ตงฟางจั๋วเบิกตากว้าง “เป็น เป็นไปไม่ได้…”
“ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน แต่ข้าไม่ยอมให้เรื่องมันจบง่ายๆ เช่นนี้แน่! จั๋วเอ๋อร์! เจ้าต้องลุกขึ้นมาสู้! ขอเพียงเขากับซูหลียังไม่ได้แต่งงานกัน เจ้าก็ยังมีโอกาส! สักวันหากเจ้าได้นั่งบัลลังก์ ทุกสิ่งใต้ฟ้าล้วนเป็นของเจ้า นับประสาอะไรกับแค่ผู้หญิงคนเดียวเล่า?”
ถ้าหากตัวการหลักที่ทำร้ายหลีซูเป็นตงฟางเจ๋อจริงๆ เช่นนั้น…ซูหลีก็แต่งงานกับตงฟางเจ๋อไม่ได้เป็นอันขาด! ตงฟางจั๋วลุกพรวด ตะโกนอย่างเดือดดาล “ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ! หากวันนี้ไม่ได้เสด็จแม่ตักเตือน ลูกคงเสียใจไปตลอดชีวิต! ลูกทำผิดไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่อาจทำผิดซ้ำสองได้อีก!”
ในที่สุดฮองเฮาก็เผยสีหน้ายินดี กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้น “เด็กดี ในที่สุดเจ้าก็เข้าใจแล้ว!”
ตงฟางจั๋วแสบจมูก เบ้าตาที่แห้งเหือดไปนานแล้วพลันเปียกชื้นขึ้นมา เสด็จแม่มองการณ์ไกลและไตร่ตรองได้ลึกล้ำกว่าเขายิ่งนัก! แต่ว่าเขา…ยังมีโอกาสได้นางมาครองอีกครั้งจริงๆ หรือ?
“เจ้าต้องจำไว้ แคว้นเฉิงเป็นของเจ้า! ภายหน้าทุกสิ่งใต้ฟ้านี้ล้วนเป็นของเจ้า! ต้องมีสักวันที่เจ้าทำให้ซูหลีเห็นว่า เจ้า ตงฟางจั๋วต่างหาก ที่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของนาง!”
เสียงเด็ดเดี่ยวมั่นคงของฮองเฮา เหมือนดั่งแผ่นเหล็กร้อนๆ ที่ทาบทับตราตรึงลงไปในส่วนลึกของหัวใจตงฟางจั๋ว วินาทีนี้เขาตัดสินใจแล้ว มีเพียงต้องชิงอำนาจสูงสุดบนโลกนี้มาครอง เขาถึงจะได้สิ่งที่สูญเสียไปทั้งหมดกลับคืนมา!
เรื่องการแต่งงานของท่านหญิงหมิงซีใช้ระยะเวลากว่าครึ่งปี จัดพิธีคัดเลือกที่ชวนให้ใจเต้นไม่เป็นส่ำถึงสามครั้ง สุดท้ายก็ได้บทสรุป ตงฟางเจ๋อได้หัวใจของท่านหญิงไปครอง จวนอัครเสนาบดีและจวนเจิ้นหนิงอ๋องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ เรื่องนี้กลายเป็นที่กล่าวขานกันไม่น้อยในราชสำนัก
นับจากนั้นอีกหลายเดือน ตามท้องตลาดต่างเล่าลือกันถึงเรื่องราวความรักระหว่างท่านหญิงหมิงซีและเจิ้นหนิงอ๋องที่เกิดขึ้นระหว่างสืบสวนคดี ได้ยินว่าทั้งซาบซึ้งกินใจ ทั้งตื่นเต้นเร้าใจ หากใช้ประโยคที่ว่า ‘แม้ตัวห่างร้างไปแยกไกลกัน ถ้ามีใจใจสื่อฝันก็ถึงใจ’ ก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย ความรักเช่นนี้ใครบ้างจะไม่อิจฉา?
