“ท่าน!” ซูหลีมองเขาอย่างตื่นตะลึง อ้าปากค้างแต่กลับพูดอะไรไม่ออก นิ้วมือที่กำแขนเขาสั่นเทาเล็กน้อย นางแหงนหน้ามองเขาอย่างอึ้งงัน แต่สายตาที่เขามองมา เบื้องหลังความสิ้นหวังกลับเต็มไปด้วยความเสน่หาอันลึกซึ้ง ดวงหน้าหล่อเหลาอันซีดเซียวดูหนักแน่นอย่างถึงที่สุด
ตงฟางจั๋วกล่าวอีกว่า “เจ้าแค่รออยู่เงียบๆ ข้าจะทำให้เจ้ากลับไปเป็นหลีซู จะต้องมีสักวันที่เจ้าจะได้ยืนอยู่บนตำแหน่งสูงสุด ทำให้ผู้คนใต้ฟ้าอิจฉาเจ้า จะไม่มีใครทำร้ายและทำให้เราพลัดพรากจากกันได้อีก ข้าจะใช้ทั้งชีวิตเพื่อทดแทนความผิดที่ข้าได้ทำต่อเจ้า เจ้ารอข้านะ!”
เขาพูดจบก็หมุนกายจะจากไป แต่กลับถูกซูหลีรั้งไว้ก่อน นางเบิกตากว้าง กล่าวเสียงเบา “ท่านอ๋องบ้าไปแล้ว! หม่อมฉันบอกแล้วไงว่าหม่อมฉันไม่ใช่หลีซู! ท่านลืมตากว้างๆ แล้วมองดูให้ดี หม่อมฉันคือซูหลี ว่าที่พระชายาในเจิ้นหนิงอ๋อง! ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อหม่อมฉันทั้งนั้น ระหว่างพวกเราไม่มีอะไรต้องข้องเกี่ยวกันอีกแล้วเพคะ!”
นางกล่าวอย่างหนักแน่นอีกครั้ง ยกมือปัดปอยผมขึ้น เผยให้เห็นปานที่พวงแก้ม เพื่อยืนยันตัวตนของนาง เรื่องราวระหว่างพวกเขาสองคนชัดเจนแล้ว นางไม่ต้องการให้เขาทำอะไรเพื่อนางอีก และนางก็จะไม่มีวันยอมรับความหวังดีใดๆ จากเขา!
ตงฟางจั๋วหันกลับมา สายตามองผ่านปานสีแดง ทว่ากลับทำราวกับมองไม่เห็นสิ่งใดเลย เขาพลันยกมือ ปลายนิ้วเย็นๆ กุมดวงหน้าของนางเบาๆ ท่าทีอ่อนโยน ราวกับต้องการสัมผัสดวงวิญญาณที่ซ่อนอยู่ข้างในผ่านร่างกายนาง
ซูหลีอยากเบี่ยงหลบ ทว่ากลับเหมือนถูกสะกดจิต ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย ปล่อยให้นิ้วมือเรียวยาวของเขาลูบไล้คิ้วและดวงตางามของนางอย่างอาลัยอาวรณ์ เขาจ้องตานางอย่างแน่วแน่ กล่าวอย่างปวดร้าว “ไม่จำเป็นต้องยืนยันกับข้าว่าเจ้าเป็นผู้ใด ใจข้ารู้ดี ข้ามาคืนนี้ เพียงต้องการเห็นเจ้าเท่านั้น หากว่าครั้งนี้…ข้าทำพลาด เจ้าก็ลืมข้าเสียเถิด ชาติหน้า…ชาติหน้าข้าจะทำดีต่อเจ้าให้มากอย่างแน่นอน”
วาจาราวกับคำบอกลา สะท้อนลางร้ายอย่างชัดเจน พาให้คนฟังอดรู้สึกหนักอึ้งในใจไม่ได้
เขามองนางอย่างอาลัยอาวรณ์ ในที่สุดก็ปล่อยนาง แล้วโฉบกายออกไปอย่างรวดเร็ว ซูหลีวิ่งตามออกไปโดยสัญชาตญาณ แต่แผ่นหลังสูงใหญ่กลับอันตรธานหายไปในค่ำคืนอันมืดมิดเสียแล้ว
อากาศหนาวเย็นพัดปะทะใบหน้า ซูหลีสูดหายใจลึกๆ ไอเย็นแทรกลึกเข้าไปในอวัยวะภายใน นางยืนอึ้งอยู่หน้าประตู สายลมหนาวพัดผ่านใบหูดังหวีดหวิวไม่หยุด ยามนี้หัวใจของนางสับสนว้าวุ่นยิ่งนัก
“ซูซูมองอะไรอยู่หรือ?” ทันใดนั้น เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น ซูหลีสะดุ้งตกใจ เมื่อหันไปมอง ก็พบว่าตงฟางเจ๋อมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว
ไร้ซุ่มไร้เสียง พวกเขาสองพี่น้องล้วนเหมือนภูติผีวิญญาณ
“ท่านอ๋อง…มาตั้งแต่เมื่อใดเพคะ?” ซูหลีถาม ในใจอดลนลานไม่ได้ วาจาเมื่อครู่ของตงฟางจั๋ว เขาได้ยินหรือไม่? ได้ยินมากน้อยเพียงใด?
