จี้หลินในตอนนี้ บนใบหน้าอันมีเสน่ห์ของเธอระเรื่อไปด้วยสีแดงสดดังกลีบกุหลาบอันเย้ายวน สีแดงที่ว่านั้นคือสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงความปรารถนา และเสียงออดอ้อนที่พรั่งพรูออกมาจากเรียวปากอันเซ็กซี่นั้น เต็มไปด้วยความต้องการโหยหาในความรัก
ระยะห่างจากร่างกายที่เร้าอารมณ์ที่เธอได้ครอบครองอยู่นั้น ห่างเพียงแค่ก้าวถัดไป
แต่ในขณะที่ผมกำลังจะปลดเปลื้องเข็มขัดที่ถูกรัดเอาไว้ ทันใดนั้น ประตูห้องก็ได้ถูกถีบและเปิดออก ท่าที่ผมกำลังจะเปลื้องเข็มขัดก็กลับกลายเป็นต้องรูดซิปขึ้นในทันที
เพียงชั่วพริบตา ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสามนายพุ่งพรวดเข้ามาและตะโกนใส่ผมอย่างดุดันจับหัวผมให้นั่งยองๆชิดกับผนังห้อง
ซึ่งแน่นอนว่า จี้หลินที่นอนอยู่บนโซฟานั้นก็ไม่รอดไปด้วย
เดาได้เลยว่าตอนนี้หัวใจของเธอคงแหลกสลาย เดินทางมาไกลเป็นหมื่นหลี้เพื่อจะได้ร่วมรักกับผมถึงขนาดว่าตามมาถึงสถานที่แบบนี้ แต่ในสุดท้ายดันถูกตำรวจจับ โชคดีที่เขาไม่ถูกจับเข้าไปเลย
แต่ผมมีความรู้สึกประหลาดใจในบางเรื่อง ว่ากันตามความเป็นจริงสถานที่แบบนี้คงทำข้อตกลงกับทางรัฐไว้แล้วตั้งแต่แรก ทำไมอยู่ดีๆถึงถูกบุกห้องเข้าตรวจสอบแบบนี้ละ?
“ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นอะไรแน่นอน”
เมื่อเห็นจี้หลินที่นั่งยองๆอยู่ข้างผมเองก็ถูกคนขู่เช่นกัน ดังนั้นผมจึงปลอบโยนเธอ
ใบหน้าเรียวเล็กอันสวยงามของจี้หลินดูเป็นกังวลเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำปลอบของผม สีหน้าจึงดีขึ้นมาบ้าง
“คุณยังปกป้องตัวเองไม่ได้เลย ยังมีกะจิตกะใจมาปลอบคนอื่นอีก หุบปาก ห้ามพูดอีก”
หลังจากถูกตำหนิไปหลายประโยค ผมก็เบะปากและไม่มีคำพูดเล็ดลอดออกจากปากผมอีก
ในไม่ช้า การตรวจค้นก็สิ้นสุดลง นอกจากคู่ของผมกับจี้หลินภายในห้องรับรองส่วนตัวยังพบคู่รักอีกสามคู่ หลังจากนั้นทั้งหมดก็ถูกนำตัวไปขึ้นรถตำรวจ
ไม่รู้ว่าเป็นสำนักงานใหญ่หรือสำนักย่อยหรือสถานีตำรวจท้องที่ ระหว่างทางไม่อนุญาตให้เงยหน้าขึ้นมามองทางเลย มีน้องชายคนหนึ่งที่ถูกจับมาพร้อมกันเตรียมจะเงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นเขาก็ถูกตบบริเวณหลังศีรษะอย่างรุนแรง
หลังจากลงจากรถก็ถูกนำตัวไปยังห้องสอบสวนสามห้อง ผมและจี้หลินเป็น “ผู้ต้องหาร่วม” ซึ่งเป็นปกติที่จะอยู่ในห้องสอบสวนหนึ่งห้อง
ภายในรั้วเหล็กนั้น มีเก้าอี้สองตัวที่แนบสนิทติดอยู่กับพื้นที่เตรียมสำหรับผมกับจี้หลินไว้คนละตัว
หลังจากที่ถามชื่อนามสกุล อายุ เพศ ที่อยู่อาศัยต่างๆเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เริ่มกระบวนการสอบสวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
“คุณบอกว่าพวกคุณไม่ได้ทำอะไรเลย มีอะไรเป็นหลักฐาน?”