ชั่วขณะหนึ่ง เหล่าคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนในเมืองหลวงต่างพากันอิจฉาตาร้อนและผิดหวังในขณะเดียวกัน อิจฉาท่านหญิงหมิงซีที่หาพระสวามีที่ทั้งสง่าผ่าเผยและสมบูรณ์แบบไร้ที่ติเช่นนี้ได้ ผิดหวังที่ตนเองไม่มีโอกาสอีกแล้วแม้แต่น้อย
เป็นคนโปรดของฮ่องเต้อยู่แล้ว ยามนี้ยังกลายเป็นว่าที่พระชายาเอกของเจิ้นหนิงอ๋องอีก ท่ามกลางเหล่าสตรีผู้ดีในเมืองหลวง ชื่อเสียงของท่านหญิงหมิงซีเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ไม่มีผู้ใดเทียม
ซูเซียงหรูยิ่งสุขสมหวังเพราะเรื่องนี้ มีแขกมาแสดงความยินดีที่จวนอัครเสนาบดีทุกวันไม่ขาดสาย ยุ่งวุ่นวายจนเขาแทบต้อนรับไม่หวาดไม่ไหว การดูแลเอาใจใส่ต่อซูหลีก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทุกวัน ไถ่ถามทุกข์สุขและส่งของมีค่าราคาแพงมาให้เป็นระยะ เพื่อแสดงความรักและโปรดปราน เรื่องอวี้หลิงหลง ด้วยนิสัยของตงฟางจั๋ว อย่างไรก็ต้องตัดขาดกับหลีเฟิ่งเซียนอย่างแน่นอน และยามนี้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของซูหลีกับตงฟางเจ๋อ ก็ยิ่งเพิ่มความมั่นคงให้กับตำแหน่งของซูเซียงหรูอย่างไม่ต้องสงสัย
คู่เปรียบเทียบที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน คือจวนเซ่อเจิ้งอ๋องและจวนจิ้งอันอ๋อง หลังจากสืบสวนคดีที่ตำหนักจินหลวน วันต่อมาหลีเฟิ่งเซียนส่งหนังสือมาบอกว่าไม่สบาย และไม่มาร่วมประชุมที่ท้องพระโรงอีกเลย
ซูหลีทุกข์ใจ เคยคิดจะไปเยี่ยมที่จวนเซ่อเจิ้งอ๋องหลายครั้ง แต่ครั้นไปถึงหน้าประตูกลับยืนเหม่ออยู่อย่างนั้น ไม่กล้าก้าวข้ามไปแม้แต่ครึ่งก้าว นางไม่รู้ว่าหลังจากผ่านเรื่องราวมากมายเหล่านั้นมา ตนเองควรเผชิญหน้ากับเสด็จพ่อและหลีเหยาอย่างไร บางทีสิ่งที่นางกลัวจริงๆ คือการเห็นว่า ยามนี้จวนเซ่อเจิ้งอ๋องกำลังเผชิญกับความหายนะและนับวันยิ่งอ้างว้างวังเวง
วันเวลาค่อยๆ เดินผ่านไป อากาศปลายฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็นไปถึงกระดูก ท้องฟ้ามีเมฆหนามาหลายวัน ในที่สุดก็มาถึงวันที่ซูหลีต้องย้ายออกจากจวนสกุลซูแล้ว
โม่เซียงและหวั่นซินยุ่งจนมือเป็นระวิง วิ่งเข้าๆ ออกๆ สั่งการ จัดการขนของที่จำเป็นต้องย้ายไปที่จวนใหม่ใส่รถม้าอย่างดิบดี พวกนางทำงานเข้าขากันอย่างขันแข็ง