สายตาลึกล้ำมองพิจารณาใบหน้านาง เขายิ้มแล้วตอบว่า “เพิ่งมาถึง ด้านนอกหนาว เข้าไปคุยในห้องเถิด” เขาจูงมือนางเข้าห้องพร้อมกัน ทั้งสองนั่งอิงแอบเตาถ่าน เขายื่นมือตนเองผิงไฟให้อุ่น แล้วกุมนิ้วมือที่หนาวจนเย็นเฉียบของนางเอาไว้ ก่อนจะขับเคลื่อนกำลังภายใน
ความอบอุ่นแผ่ซ่านมาจากปลายนิ้วอย่างต่อเนื่อง ทั้งร่างกายและจิตใจของนางราวกับอบอุ่นขึ้นมาพร้อมกัน ซูหลีเงยหน้ามองเขา ใบหน้าหล่อเหลาของเขาสงบนิ่ง สีหน้าเป็นปกติไม่ต่างจากเดิม เพียงแต่หว่างคิ้วสะท้อนแววเหนื่อยล้ารางๆ คงเป็นเพราะฮ่องเต้ประชวรหนัก วังหลังไร้เสาหลัก งบปลายปีก็ใกล้เข้ามาแล้ว ทั้งในราชสำนักและวังหลังล้วนมีเรื่องให้เขาต้องสะสางไม่จบสิ้น
นางอดทอดถอนใจไม่ได้ “หากเหนื่อยก็ควรพักผ่อนให้เร็วหน่อย ดึกขนาดนี้แล้ว ยังเสด็จมาหาหม่อมฉันอีก! อากาศก็หนาว ไม่กลัวแข็งตายหรือเพคะ” การตำหนิเล็กน้อย กลับสะท้อนความห่วงใยออกมา แทบไม่ต้องคิดมากก็กล่าวออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ หลังผ่านเรื่องราวทั้งหลายก่อนหน้านี้มา ระหว่างพวกเขาก็เริ่มเป็นธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ
ตงฟางเจ๋อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คิดถึงเจ้าแล้วน่ะสิ”
ซูหลีชะงักอึ้ง สายตาที่เขาทอดมองมาทั้งร้อนรุ่มและอบอุ่น ซ้ำยังสะท้อนแววยั่วยวนหลายส่วน ซูหลีหน้าแดงเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าคนเก็บความรู้สึกเช่นเขา เมื่อเอ่ยคำหวาน กลับดูกรุ้มกริ่มถึงเพียงนี้
หัวใจนางเต้นตึกตัก เบนสายตาหนีอย่างขัดเขิน เอ่ยถามเสียงเบา “พระวรกายของฝ่าบาท ดีขึ้นบ้างหรือยังเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อพยักหน้าเบาๆ ดวงตาฉายแววกังวล อาการประชวรของฝ่าบาทคงไม่ค่อยดีนัก นางทอดถอนใจ ไม่ว่าฮ่องเต้จะเย็นชาอย่างไร สุดท้ายก็ยังเป็นบิดาของเขา
“น่าเสียดายที่หม่อมฉันไม่อาจช่วยอะไรท่านอ๋องได้เลย” นางถอนหายใจเบาๆ
เขากลับแย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าสบายดี ก็ถือเป็นการช่วยข้าแล้ว” จะว่าไปแล้ว พวกเขาไม่ได้พบหน้ากันหลายวันแล้ว หลังจากเหตุการณ์ที่ลานประหาร เขาก็ยุ่งกว่าที่เคย วันนี้ที่มาได้ ก็เพราะพยายามหาเวลาปลีกตัวออกมาอย่างสุดความสามารถ ได้กุมมือนาง มองหน้านาง ความกังวลใจของเขา ก็ราวกับจางหายไปเกือบครึ่งแล้ว
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงคืนส่งท้ายปีแล้ว พระวรกายของเสด็จพ่อยังไม่ดีขึ้น วังหลวงจะไม่มีการจัดงานเฉลิมฉลอง แต่ประเพณีที่ควรมีก็ไม่อาจล่าช้า พอถึงยามนั้น ข้าจะมารับเจ้าเข้าวัง”