ตอนที่ผมพูดว่าพวกเราไม่ได้ทำอะไร ตำรวจที่รับผิดชอบสอบสวนคดีไม่เชื่อคำกล่าว
ผมจึงชี้ไปที่ถุงน่องบนขาของจี้หลินที่อยู่ด้านข้าง “นี่คือหลักฐาน ถ้ามีการทำอะไรกันเกิดขึ้นจริงๆ ถุงน่องนี้ต้องถูกถอดออกตั้งนานแล้ว”
“จริงจังหน่อย นี่มันเป็นแค่หลักฐานที่บอกว่าพวกคุณไม่ทันจะได้ทำมันต่างหาก!”
“ผมจริงจังมาตลอดนะ แต่ผมบอกได้แค่ว่า พวกเราไม่ได้ทำอะไรกันเลย เพียงแค่พูดคุยเรื่องราวของเราก็เท่านั้น”
กัดฟันยืนยันเรื่องนี้ จะเป็นจะตายยังไงผมก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ เพราะเราไม่ได้ทำอะไรกันจริงๆ……
เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่ยอมอ่อนข้อของผม ตำรวจก็สั่งให้ผมหุบปาก เริ่มสอบสวนจี้หลินแทน
จี้หลินรู้สึกกลัวอย่างเห็นได้ชัด ร้องไห้สะอึกสะอื้น ร่างกายสั่นกลัวไปหมด
“ห้ามร้อง จะร้องทำไม!”
ตำรวจทำเสียงตำหนิดุดัน จากนั้นจี้หลินก็ร้องไห้ออกมาอย่างรุนแรงมากขึ้น ทำให้กระบวนการสอบสวนไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
ตำรวจเองก็ทำอะไรไม่ถูก หลังจากปลอบโยน จี้หลินจึงหยุดร้องไห้ และเริ่มร่วมมือให้คำสอบสวนแก่ตำรวจ
“พูดมาสิคนอย่างคุณนะ เป็นนักศึกษาอยู่ดีๆ ไปมั่วสุมในสถานที่แบบนั้น นั่นคือที่ที่คุณควรไปเหรอ?!”
การตำหนิดุดันซึ่งๆหน้าของตำรวจ ทำให้จี้หลินรู้สึกเสียใจและพูดออกไปว่า “เขาเป็นเพื่อนของฉัน ดังนั้นฉันแค่จะไปหาเขา ไม่ได้มีอะไรอื่นเลย”
“ถ้าเขาทำงานที่เมรุ คุณยังก็จะไปหาเขาที่เมรุอยู่มั้ยละ?”
