ตงฟางเจ๋อนั่งข้างนาง ถามเสียงขรึม “ได้อะไรหรือไม่?”
ซูหลีพยักหน้า “รุ่ยฟางผู้นี้เข้าวังตั้งแต่อายุสิบขวบ สองปีต่อมาถูกย้ายตัวไปเป็นบ่าวในตำหนักพระสนมอวิ๋น จากนั้นพระสนมอวิ๋นได้เลื่อนขั้นเป็นพระสนมขั้นเฟย นางเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายอวิ๋นเฟย รับใช้นางมาสิบปีแล้ว หนึ่งปีก่อนอวิ๋นเฟยล่วงเกินฮองเฮาจนถูกส่งตัวไปตำหนักเย็น เดิมทีนางถึงวัยที่ต้องออกจากวัง อยากออกจากวังกลับบ้านเกิด แต่จนใจที่ถูกฮองเฮาส่งตัวไปทำงานที่ตำหนังฉางชุน”
สายตาตงฟางเจ๋อขรึมลง ไม่เอ่ยคำใด
ซูหลีกล่าวต่อ “ได้ยินว่ารุ่ยฟางฉลาดปราดเปรื่อง มีความรู้เรื่องหยูกยาอยู่บ้าง นางมีเส้นสายในวังหลวงอยู่ไม่น้อย กอปรกับมีความประพฤติเยือกเย็นสุขุม ทำงานเรียบร้อยมาโดยตลอด ฮองเฮาย้ายนางไป คิดว่าคงเป็นเพราะเล็งเห็นเรื่องนี้ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮองเฮาจึงไม่ถามสาเหตุ ก็เอานางไปประหารเลย!”
“เหอะ!” ตงฟางเจ๋อยิ้มเย็น “เกรงว่านายคนก่อนของรุ่ยฟาง จะเป็นความจริงที่ฮองเฮาต้องการปิดบังมากกว่า!”
ซูหลีตกใจเล็กน้อย “อวิ๋นเฟย?”
“ถูกต้องแล้ว” ตงฟางเจ๋อหรี่ตา กล่าวเสียงแช่มช้า “อวิ๋นเฟยและฮองเฮามีสายสัมพันธ์อันดีมาโดยตลอด ไม่กี่ปีก่อนเพราะล่วงเกินเสด็จแม่ของข้า ทำให้เสด็จพ่อไม่พอพระทัย จึงลดขั้นนางลงไปเป็นพระสนมขั้นผิน ต่อมาหลังจากที่เสด็จแม่สิ้นพระชนม์ไม่กี่วัน ก็มีข่าวลือว่านางไม่ระวังวาจากับฮองเฮา ถูกส่งตัวเข้าตำหนักเย็น ต่อมาได้ยินว่าเพราะเรื่องนี้ ทำให้นางได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจไม่น้อย พูดจาเลอะเลือน กลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน”
เหลียงกุ้ยเฟยเพิ่งสิ้นพระชนม์ อวิ๋นผินก็ถูกส่งตัวเข้าตำหนักเย็นทันที? สถานการณ์เช่นนี้แปลกมากจริงๆ หากเป็นเพราะนางสติฟั่นเฟือน แค่ปิดประตูตำหนักเย็นเสียก็พอ เหตุใดต้องทำให้ยุ่งยากด้วย? นอกเสียจากว่า ในนั้นมีความลับที่ไม่อยากให้ใครรู้อยู่! ซูหลีพลันตระหนัก “หรือว่า…”
เงาเทียนไหวกระเพื่อม แสงสว่างนวลตา ใบหน้าของตงฟางเจ๋อกลับไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงค่อยเปิดปาก “ซูซู มีเรื่องหนึ่ง ที่ข้าไม่เคยพูดเลย” นัยน์ตาลึกล้ำเงยขึ้นช้าๆ กลับเต็มไปด้วยแววเศร้าโศก เขาสูดหายใจลึกๆ “ข้าสงสัยมาโดยตลอดว่าเสด็จแม่ถูกลอบสังหาร”
ซูหลีตกตะลึง “ถูกลอบสังหาร…? เช่นนั้นเหตุใดท่านอ๋องจึงไม่ถามฝ่าบาทให้แน่ชัดเล่าเพคะ?” ด้วยความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมีต่อเหลียงกุ้ยเฟย หากรู้เรื่องนี้มีหรือจะปล่อยให้คนร้ายลอยนวลไปได้!
