ฝ่ามือของซูหลีร้อนวูบ ราวกับมองเห็นภาพในวันนั้นที่ตงฟางจั๋วยัดศิลาเลือดนกเพลิงใส่มือนางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังอีกครั้ง ใช่แล้ว ใครเล่าจะปล่อยให้โอกาสในการพิสูจน์ความขลังของของวิเศษในตำนานไป? ตงฟางจั๋วไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดมือไปแน่ แม้แต่ตัวนางเอง ยามนั้นก็ยังฉงนฉงายยิ่งนัก
“ฉะนั้นข้าจึงมอบให้หลีซู ยามนั้นข้ายังย่ามใจ นกเพลิงเลือกนาย แสดงว่าข้าก็คือองค์รัชทายาทตัวจริงที่สวรรค์กำหนดไว้แล้ว! แต่ว่า…ตำนานที่กล่าวขานว่านกเพลิงเลือกนาย ล้วนเป็นเรื่องลวง!” เอ่ยจบก็ทุบกำปั้นกับโต๊ะอย่างแรง หัวใจของซูหลีพลอยตึงเครียดไปด้วย
ตงฟางจั๋วขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เดือดดาลยากสงบ เครื่องหน้าคมคายทั้งห้าบิดเบี้ยวบูดบึ้ง
ซูหลีพยายามข่มกลั้นความลนลานในใจ เอ่ยเสียงเข้ม “ของสิ่งนี้มีกลไกใดซ่อนอยู่กันแน่?!”
ตงฟางจั๋วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าตนเองพูดปากเปล่าไร้หลักฐาน เจ้าจะต้องไม่เชื่อแน่ว่าเขาคือคนร้ายตัวจริง! ฉะนั้นวันนี้ ข้าจะใช้ความจริงมาพิสูจน์ ว่าใครกันแน่ที่เป็นศัตรูของเจ้า!”
พูดไป เขาก็ดึงมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมากรีดตรงข้อมือ! เลือดสดๆ ไหลออกมา และหยดลงบนศิลาเลือดที่กำลังทอประกายแสงสีแดงสด ทันใดนั้น แสงสีทองพลันไหวเจิดจ้า แยงตาจนทุกคนต้องยกมือปิดตา เพียงพริบตาเดียว แสงสีทองนั้นก็จางหายไป ทว่าซูหลีกลับมองเห็นอย่างรวดเร็ว เสี้ยววินาทีหนึ่ง ปีกของนกเพลิงคล้ายขยับเขยื้อน
ภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคน ศิลาเลือดนกเพลิงเปลี่ยนไปอย่างน่าอัศจรรย์ นกเพลิงที่ค้อมกายในท่าพินอบพิเทาอยู่ข้างในศิลา ยามนี้ได้สยายปีกราวกับจะโบยบินเหมือนที่พวกเขาเห็นในตอนแรกอีกครั้ง
แววยินดีพาดผ่านดวงตาของตงฟางจั๋ว เขาพึมพำ “เขาไม่ได้โกหกข้าดังคาด”
ซูหลีมองใบหน้าเคร่งขรึมของเขาอย่างสงสัย ความรู้สึกลนลานและไม่สบายใจทวีขึ้นเรื่อยๆ
ตงฟางจั๋วเหลือบเห็นนางกำนัลผู้หนึ่งที่ยืนรอปรนนิบัติอยู่ด้านหนึ่ง ก็ชี้นิ้วเรียกนาง “เจ้า มานี่!”
นางกำนัลหญิงนางนั้นเดินเข้ามา ดูท่าทางน่าจะอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ด ด้วยไม่รู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใด นางหวาดหวั่น ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย
ตงฟางจั๋วไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นกล่องสีเงินให้นาง แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “หยิบมันขึ้นมา”
นางกำนัลหยิบศิลาขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทิ้ม นางลนลานจนเกือบจะทำศิลาหลุดมือ ตงฟางจั๋วตวาดเสียงเกรี้ยวทันที “ถือไว้ให้ดี! หากศิลาแตก ข้าจะตัดหัวเจ้า!”