ซูหลีพยักหน้า เขาล้วงกล่องผ้าต่วนประณีตกล่องหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยื่นไปตรงหน้านาง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “สิ่งนี้มอบให้เจ้า”
“อะไรหรือเพคะ?” ซูหลีมองเขาอย่างสงสัย เห็นเพียงเขาดวงตาเป็นประกาย ยิ้มอย่างมีลับลมคมใน “เปิดดูสิ”
นางรับคำแล้วเปิดฝากล่อง ค้นพบว่าด้านในเป็นกล่องที่มีขนาดเล็กกว่าอีกหนึ่งใบ นางเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ เขากลับมองนางอย่างลึกซึ้ง ไม่พูดอะไร
ซูหลีเปิดฝากล่องใบที่สอง ด้านในกลับเป็นกล่องเล็กๆ อีกใบหนึ่ง สิ่งของใดกันลึกลับถึงเพียงนี้? ถึงขนาดต้องใส่ไว้ในกล่องสามใบเลยทีเดียว! เสียงหัวเราะเบาๆ ของเขาดังมาจากข้างหน้า นางห้ามความอยากรู้ไม่ไหว รีบเปิดฝากล่องใบสุดท้าย ในที่สุดก็เห็นสิ่งของลึกลับที่อยู่ข้างใน นางพลันเบิกตากว้าง
รูปแกะสลักเสมือนจริงที่ทำจากไม้จันทน์สีดำ เครื่องหน้าทั้งห้าชัดเจนงดงาม ลำคอและเรือนร่างบอบบางชวนหลงใหล อาภรณ์พลิ้วไหว ทั่วร่างถูกขัดเกลาอย่างละเอียดอ่อนจนขึ้นเงาเป็นประกาย นี่มันตัวนางในร่างมนุษย์ตัวจิ๋วชัดๆ
ซูหลีตกตะลึง หยิบมาดูอย่างละเอียด ค้นพบว่าแม้แต่นิ้วมือแต่ละนิ้วก็ยังแกะสลักได้อย่างประณีตและสมบูรณ์แบบ เพียงโอบอุ้มไว้ในมือ ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความทุ่มเทของผู้แกะสลัก ทำเอานางนึกรักจนไม่อยากวางมือ
“นี่ นี่มัน…?”
“ดูไม่ออกหรือ? ดูเหมือนฝีมือจะยังไม่ถึงขั้นกระมัง” รอยยิ้มของเขาฉายแววผิดหวังสองส่วน
ซูหลีกลับตะลึงงัน เหมือนมีครั้งหนึ่งขณะผ่านถนนในตลาด นางมองเห็นไม้แกะสลักวางอยู่บนแผงขายของ บ้างก็สลักได้งดงามราวกับมีชีวิต นางอดมองหลายคราไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าเขากลับสังเกตเห็น แล้วยังเก็บไปใส่ใจอีก!
นางเงยหน้ามองเขาอย่างอึ้งงัน ดวงตาที่เย็นชาไร้ความรู้สึกมาโดยตลอด ยามนี้กลับบังเกิดคลื่นความรู้สึกอันสับสนบอกไม่ถูก
“ท่านอ๋องแกะสลักเองหรือเพคะ?”
เขาหัวเราะ ใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามาใกล้ สายตาอ่อนโยนดั่งสายน้ำ ถามเสียงเบาคล้ายเอาอกเอาใจ “แน่นอน เจ้าชอบหรือไม่?”
ซูหลีก้มหน้างุด กลับไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ “ชอบเพคะ เหมือนหม่อมฉันมาก ท่านอ๋อง แกะสลักมันเมื่อใดเพคะ?”
“ตอนที่โดนกักตัว” เขาพูดอย่างผ่อนคลาย เดิมเขาอยากแกะสลักอะไรสักอย่างมอบให้นางนานแล้ว ก่อนหน้านี้นึกไม่ออกว่าจะแกะสลักอะไรดี ต่อมาเมื่อถูกกักตัว ถูกขังอยู่ในคุก ดวงหน้างดงามของนาง ก็ผุดขึ้นมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง แล้วมือของเขาก็แกะสลักใบหน้าของนางออกมาเองโดยไม่รู้ตัว เขาไม่เคยเอาใจสตรีนางใดเท่านี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรก
………………………………………