ตงฟางเจ๋อหลับตาเบาๆ ไม่ได้ตอบคำถาม
ซูหลีหนักอึ้งในใจ เอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋องไม่มีหลักฐานหรือเพคะ?”
เขาพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แสงเทียนนวลตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ชวนให้รู้สึกปวดใจ
รู้ทั้งรู้ว่ามารดาที่เคารพรักที่สุดถูกคนลอบสังหาร ทว่ากลับไม่อาจจับตัวคนร้ายได้ ความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ ซูหลีเข้าใจเป็นอย่างดี
เหลียงกุ้ยเฟยคือบาดแผลในใจที่ไม่มีวันเลือนหายของตงฟางเจ๋อ ก็เหมือนกับที่เสด็จแม่หรงซีจินเป็นบาดแผลทางใจสำหรับนาง เรื่องแบบนี้แม้ในใจสงสัยเคลือบแคลง แต่หากไม่มีหลักฐาน ก็ไม่อาจนำไปพูดต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทได้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น…ฮ่องเต้เป็นคนที่ขี้ระแวงถึงเพียงนั้น หากไม่ระมัดระวังมากพอ เกรงว่าจะเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนเสียมากกว่า
“พระวรกายของเสด็จแม่ถึงแม้จะไม่ถือว่าแข็งแรง แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาใหญ่เลยสักครั้ง ยามนั้น ข้าได้รับพระบัญชาจากเสด็จพ่อให้ออกไปทำงานนอกวัง ก่อนออกเดินทางได้ไปกล่าวลา เสด็จแม่ยังแข็งแรงอยู่เลย แต่นึกไม่ถึง หลังจากที่ข้าไปทำงานหนึ่งเดือนกว่าและกลับมา นางกลับหลับไม่ยอมตื่น กระทั่งสุดท้าย…” ลำคอเขาแห้งผาก น้ำเสียงสะดุดกึก คล้ายไม่อาจพูด มือที่วางราบอยู่บนหน้าขาพลันกำหมัดแน่น ข้อนิ้วซีดขาว สั่นเทาเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุม
หัวใจของซูหลีราวกับถูกกระชาก แทบไม่กล้าจินตนาการ บุรุษที่เย่อหยิ่งและมั่นใจจนราวกับกุมผืนฟ้าไว้ในกำมือ กลับต้องมองดูมารดาของตนเองจากไปอย่างช้าๆ โดยไม่อาจทำอะไรได้ หัวใจของเขาจะเจ็บปวดเพียงใดกันแน่?! มิน่าเล่าวันนี้ยามที่เขาได้ยินเรื่องน้ำค้างเย็น ถึงได้มีสีหน้าเช่นนั้น ที่แท้เขาก็นึกถึงสาเหตุการตายของเหลียงกุ้ยเฟยนั่นเอง
“ข้าลอบสืบลับๆ มานานมาก แต่ก็ไม่เจอเบาะแสใด เวลาหนึ่งเดือนกว่า มากพอที่จะทำลายหลักฐานทุกอย่างได้ เดิมทีข้าคิดว่า ด้วยความโปรดปรานที่เสด็จพ่อมีต่อเสด็จแม่ ย่อมสามารถปกป้องนางให้ปลอดภัยได้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะปกป้องไม่ได้แม้กระทั่งสตรีที่ตนเองบอกว่ารักนักรักหนา! จนกระทั่งวันนี้” ตงฟางเจ๋อรีบปรับอารมณ์ให้มั่นคง คล้ายเพียงชั่วพริบตา เขาก็กลับมาเป็นคนที่ยากแท้หยั่งถึงดังเดิม แต่ซูหลีรู้ เขาเพียงต้องการปิดบังอารมณ์ที่แท้จริงในใจเท่านั้น ไม่ใช่ว่าความเจ็บปวดจางหายไปแล้วจริงๆ และการทำอย่างนี้ ก็มีแต่จะทำให้เขายิ่งทุกข์มากขึ้นไปอีก
ซูหลีไม่ได้กล่าวอะไร เพียงยื่นมือออกไปกุมมือเรียวยาวที่เย็นเยียบของเขา การปลอบประโลมที่ไร้คำพูดถ่ายทอดผ่านปลายนิ้วไปสู่หัวใจ ตงฟางเจ๋อเงยหน้าเล็กน้อย ยามที่สายตาเย็นชาสบประสานกับสายตาห่วงใยของนาง หัวใจพลันอบอุ่นขึ้นมาหนึ่งส่วน เขากล่าวเสียงแช่มช้า “หากวันนี้เจ้าไม่บังเอิญเข้าวังมา เกรงว่าคงไม่เจอเบาะแสนี้แล้ว!” เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาพลันเย็นเยียบ ไอสังหารพาดผ่านในดวงตา “มาคิดดูตอนนี้ เรื่องนี้อาจมีเงื่อนงำ ซูซู…”
ชะงักไปเล็กน้อย สายตาอบอุ่นของเขาที่ทอดมองไปยังนางเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
“ท่านอ๋องอยากเข้าไปสืบในตำหนักเย็นยามวิกาลหรือเพคะ?” ซูหลีขมวดคิ้วเบาๆ
ตงฟางเจ๋อหันมามองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง กลีบปากหยักยิ้มเล็กน้อย “เจ้ายินดีไปกับข้าหรือไม่?”