นางกำนัลตกใจ รีบกระชับศิลาในมือแน่น ไม่กล้าขยับเขยื้อนอีก
นิ้วมือของซูหลีที่อยู่ใต้โต๊ะสั่นเล็กน้อยเพราะออกแรงกำมากเกินไป ยามนี้หัวใจของนางเต้นเร็วมาก นางกระทั่งไม่กล้าคิดสิ่งใดทั้งสิ้น! ทำได้เพียงจ้องศิลาเลือดนกเพลิงในมือนางกำนัล
ช่วงเวลาแห่งการรอคอย ทุกวินาทีมักยาวนานเสมอ รอบข้างเงียบสงัดยิ่งนัก ไม่มีผู้ใดพูดอะไร ราวกับจะหยุดหายใจ
ครั้นเวลาล่วงเลยไปประมาณหนึ่งถ้วยชา ศิลาในมือนางกำนัลไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นกเพลิงที่อยู่ข้างในศิลายังคงอยู่ในท่าสยายปีกพร้อมโบยบิน ตงฟางจั๋วขมวดคิ้วเล็กน้อย
นิ้วมือที่กำแน่นของซูหลีคลายออกหลายส่วน เขายังคงเป็นตงฟางจั๋วคนเดิม! นางยิ้มหยันเล็กน้อย “นี่ก็คือเรื่องจริงที่จิ้งอันอ๋องต้องการพิสูจน์? วันนั้นที่ท่านหญิงหมิงอวี้ถือศิลาเลือด นกเพลิงที่อยู่ข้างในขยับจริงๆ จิ้งอันอ๋องก็ทรงเห็นกับตา!”
ตงฟางจั๋วมองนาง สายตาสับสนระคนแปลกใจ ฉวยศิลาเลือดมาสังเกตดูอย่างละเอียด หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามข่มกลั้นความโกรธ คำรามเสียงเกรี้ยว “เขากล้าโกหกข้า!” เขาโมโหจนแทบจะปาศิลาเลือดลงบนพื้น ยามนี้ นางกำนัลข้างกายพลันล้มลงไปอย่างหมดแรง
ตงฟางจั๋วอึ้งงัน สายตาเป็นประกายขึ้นมา ทว่าหัวใจของซูหลีกลับเหมือนจมดิ่งสู่ก้นบ่อน้ำลึก! นางรีบเข้าไปประคองนางกำนัลผู้นั้นพลางร้องเรียกอย่างร้อนใจ “เจ้าเป็นอะไรไป? ตื่นเร็วเข้า!” น้ำเสียงของนางสั่นเทาอย่างไม่อาจปิดบัง นางกำนัลในอ้อมแขน ไม่ว่าจะขานเรียกอย่างไรก็ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง ร่างกายอ่อนปวกเปียกดังปุยนุ่น นี่เป็นเหตุการณ์ที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างดีที่สุด!
“เรียกหลี่จงเหอมา!” เสียงขรึมๆ ของตงฟางจั๋วดังอยู่ข้างหู ซูหลีเม้มปากอย่างตื่นตระหนก นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น มองดูนางกำนัลนอนนิ่งไม่ขยับอยู่บนพื้น ลำคอของนางราวกับถูกคนบีบแน่น พูดอะไรไม่ออกสักคำ
“ไม่!” เสียงของซูหลีแหบพร่าเล็กน้อย ความกังวลและไม่สบายใจกัดกินหัวใจนาง “เรียก…หวั่นซินมา”
ตงฟางจั๋วหน้าซีด นางยังคงไม่ยอมเชื่อเขา! ขนาดนี้แล้ว นางก็ยังคงไม่เชื่อเขา! สายตาลังเลของเกากงกงทอดมองมา ใบหน้าสับสนของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ไปเถิด!”
ครั้นเกากงกงก้าวเท้า เขาก็กล่าวกำชับเสียงเบาอีกว่า “พาตัวมาเงียบๆ อย่าทำให้ผู้อื่นแตกตื่น”
เกากงกงพยักหน้ารับคำแล้วเดินจากไป ผ่านไปไม่นานก็พาหวั่นซินเข้ามาในห้องอย่างเร่งรีบ
หวั่นซินเข้ามาในห้อง ก็ค้อมกายทำความเคารพ เห็นซูหลีหน้าซีด ก็รู้ว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่ แต่นางไม่พูดมากความ ครั้นสายตากวาดมองไปถึงเตียงมังกรที่ผ้าม่านคลุมเตียงถูกปลดลง นางก็พลันตึงเครียดขึ้นมา
“หวั่นซิน เจ้ามาตรวจชีพจรของหญิงนางนี้ที” น้ำเสียงของซูหลีแฝงไว้ด้วยความหวาดหวั่น
หวั่นซินรับคำแล้วเดินเข้าไป นิ้วมือวางลงบนชีพจรของนางกำนัล คิ้วงามค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน นางเงยหน้ามองซูหลี ผ่านไปครู่หนึ่งก็กล่าวเสียงขรึม “ท่านหญิง เป็นชีพจรตั้งครรภ์เจ้าค่ะ”
ซูหลีหน้าซีดขึ้นอีกหลายส่วน แทบจะยืนไม่อยู่ เป็นไปไม่ได้! นี่มันเป็นไปไม่ได้! หญิงพรหมจรรย์ตั้งครรภ์ ต้องใช้ยาที่ไร้กลิ่นไร้สีเพื่อเปลี่ยนชีพจรต่างหาก เหตุใดศิลาเลือดนกเพลิงจึงมีประสิทธิภาพเช่นนั้นได้? ไม่ เป็นไปไม่ได้! นางไม่อยากเชื่อ จ้องมองศิลาเลือดที่แดงดั่งโลหิต จนเหมือนจะมีเลือดไหลออกมาจากหัวใจนางด้วยเช่นกัน !