เดิมทีของในเรือนเล็กๆ หลังนี้เก่ามากแล้ว ไม่มีอะไรสามารถนำไปใช้ที่จวนใหม่ได้ ทว่านับตั้งแต่ที่ซูหลีถูกแต่งตั้งให้เป็นท่านหญิงหมิงซี ก็มีผู้คนนำสิ่งของมามอบให้ไม่ขาดสาย มีตั้งแต่สิ่งของเล็กน้อยอย่างของกิน ของใช้ ของเล่น ไปจนถึงของชิ้นใหญ่มีราคาอย่างเครื่องประดับโบราณ ทำเอาเรือนที่เดิมก็ไม่ได้หลังใหญ่อยู่แล้ว เต็มไปด้วยข้าวของมากมาย แม้แต่จะหมุนตัวยังไม่มีที่ว่างมากพอ ซูหลีเห็นแล้วก็ปวดหัว โชคดีที่จวนท่านหญิงใกล้สร้างเสร็จ นางจึงไม่ต้องห่วงอีกว่าจะไม่มีที่เก็บของเหล่านั้น
รุ่งเช้าของวันนี้ ในที่สุดท้องฟ้าก็แจ่มใส อากาศเริ่มอบอุ่น พาให้อารมณ์เบิกบานไม่น้อย
ขบวนขนย้ายเรือนขนาดใหญ่ของท่านหญิงหมิงซี ออกเดินทางจากจวนอัครเสนาบดี มุ่งหน้าสู่จวนท่านหญิงอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่
จวนท่านหญิงตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวง รถม้าสิบกว่าคันค่อยๆ ลากสิ่งของขนาดเท่าภูเขาลูกย่อมๆ เคลื่อนตัวไปตามถนนที่ทอดจากทิศตะวันตกไปยังทิศใต้ ดึงดูดชาวบ้านนับร้อยให้เข้ามามุงดู แต่ละคนต่างตื่นตะลึงกันถ้วนหน้า
เดิมทีรอให้ตกแต่งทุกอย่างเสร็จก่อนค่อยย้ายออกจากจวนอัครเสนาบดีก็ได้ แต่ซูหลีเบื่อใบหน้าอัปลักษณ์ของซูฮูหยินเต็มทน นางเอาแต่ปั้นหน้ายิ้มเสแสร้ง ซูหลีเห็นแล้วรำคาญตา ฉะนั้นจึงไม่อยากรั้งอยู่ที่จวนสกุลซูอีกแม้แต่ครึ่งวัน นางกล่าวอำลากับคนในจวน ซูชิ่นที่มักทำหน้าจิกกัดนางเสมอมา วันนี้กลับมีใบหน้าที่นิ่งขรึมอย่างหาดูได้ยาก คล้ายมีเรื่องหนักใจ ซูหลีเองก็ไม่ได้ใส่ใจมาก นางรู้ดี นับตั้งแต่วันนี้หากนางก้าวเท้าออกจากจวนไป สายสัมพันธ์ระหว่างนางกับจวนแห่งนี้ ก็มีแต่จะห่างเหินกันไปเรื่อยๆ
ขบวนคนและม้าเดินนำหน้า เกี้ยวของซูหลีเคลื่อนตามหลังไปช้าๆ ขณะเข้าใกล้ประตูทิศใต้ของเมือง ขบวนยาวดั่งมังกรขบวนหนึ่งขวางอยู่กลางถนน เดิมทีถนนไม่ได้กว้างมากอยู่แล้ว ยามนี้จึงดูแคบลงไปถนัดตา สองฝั่งทางเดินมีชาวบ้านนับร้อยมุงดูเต็มไปหมด พวกเขากระซิบกระซาบกัน แล้วยังเขย่งเท้าชะเง้อมองเป็นระยะ
ซูหลีคล้ายได้ยินเสียงโม่เซียงกำลังถกเถียงกับคนผู้หนึ่งแว่วๆ
อดแปลกใจไม่ได้ ของมากมายขนาดนี้ยังไม่รีบเอาไปจัดวางที่จวน เด็กคนนี้มัวเสียเวลาทำอะไรอยู่ที่นี่? เกี้ยวของนางไม่อาจเดินหน้าได้อีก นางจึงจำต้องลงจากเกี้ยว ค่อยๆ เดินแหวกฝูงชนไปยังจุดเกิดเหตุ