การตำหนิดุดันของตำรวจ ทำให้จี้หลินพูดไม่ออก
หลังจากสิ้นสุดการสอบสวน ตำรวจที่รับผิดสอบการสอบสวนได้เดินจากไป ในห้องเหลือเพียงแค่ผมกับจี้หลินสองคน โดยไม่ต้องกังวลว่าเราจะมีทางหนีได้เลยเพราะถูกขังในรั้วเหล็กนี่ยังถูกล็อกไว้กับเก้าอี้อย่างแน่นหนา
“เฉินเฟิง เราคงไม่ถูกกักขังอยู่ที่นี่ใช่ไหม ฉันยังเป็นนักศึกษา ถ้าเรื่องนี้เกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ…”
“คิดอะไรนะ ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก แต่ถึงเกิดขึ้นมาจริงๆผมมั่นใจว่าผมปกป้องคุณได้”
จี้หลินแสดงออกได้อย่างชัดเจนว่าไม่รู้ว่าผมเอาความมั่นใจนี่มาจากไหน แต่ผมรู้ และผมกล้ารับประกัน ว่าความมั่นใจที่ว่าของผมกำลังจะเดินทางมาที่นี่แล้ว
แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นพิสูจน์ได้ว่าผมคิดผิด ความมั่นใจของผมไม่ใช่กำลังเดินทางมาที่นี่ เพราะเธอถึงเรียบร้อยแล้ว
สิบกว่านาทีหลังจากนั้น ประตูห้องได้ถูกเปิดออก มีตำรวจเข้ามา ปลดล็อกกุญแจของพวกเราออก จากนั้นนำตัวไปยังสำนักงาน ในสำนักงาน ผมได้เห็นร่างของความมั่นใจนั้นในชุดสูทสีขาว จางหงหวู่
“หัวหน้าหลิว รบกวนคุณแล้ว”
“ไม่เป็นไร เราดำเนินการตามกฎหมายเท่านั้น มีคนแจ้งเบาะแสมาพวกเราต้องส่งตำรวจไปตรวจดูอยู่แล้ว ผู้แจ้งเบาะแสยังได้รายงานรายชื่อผู้เสพยา ตามความเข้าใจของผู้ดูแลคดีนี้ สองคนนี้เป็นแค่เพื่อนทั่วไปที่นัดเจอกันเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นความเข้าใจผิด หวังว่าประธานจางจะไม่ถือสาเรื่องนี้”
จางหงหวู่ยิ้มและพูดอย่างสุภาพอยู่หลายประโยค จากนั้นหัวหน้าหลิวคนนั้นก็ให้ผมและจี้หลินเซ็นลงนามบนใบบันทึกการสอบสวน และถูกนำตัวออกจากสำนักงานย่อย
จางหงหวู่เดินอยู่ข้างหน้า จี้หลินที่เดินอยู่ข้างหลังสะกิดผม
ผมหันหลัง เธอกระซิบถามผมเบาๆ“นี่คือเจ้านายของพวกคุณเหรอ รังสีออร่าเธอช่างดูทรงอำนาจมาก ดูทรงอำนาจกว่าหยู่ถิงซะอีก”
“นี่คือภรรยาในอนาคตของผม”
จี้หลินตกตะลึงอีกครั้ง เธอมองไปยังจางหงหวู่ และก็กลับมามองผม “คุณหลอกฉันเหรอ?”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบกลับไป จางหงหวู่ที่เดินอยู่ข้างหน้าก็หยุดการก้าวเดินนั้น และหันกลับมาพูดว่า “เขาไม่ได้หลอกคุณ ฉันคือผู้หญิงของเขา”
จี้หลินรู้สึกอายเล็กน้อย “พี่สะใภ้ พวกเราไม่ได้ทำอะไรกันจริงๆ พวกเรา….”
จางหงหวู่กระตุกยิ้ม ไม่พูดอะไร และเดินต่อไป
จี้หลินกระซิบถามผมจากด้านหลัง “เฉินเฟิง ตกลงคุณมีผู้หญิงกี่คนกันแน่ เธอรู้เรื่องทั้งหมดไหม?”
ผมมองจี้หลินด้วยสายตาว่างเปล่า “ไร้สาระ เธอต้องรู้อย่างแน่นอนละ เป็นฮองเฮาของวัง เธอจะไม่รู้ได้ยังไง?”
“ผู้ชายขายบริการแบบคุณนี่มีวังหลังกันหมดเลยเหรอ?”
“ฟังจากที่คุณพูดแบบนี้นี่ ความหมายคือคุณกำลังดูถูกอาชีพของผม หรือกำลังดูถูกวังหลังของผมกันแน่?”
พูดติดตลกและเดินออกจากประตูใหญ่ของสำนักงานย่อยนี้ไป เมื่อผมกำลังจะเข้าไปในรถของจางหงหวู่ ทันใดนั้นก็มองไปเห็นคนที่คุ้นเคย
ก็ไม่ถือว่าเป็นคนคุ้นเคยหรอก เพียงแค่ถือเป็นโชคชะตาที่ทำให้เจอหน้ากันเพียงครั้งหนึ่ง เคยอยู่ด้วยกันในห้องส่วนตัวที่หมอชิ่ง นั่นคือสาวสวยที่จัดอันดับอยู่แถวแรก ตั้งท้องแล้วยังอยากจะให้ผมร่วมกับเธอสักหลายรอบเพื่อช่วยให้เธอแท้ง
ในตอนนี้ เธอกำลังคบอยู่กับตำรวจท่านนี้
“พี่สะใภ้ เดินทางดีๆนะ!”
