ใบหน้าเขาพลันอ่อนโยนลง ดึงมือนางไปกุม แย้มยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “เห็นซูซูเป็นห่วงเช่นนี้ ข้าดีใจยิ่งนัก แต่วันนี้เป็นวันแรกของปี…”
“ท่านอ๋องกลัวเจียงหยวนไม่อยู่?” ซูหลีหันมามอง แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เจียงหยวนผู้นั้นได้ยินว่าไม่มีญาติมิตร อาศัยอยู่เพียงลำพัง จะไปไหนได้เล่าเพคะ? รีบไปกันเถิดเพคะ” นางสั่งหวั่นซินให้เตรียมรถ แล้วดึงเขาเดินออกไปข้างนอก ครั้งนี้เขาไม่ได้บ่ายเบี่ยง ปัญหาทางร่างกายจำเป็นต้องได้รับการรักษาจริงๆ
บนถนนใหญ่ในวันขึ้นปีเงียบสงบมาก ยามบ่ายคล้อยที่มีหิมะตกโปรยปรายเงียบงันจนไม่เหมือนเทศกาลปีใหม่
ซูหลีพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เอ่ยถามอย่างกังวล “ตอนอยู่บนตำหนัก เหตุใดท่านอ๋องจึงล่วงเกินฝ่าบาท ทำให้ฝ่าบาทเสียหน้า ฝ่าบาท…จะลงโทษท่านอ๋องหรือไม่เพคะ?”
แววเย็นชาพาดผ่านใบหน้าหล่อเหลา พริบตาเดียวก็จางหายไป เขาโอบกอดนาง ยิ้มอย่างปลอบใจ “วางใจเถิด เขาสูญเสียโอรสไปคนหนึ่งแล้ว ยามนี้เหลือข้าคนเดียว ถึงจะไม่พอใจอีกแค่ไหน ก็ไม่ทำอะไรข้าหรอก!”
ถึงแม้จะพูดอย่างนั้น แต่หลังจากถูกตงฟางจั๋วบีบบังคับให้สละราชบัลลังก์ เกรงว่านับจากนี้ฮ่องเต้จะยิ่งมีจิตคิดระแวงยิ่งกว่าเดิม
ซูหลีเงียบงันไม่พูดอะไร ยามนี้แม้ตงฟางเจ๋อจะเป็นผู้สำเร็จราชการแทน แต่เขาสูญเสียความไว้วางใจจากฮ่องเต้ไปแล้ว เกรงว่าจากนี้ไปต้องระมัดระวังให้มากขึ้น
รถม้าวิ่งเลี้ยวเข้าโค้งแห่งหนึ่ง ด้านหน้าพลันมีเสียงตวาดดังลั่น ผสมกับเสียงร้องไห้ดังระงม ทำลายความเงียบสงบท่ามกลางหิมะ ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย แหวกม่านรถมองออกไปข้างนอก เห็นเพียงทหารหลายคนกำลังคุมตัวคนจำนวนมากให้เดินออกนอกเมือง ในจำนวนคนเหล่านั้นมีทั้งคนแก่และเด็ก ล้วนเป็นสตรีเพศ ส่วนบุรุษเพศถูกแยกให้อยู่อีกแถวหนึ่ง เสื้อผ้าของพวกเขาทั้งเก่าและขาด หน้าตาดูมอมแมม
ทันใดนั้น หญิงสาวตัวสูงผอมที่เดินนำอยู่ด้านหน้าสุดหันมาตะคอกคนพวกนั้น “ร้องไห้ทำไมกันนักหนา พวกผีขี้ขลาดกลัวตาย! ขายหน้าท่านอ๋องหมด!”
ไม่มีใครสนใจนาง เสียงร้องไห้มีแต่จะยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ สตรีนางนั้นกัดฟันอย่างเจ็บแค้น ท่าทางรำคาญเต็มที นางหันหน้าเล็กน้อย บังเอิญเห็นดวงหน้าของซูหลีที่อยู่ตรงหน้าต่างรถพอดี สายตารำคาญพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นสุดแสน ราวกับต้องการจับซูหลีถลกหนังเลาะกระดูกทั้งเป็น
ตงฟางเจ๋อเอื้อมมือปิดม่านรถ พลางเอ่ยเสียงเบา “อย่าดูอีกเลย”
ซูหลีถอนหายใจ “ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ลงโทษคนในจวนจิ้งอันอ๋องเช่นไรเพคะ?”
“เนรเทศ” เขากล่าวด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์
ซูหลีอ้าปากหมายจะพูดแต่ก็หุบปาก บีบบังคับให้สละราชบัลลังก์ โทษใหญ่หลวงขนาดนั้นมากพอที่จะสั่งตัดหัวเก้าชั่วโคตร ทั้งจวนอ๋อง นอกจากองครักษ์ประจำกาย เกรงว่าจะมีคนมากถึงสองสามร้อยคน เพียงสั่งเนรเทศมิได้สั่งให้ประหารทิ้งทั้งหมด ถือว่าเป็นการตัดสินโทษสถานเบาแล้วจริงๆ
ยามนี้เอง รถม้าพลันหยุดเคลื่อน ซูหลีหมายจะถาม กลับได้ยินหวั่นซินกล่าว “คุณหนูเจ้าคะ เป็นคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”
ซูหลีอึ้งงัน รีบแหวกม่านรถม้า เห็นรถม้าของซูฉุนกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาจริงๆ ด้านหลังรถกลับมีกล่องขนาดเล็กใหญ่สิบกว่ากล่องถูกลากมาด้วย นางอดร้องถามไม่ได้ “พี่ใหญ่ ท่านจะเดินทางไกลหรือเจ้าคะ?”