ซูหลีพลันสะดุดใจ หมายจะตอบคำถาม พลันได้ยินเสียงโม่เซียงดังมาจากนอกห้อง “บ่าวถวายบังคมองค์หญิงเจาหวาเพคะ”
ตงฟางเจ๋อกับซูหลีลุกขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย พวกเขามองตากันอย่างตกใจ ดึกขนาดนี้แล้ว เหตุใดองค์หญิงเจาหวาจึงมาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า?
หยางเสวียนถาม “ท่านหญิงของเจ้าเข้านอนแล้วหรือยัง ข้าอยากคุยกับนาง”
เด็กสาวลังเลเล็กน้อย เห็นชัดว่าไม่กล้าพูดเรื่องที่ตงฟางเจ๋อมาเยือนยามวิกาลส่งเดช
ซูหลีมองหน้าตงฟางเจ๋อ หมายจะกล่าววาจา นึกไม่ถึงเขากลับส่ายหน้าเบาๆ ส่งสัญญาณให้นางว่าไม่จำเป็นต้องพูด เดินเข้ามาโอบเอวนาง แล้วกระโดดขึ้นกลางอากาศทันที!
ซูหลีรู้สึกเพียงร่างกายเบาหวิว กำเสื้อเขาแน่นโดยสัญชาตญาณ ทั้งสองออกจากจวนผ่านสวนด้านหลังไปดั่งสายลม! เสียงของหยางเสวียนดังมาจากที่ไกลๆ “เอ๋ คนเล่า?”
ตงฟางเจ๋อโอบซูหลียืนอยู่บนกำแพง ไม่หันมองคนในสวนแม้แต่น้อย ลอยตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
ซูหลีตกใจเล็กน้อย “ท่านอ๋องจะเสด็จไปที่ใดเพคะ?”
เขาไม่ตอบ เพียงกล่าวเสียงเรียบ “จับให้แน่นๆ”
เพิ่งจะเอ่ยจบประโยค นางก็รู้สึกว่าร่างกายลอยเหนืออากาศอีกครั้ง ได้ยินเพียงเสียงลมกรีดพัดหวีดหวิวผ่านใบหู ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี รอบด้านมืดมิดแทบแยกแยะทิศทางไม่ออก ซูหลีไม่ถามอีก ในใจกลับกระจ่างแล้ว
พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าด้วยความเร็วเช่นนี้อยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดเขาก็โอบเอวนางกระโดดมาถึงหลังคาแห่งหนึ่ง แล้วค่อยๆ ปล่อยนางออก
ซูหลีถอนหายใจ เท้าเหยียบกระเบื้องเคลือบ รอบด้านเงียบสงัด ด้านล่างเต็มไปด้วยกำแพงสูงต่ำสลับสล้าง และพระราชวังอันรุ่งโรจน์ เห็นชัดว่าเป็นตำหนักส่วนในของพระราชวัง! ห่างจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ประมาณสิบจั้ง ที่แห่งนั้นแสงไฟมืดสลัว เห็นชัดว่าเป็นสถานที่ที่เงียบวิเวกมาก
ซูหลีมองเขาอย่างฉงนฉงาย บุรุษที่โอบร่างนางพุ่งทะยานมาตลอดทาง ยามนี้ยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ รัศมีเปล่งประกายบีบคั้นผู้คน สงบนิ่งมั่นคง ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยจากความเร่งรีบแต่อย่างใด ซูหลีลอบถอนหายใจ ก่อนจะเบนสายตาออกไป “ท่านอ๋องจะเสด็จไปตำหนักเย็นดังคาด! ในเมื่อมาแล้ว ก็ไปกันเถิดเพคะ!”
…………………………………………………..