“เด็กน้อยเช่นเจ้าหยุดพล่ามไร้สาระเสียที! แม่ทัพของพวกเรามีความอดทนไม่มาก! ไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้าที่นี่! สั่งให้คนของพวกเจ้ารีบถอยไปเดี๋ยวนี้!” ชายฉกรรจ์ที่ดูเหมือนขุนพลชำนาญการรบผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าโม่เซียง ตำหนินางอย่างรุนแรง ด้านหลังเขาคือกองทัพทหารเดินเท้าที่ดูองอาจกล้าหาญ ยืนเรียงแถวกันอย่างค่อนข้างเป็นระเบียบ อกผายไหล่ผึ่ง ดุดันเคร่งขรึม
บนม้าตัวแรกมีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่ เขาสวมเสื้อเกราะอ่อน ผ้าคลุมที่พลิ้วไหวไปตามสายลมด้านหลังเขาส่งเสียงดังพึ่บพั่บ กลิ่นอายเยือกเย็นบ้าคลั่งแผ่กำจายรอบกาย ใบหน้าเย็นชาและแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความยโสโอหัง เขาหลับตาเบาๆ คล้ายกำลังพักสายตาทำสมาธิ หว่างคิ้วขมวดเล็กน้อย ราวกับกำลังพยายามข่มกลั้นอารมณ์ ไม่ปล่อยให้เรื่องหยุมหยิมตรงหน้ามากวนใจ
ดวงหน้ากลมๆ ของโม่เซียงแดงก่ำไปทั้งดวง ดวงตาเริ่มมีน้ำตารื้นด้วยความกล้ำกลืนฝืนทน ปากกลับโต้กลับอย่างเด็ดเดี่ยว “ใต้เท้ารังแกคนเกินไปหรือไม่เจ้าคะ! พวกข้ามาถึงทางแยกนี้ก่อนแท้ๆ เพียงโค้งเดียวก็ผ่านทางไปได้แล้ว ท่านเองก็สามารถกลับบ้านได้อย่างราบรื่น แต่กลับขวางทางไม่ยอมถอยอยู่เช่นนี้ ทำเอาไม่มีใครไปไหนได้อีก!”
“หุบปากเสีย! แล้วรีบถอยไป! หากเจ้ายังไม่ขยับอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” มือของขุนพลผู้นั้นจับไปที่ด้ามกระบี่ที่เหน็บไว้ข้างเอว
“ท่าน!” บัณฑิตเจอทหารเถื่อน พูดเหตุผลไปก็เท่านั้น ซ้ำยังใช้กำลังข่มเหงคน! โม่เซียงโกรธจัดจนแทบจะร้องไห้ออกมา
ซูหลีสายตาไหวระริก อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเบาๆ หวั่นซินล่วงหน้าไปที่จวนท่านหญิงก่อนแล้ว เหลือโม่เซียงเพียงคนเดียว เห็นชัดว่านางรับมือกับพวกป่าเถื่อนเหล่านี้ไม่ไหว ของสิบกว่าคันรถล้วนเป็นของมีน้ำหนัก ถนนเส้นนี้ก็ไม่ได้กว้างขวาง สองฝั่งทางเดินเบียดเสียดไปด้วยผู้คน แม้จะสั่งให้สลายตัวไปทั้งหมด แล้วให้รถม้าหลีกไปอีกด้าน ก็ยังกินเนื้อที่ถนนไปกว่าครึ่งอยู่ดี ให้เปลี่ยนเส้นทางยิ่งเป็นไปไม่ได้
………………………………………..