รถม้าค่อยๆ หยุดจอด ม่านรถถูกแหวกขึ้น ซูฉุนชะโงกหน้าออกมา คล้ายประหลาดใจเล็กน้อย ร้องถาม “ซูซู?! เจ้าไม่สบายไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงออกมานอกจวนเล่า?”
ความเป็นห่วงเป็นใยถูกแสดงออกมาจากใจอย่างเป็นธรรมชาติ ซูฉุนยังคงสวมอาภรณ์ผ้าต่วนและมีใบหน้างดงามดั่งหยก ยังคงอบอุ่นเช่นเคย เพียงแต่หว่างคิ้วปรากฏร่องรอยความเศร้าโศกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน คล้ายมีเรื่องใดกวนใจเขาอยู่
ซูหลีลงจากรถ กล่าวเสียงเบา “อยู่บ้านข้าเบื่อ เลยออกมาเดินเล่นสักหน่อยเจ้าค่ะ”
ซูฉุนกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ “อ้อ ท่านพ่อเป็นห่วงเจ้ามาก เห็นว่าเจ้าไม่สบาย กำลังหารือกับท่านแม่อยู่พอดีว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมเจ้าที่จวนท่านหญิง”
ซูหลีแย้มยิ้ม “ท่านพ่อมักเป็นกังวลเสมอ แล้วนี่พี่ใหญ่จะไปไหนหรือเจ้าคะ?”
“สองวันก่อนข้าพบว่า ‘เฉิงฟงหยาซ่ง’ มีช่องโหว่และจุดที่ไม่เหมาะสมอีกหลายจุด เช้านี้รีบทูลให้ฝ่าบาททราบ จึงได้รับพระราชทานอนุญาต หมายจะนำร่างต้นฉบับอันเก่าไปขอคำชี้แนะจากเหล่าท่านผู้อาวุโสอีกครั้ง” ซูฉุนกล่าวด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “เจ้าจะไปที่ใด? ให้ข้าไปส่งเถิด”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ” ซูหลีหันกลับไปมองม่านรถที่ปิดสนิทโดยสัญชาตญาณ คนด้านในรถผู้นั้นดูเหมือนไม่คิดจะปรากฏตัว นางจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เอ่ยว่า “ซูหลีขอให้พี่ใหญ่เดินทางราบรื่น ไม่ทราบว่าจะกลับมายามใดเจ้าคะ?”
ซูฉุนกล่าว “ข้าอยากฉวยโอกาสท่องยุทธภพเพื่อเพิ่มพูนความรู้ไปด้วย ได้ทูลลาฝ่าบาทไปร่ำเรียนวิชาที่สำนักฮั่นหลินเรียบร้อยแล้ว ยังไม่มีกำหนดกลับ” ใบหน้าอบอุ่นปรากฏแววเศร้าสร้อย แววเหน็ดเหนื่อยปรากฏกลางหว่างคิ้ว
ซูหลีสะท้านใจเล็กน้อย นึกขึ้นได้ว่าเขากับตงฟางจั๋วเป็นสหายรัก ตงฟางจั๋วตาย เขาต้องทุกข์ใจมากแน่ๆ จึงได้อาศัยการเรียบเรียง ‘เฉิงฟงหยาซ่ง’ ใหม่เป็นข้ออ้างเพื่ออยู่ให้ห่างจากราชวังก็เป็นได้ นางถอนหายใจ กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
ซูฉุนแย้มยิ้ม สายตาอ่อนโยนจดจ้องดวงหน้านาง พลันรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา จึงกล่าวว่า “ซูซู พี่ใหญ่ไปครั้งนี้ พวกเราพี่น้องไม่รู้จะได้พบกันอีกครั้งเมื่อใด เจ้า ไปส่งพี่ใหญ่สักครั้งได้หรือไม่?”
ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย เดิมทีนางสมควรไปส่งอยู่แล้ว เพียงแต่บนรถยังมีคนอีกผู้หนึ่งอยู่…ครั้นเห็นซูฉุนจ้องหน้านางนิ่ง คล้ายกำลังรอคอยคำตอบนาง แล้วยังมี…ความกังวลที่ดูไม่เป็นธรรมชาติอีกหนึ่งส่วน นับตั้งแต่ที่นางใช้ชีวิตในฐานะซูหลี คนที่ปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ซูฉุนเป็นหนึ่งในคนส่วนน้อยที่ว่า ซูหลีจึงใจอ่อน อดไม่ได้ที่จะตอบตกลง “ได้เจ้าค่ะ”
ซูฉุนมีสีหน้าดีอกดีใจ ก่อนจะหันไปมองกล่องด้านหลังรถม้าของตนเอง แล้วเอ่ยอย่างหนักใจ “ข้ามีตำรามากเกินไป รถม้าของซูซู ช่วยแบ่งไปสักสองกล่องได้หรือไม่? เจ้ามานั่งรถของข้า เช่นนี้พวกเราจะได้เดินทางเร็วขึ้นหน่อย”
ซูหลียังไม่ทันพูดอะไร กลับได้ยินหวั่นซินกล่าวว่า “คุณหนูเจ้าคะ ด้านหลังรถวางกล่องได้สองกล่องพอดีเจ้าค่ะ”
ซูหลีเห็นว่าด้านหลังม่านรถยังคงเงียบงัน จึงทำได้เพียงถอนหายใจ “เอาเถิด ข้าจะนั่งรถพี่ใหญ่ พวกเจ้าตามหลังมาก็แล้วกัน”
ซูฉุนสำราญยิ่ง รีบให้เด็กรับใช้ประจำกายและหวั่นซินย้ายกล่องที่ค่อนข้างใหญ่สองกล่องไปวางด้านหลังรถของซูหลี จากนั้นรถม้าสองคันก็เคลื่อนตัวออกจากประตูเมือง ทหารเฝ้าประตูเมืองได้ผลัดเปลี่ยนเวรยามชุดใหม่แล้ว ไม่รู้ว่าได้รับคำสั่งมาจากผู้ใด พวกเขาตรวจสอบคนที่เดินทางออกจากเมืองอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ ครั้นเห็นว่ามีรถมา ทหารสามสี่คนก็ล้อมเข้ามาทันที พร้อมกับร้องถามว่า “กล่องมากมายขนาดนี้ ข้างในใส่สิ่งใดไว้?”
ซูฉุนตอบเสียงเรียบ “ตำราบทกวีจำนวนหนึ่ง”
หนึ่งในกลุ่มคล้ายมีตำแหน่งเป็นรองหัวหน้า เขาจำซูฉุนได้ จึงรีบกล่าว “ท่านชายโปรดเปิดให้ดูสักหน่อย พวกข้าจำต้องตรวจสอบตามกฎระเบียบ”
ซูฉุนขมวดคิ้วเล็กน้อย สั่งเด็กรับใช้ประจำกายให้ไขกุญแจกล่อง แล้วกล่าวเสียงเบา “เชิญ”
ยังกล่าวไม่ทันจบ คนผู้นั้นก็สาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้ามาข้างหน้า เปิดฝากล่องด้วยท่าทางหยาบกระด้าง นึกไม่ถึงวันนี้ลมแรง ครั้นฝากล่องถูกเปิด สายลมหนาวพลันพัดม้วนเอาแผ่นกระดาษปลิวว่อนกลางอากาศ พริบตาเดียวกระดาษปลิวกระจัดกระจายไปทั่ว
ซูฉุนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รีบยื่นมือเข้าไปคว้า กลับสู้ลมหนาวที่พัดกระโชกแรงไม่ไหว ครั้นเห็นว่ามีกระดาษบางส่วนถูกลมพัดร่วงลงบนพื้น ถูกคนที่เดินผ่านเหยียบเข้าโดยไม่ตั้งใจ ประทับรอยเท้าสีดำขนาดใหญ่ทิ้งไว้ ซูฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวดทันที ใบหน้าที่เคยอ่อนโยน ยามนี้เคร่งขรึมลงหลายส่วน
ซูหลีรู้ว่าตำราเหล่านี้ล้วนเกิดจากความทุ่มเทของเขา แต่ทหารที่เป็นรองหัวหน้าผู้นั้นยังทำท่าจะเปิดฝากล่องใบอื่นเพื่อตรวจสอบอีก ไม่สนใจกระดาษล้ำค่าเหล่านั้นที่ถูกลมพัดปลิวแม้แต่น้อย
นางพลันไม่พอใจอย่างยิ่ง แหวกม่านลงจากรถ หันไปตำหนิเหล่าทหารที่มัวแต่ยืนอึ้งไม่ขยับ “พวกเจ้ายังไม่รีบเข้ามาช่วยเก็บอีกหรือ? นี่เป็นต้นฉบับของหนังสือ ‘เฉิงฟงหยาซ่ง’ ที่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เรียบเรียงใหม่ด้วยพระองค์เองเชียวนะ หากเกิดความเสียหาย แล้วส่งผลกระทบต่อการเรียบเรียงใหม่ พวกเจ้ารับผิดชอบไหวหรือ?”
ผู้คนรอบข้างตกตะลึง หันไปมองทหารรองหัวหน้าโดยสัญชาตญาณ ทหารนายนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักซูหลี เขาขมวดคิ้วมองพิจารณาซูหลีขึ้นลง “เจ้าเป็นใคร?” น้ำเสียงดูแคลนเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจที่สตรีซึ่งจู่ๆ โผล่หน้ามาจากที่ใดไม่รู้ถึงขั้นกล้าออกคำสั่งกับคนของเขา
…………………………………………………..