“ตอนนี้เจ้าคงเชื่อแล้วกระมัง?” ตงฟางจั๋วจ้องนางเขม็ง “คนที่ทำร้ายเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ใช่ข้าตงฟางจั๋ว และก็ไม่ใช่อวี้หลิงหลง แต่เป็นเขา! เป็นเจิ้นหนิงอ๋องตงฟางเจ๋อที่มอบศิลาชั่วนี้ให้เรา!”
“ไม่! เป็นไปไม่ได้!” นางกรีดร้องเสียงแหลม ถลึงตาจ้องเขา หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง แทบไม่อยากเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง!
“เรื่องจริงประจักษ์ตรงหน้าแล้ว หรือเจ้ายังคิดหลอกตนเอง?” ตงฟางจั๋วดวงตาแดงก่ำ
ซูหลีมองศิลาเลือดนกเพลิงที่อยู่บนพื้น พลันกัดฟัน หยิบมันขึ้นมา
ตงฟางจั๋วกับหลีเฟิ่งเซียนตกตะลึง หมายจะร้องห้ามก็ช้าไปแล้ว ศิลางามที่ทอประกายแสงสีแดงถูกนางกำไว้ในมือที่ขาวดั่งหิมะแน่น เหมือนเช่นในตอนนั้น
ตงฟางจั๋วกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ราวกับในแต่ละลมหายใจ เขาจะต้องอดกลั้นต่อความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ทุกคนต่างเบิกตากว้าง ไม่กล้าพูดอะไร เวลาประมาณหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ซูหลีรู้สึกวิงเวียนศีรษะ ร่างกายอ่อนแรง ล้มลงบนพื้นอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง
หวั่นซินหน้าเปลี่ยนสี รีบเข้าไปรับตัวนาง เอื้อมนิ้วจับชีพจรที่ข้อมือ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นหลายส่วน
“เป็นเช่นไรบ้าง?” เสียงของตงฟางจั๋วสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
“ทูลท่านอ๋อง เป็นชีพจรตั้งครรภ์เพคะ” เสียงเรียบเฉยของหวั่นซินเหมือนดั่งสายฟ้าฟาดที่สะเทือนแก้วหูของทุกคน ตงฟางจั๋วล้มตัวลงนั่งบนเก้าอี้ มองดวงหน้าซีดขาวไร้สติอันคุ้นเคย ความเจ็บปวดที่หน้าอกทำให้เขาไม่อาจขยับเขยื้อน นี่เป็นผลลัพธ์ที่เขาต้องการไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ก็พิสูจน์เรื่องจริงที่เขาต้องการพิสูจน์แล้วมิใช่หรือ? เหตุใดเมื่อเห็นใบหน้าที่ไร้สติของนาง หัวใจของเขากลับเจ็บจนแทบไม่กล้าหายใจเช่นนี้เล่า? สวรรค์กำลังกลั่นแกล้งเขาอยู่หรือ? ต้องการให้เขาย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่ทำให้เขาเสียใจไปตลอดชีวิตอีกครั้งงั้นหรือ?
ยามซูหลีฟื้นขึ้นมา คนส่วนมากได้ถอยออกไปยืนอยู่นอกฉากกั้นลมแล้ว หลีเฟิ่งเซียนนั่งอยู่บนโต๊ะ สีหน้าผันเปลี่ยนไปมา ยากจะคาดเดาอารมณ์ที่แท้จริง ตงฟางจั๋วนั่งอยู่ข้างๆ กุมมือนางแน่น ราวกับกลัวว่าหากปล่อยมือ นางจะหายไปจากชีวิตเขาทันที บนใบหน้าเย็นชาเต็มไปด้วยความกังวลและเป็นห่วง ครั้นเห็นนางฟื้น ก็รีบกล่าวอย่างเป็นห่วงเป็นใย “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”
…………………………………………………..