งพันหยวน ค่าตอบแทนหนึ่งพันหยวน ฉันก็ว่าทำไมนายถึงไม่เลือกอะไรเลย ที่แท้รอลูกค้ารายใหญ่นี่เอง
ขณะที่เขากำลังตะโกนอยู่นั้น ผมมองเห็นได้อย่างชัดเจนทีเดียว ว่าพนักงานที่อยู่กับผมช่วงบ่ายพวกนั้นค่อนข้างเกิดความเสียใจ เสียใจที่พวกเขาในเวลานั้นถอยหลังไปคนละก้าว
เจี้ยเสินนำเงินกลับไปไว้ในกระเป๋าเสื้อของผม จากนั้นก็มาตบไหล่ผม ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“พี่เฟิง นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว พี่ก็ได้โชคนิดหน่อยแล้ว ถ้างั้น….พาเจี้ยเสินน้องชายคนนี้ของพี่ไปเลี้ยงข้าวสักมื้อ”
กินข้าวนั้นไม่ได้อะไร จริงๆก็อยากกินอยู่แล้ว แต่ว่ากินของนายเจี้ยเสินนี่คือ กินเท่าไหร่กัน?
แต่พิสูจน์แล้วว่าผมคิดผิด คิดผิดไปไกลมาก
เจี้ยเสินไม่ใช่แค่ไปกินข้าวคนเดียว แถมยังร้อนรนไปเร่งแฟนของเขามากินข้าวด้วย
“อืมอืม เอาตะพาบมาหนึ่งตัว กุ้ง กุ้ง ใหญ่ไม่มีแล้ว?งั้นก็จานเล็กก็พอ ขอเยอะหน่อยนะ มีเงิน แล้วก็แล้วก็เอาอันนี้ เรียกชื่อไม่ถูก อ่าใช่ๆ ที่ราคาสามร้อยหยวนต่อชุด เอามาสองชุด หลิงหลิง เธออยากกินอะไร รีบสั่งเร็ว…..”
เจี้ยเสินใจกว้างมาก เขาทำเหมือนผมเป็นแพะอ้วนๆ ฆ่าเอามาขาย นี่ช่างดีจริงๆ
ดังนั้น เขาเองก็ควรจะโดนฆ่าเหมือนกันถึงจะถูก