ไม่เพียงแค่ตำรวจท่านนั้นที่คอยส่งเธอขึ้นรถพูดแบบนี้ แม้แต่คนรอบข้างที่เห็นเธอต่างก็พากันกล่าวคำทักทายอำลา
“พี่สะใภ้ เดินทางดีๆนะ!”
“พี่สะใภ้ลาก่อน!”
ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ไม่ว่าจะมียศทางราชการใหญ่โตหรือเล็กแค่ไหน ทุกคนต่างก็เรียกเธอว่า พี่สะใภ้กันหมด นั่นก็ดูเป็นเรื่องน่าสนใจแล้ว
ดังนั้น หลังจากผมบอกจางหงหวู่ ผมก็เดินตามตำรวจที่มาส่งเธอขึ้นรถไป
“ท่านสหายตำรวจ พี่เถ่ฉวยของผมไปไหนแล้ว?”
ตำรวจคนนั้นที่เพิ่งกลับเข้ามาในสำนักงาน หลังจากถูกผมขวางทาง มองมาด้วยความประหลาดใจ “พี่เถ่ฉวยของคุณคือใคร?”
“ก็คือจางเถ่ฉวยของหมู่บ้านเรา สาวงามของหมู่บ้านเรา!”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าสาวงามของหมู่บ้านของพวกคุณเป็นใคร ไปไปไป ไปถามหัวหน้าหมู่บ้านของพวกคุณไป!”
ตำรวจโบกมือไล่ผมอย่างรำคาญแล้วกำลังจะเดินจากไป ผมรีบไปขัดขวางเขา “อย่าเลย ท่านดูสหายของท่านสิท่านจะมาพูดว่าไม่รู้จักได้ยังไง เมื่อกี้คุณเพิ่งจะส่งพี่เถ่ฉวยของเราขึ้นรถไปเอง!”
“เธอ? พี่เถ่ฉวย? ไปไปไป ไปตรงโน้นไป อย่าสร้างปัญหา!”
ตอนนั้นผมก็ไม่ขวางเขาอีก “นี่คุณจะมาก่อกวนทำไม เห็นๆอยู่ว่าเธอคือพี่เถ่ฉวยของหมู่บ้านเรา อย่าคิดว่าเห็นแค่เงาด้านหลังฉันจะจำเธอไม่ได้นะ!!!”
ตำรวจถูกผมก่อกวนจนไร้ทางเลือก หงุดหงิดเป็นอย่างมาก ชี้นิ้วมาที่จมูกของผมพูดสั่งสอน:“ฉันเตือนคุณนะ คุณอย่าจงใจก่อกวน นั่นคือพี่สะใภ้ของพวกเรา ภรรยาของท่านผู้การของสำนักงานย่อยเรา ไม่ใช่พี่เถ่ฉวยของหมู่บ้านของพวกคุณอะไรแบบนั้น คุณยังกล้าก่อกวนอีก ระวังตัวไว้ฉันจะจับคุณเข้าคุกข้อหาก่อกวนวุ่นวายเจ้าพนักงาน!”
“จำคนผิดเอง ดูคุณสิ จะโกรธอะไรขนาดนั้น ระวังจะฉี่แตกตอนกลางคืน!”
พร่ำบ่นแล้วบ่นอีก จากนั้นเขาชี้หน้ามายังผมด้วยความโกรธ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร เขาปัดมือออกพร้อมกับเดินกลับเข้าไปในสำนักงานย่อย
“ภรรยาของท่านผู้การสำนักงานย่อย ที่แท้ก็คือภรรยาของท่านผู้การสำนักงานย่อย…… ”
บ่นพึมพำไปตลอดทาง ผมเดินกลับเข้าไปยังรถของจางหงหวู่