เซิ่งเซียวมาส่งจดหมายของตงฟางเจ๋อทุกเช้าตรู่ เดิมทีนึกว่าคนที่เงียบขรึมและเก็บตัวเช่นเขาจะไม่ถนัดพูดคำหวานเอาใจคนเท่าใดนัก แต่ทุกครั้งที่ซูหลีคลี่จดหมาย อักษรไม่กี่ตัวบนนั้น กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และมักจะทำให้นางหน้าแดงใจเต้น บังเกิดความรู้สึกหอมหวานในใจ
วันเวลาอันสงบสุขและเรียบง่ายในอารามฝอกวง การมาเยือนที่ไม่เคยขาดแม้ฝนตกฟ้าร้องของเซิ่งเซียวได้กลายเป็นความคาดหวังเล็กๆ ในใจนางไปแล้ว
หลังบ่ายของวันนี้ เซิ่งเซียวเพิ่งจากไป ซูหลีนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะหนังสือ จับพู่กันคัดบทพระธรรมต่อ กลับได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมาจากนอกเรือน นางพลันประหลาดใจ ตามหลักแล้วนอกจากเซิ่งเซียว ก็ไม่มีใครมาที่นี่อีก
‘ก๊อกๆ’ เสียงเคาะประตูดังเบาๆ
โม่เซียงเดินไปเปิดประตู สายลมหนาวเย็นพัดเข้ามาด้านใน
ซูหลีเงยหน้ามองไป เห็นเพียงสตรีนางหนึ่งยืนอยู่ สวมเสื้อขนสัตว์สำหรับหน้าหนาวสีขาวหิมะ เรือนร่างบอบบาง ดวงหน้าเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามืออยู่ใต้ปีกหมวกกว้าง หว่างคิ้วแฝงแววเศร้าโศก ขับเน้นให้นางยิ่งดูน่าทะนุถนอม กลับเป็นหลีเหยา
ซูหลีวางพู่กันในมือลงอย่างไม่รู้ตัว กล่าวอย่างประหลาดใจยิ่ง “เหยาเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่าไร? รีบเข้ามาเร็วเข้า!”
นัยน์ตางามของนางแฝงไว้ด้วยแววสำนึกผิด “เหยาเอ๋อร์มาเยี่ยมพี่สาวซูเจ้าค่ะ หลายวันมานี้ พี่สาวลำบากแล้ว”
พี่สาวซู? การขานเรียกที่เปลี่ยนไป ทำให้หัวใจซูหลีไหวสั่นเล็กน้อย นับจากที่อวี้หลิงหลงปลิดชีพตนเองต่อหน้าธารกำนัลบนตำหนักจินหลวน ในใจของทั้งสองก็มีกำแพงที่มองไม่เห็นก่อตัวขึ้น หลังจากนั้นก็พบกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่การพูดคุยกลับไม่สนิทสนมดังเช่นแต่ก่อนแล้ว ยามนี้ได้ยินนางเรียกตนเองว่าพี่สาวอีกครั้ง จึงอดสงสัยไม่ได้ ซูหลีรีบพาหลีเหยาเข้ามาในเรือน แล้วกำชับให้โม่เซียงนำชามาต้อนรับ
ซูหลีพิจารณาสีหน้านาง แล้วกล่าวเสียงเบาอย่างทอดถอนใจ “เพียงคัดบทพระธรรมเท่านั้น มีเรื่องใดลำบากกัน? อารามฝอกวงสงบเงียบเพียงนี้ กลับสมใจข้าเสียอีก”
หลีเหยาก้มหน้าอย่างเศร้าหมอง “พี่สาวซูสืบหาความจริงเพื่อเจิ้นหนิงอ๋อง ไม่กลัวที่จะเสี่ยงอันตราย ใจหลีเหยาอิจฉาพี่สาวยิ่งนัก”
ซูหลีอึ้งงันเล็กน้อย เห็นดวงตาใสกระจ่างของนางคล้ายเต็มไปด้วยความกังวล จึงอดถามไม่ได้ “เหตุใดหลีเหยาจึงกล่าวเช่นนี้?”
หลีเหยายิ้มอย่างอ่อนแอ “พี่สาวกับเจิ้นหนิงอ๋องมีใจดวงเดียวกัน แม้ตายก็ไม่เปลี่ยนแปลง บนโลกนี้การที่มีคนจริงใจคอยดูแลเอาใจใส่ มิใช่ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหรอกหรือเจ้าคะ? หากหลีเหยาโชคดีเช่นนี้บ้าง แม้ต้องคัดพระธรรมไปสิบปีก็ยอม”
ซูหลีถูกคำพูดของนางทำให้หัวใจสั่นไหว ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เด็กโง่ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าในอนาคตจะไม่มีคนที่แม้ตายก็ไม่เปลี่ยนใจจากเจ้า?”
สีหน้าหลีเหยาหม่นหมองลงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็รีบคลี่ยิ้ม กล่าวอย่างกระฉับกระเฉง “พี่สาวเป็นคนดีฟ้าย่อมคุ้มครอง จึงสามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้ เพียงแต่นึกไม่ถึง ฮองเฮาภายนอกแสร้งทำเป็นมีคุณธรรม แท้จริงกลับทำเรื่องน่ากลัวไว้มากมายเพียงนี้ ได้ยินเสด็จพ่อบอกว่า จิ้งอันอ๋องยังคงพยายามรวบรวมเหล่าขุนนาง เพื่อถวายฎีกาขอร้องฝ่าบาทแทนนาง หวังว่าจะสามารถผ่อนโทษหนักให้กลายเป็นเบาได้”
ซูหลีได้ยินกลับไม่แปลกใจ ด้วยนิสัยของตงฟางจั๋ว เขาจะทนมองฮองเฮาตกนรกโดยไม่ทำอะไรเลยได้อย่างไร? เพียงแต่ครั้งนี้ ไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าไร ก็เกรงว่าคงจะเปล่าประโยชน์
นางเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “อย่างไรฮองเฮาก็เป็นมารดาของจิ้งอันอ๋อง ที่เขาทำเช่นนี้ก็เป็นธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ฮองเฮากระทำไว้ เหตุผลส่วนใหญ่ก็ล้วนทำไปเพื่อเขา เพียงแต่นางใช้วิธีผิดๆ ทำร้ายคนอื่นจนสุดท้ายผลเสียย้อนกลับมาหาตนเอง กล่าวกันตามจริงแล้ว นางก็เป็นเพียงคนน่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น”
หลีเหยาอึ้งงันเล็กน้อย “น่าสงสาร? ท่านคิดกับนางเช่นนี้หรือเจ้าคะ? นางใช้อุบายลอบทำร้ายเจิ้นหนิงอ๋อง ซ้ำยังเกือบทำร้ายท่านไปด้วย ข้านึกว่าพี่สาวซูจะเกลียดชังนางมาก”
“เกลียดชัง?” ซูหลีแย้มยิ้มบางเบา ส่ายหน้าแล้วกล่าวอย่างไม่แยแส “คนที่น่าเกลียดชัง ก็มีเรื่องน่าสงสารอยู่ เรื่องผ่านไปแล้ว จะเกลียดชังอีกให้ได้อะไรขึ้นมา” นางหันมาเอ่ยกับหลีเหยาด้วยรอยยิ้ม “เหยาเอ๋อร์มาหาข้าวันนี้ ใช่มีเรื่องในใจหรือไม่?”
หลีเหยาทำหน้าลังเล มองหน้าซูหลีแล้วขยับปากทำท่าจะพูด แต่กลับพูดไม่ออก นางพลันลุกพรวด ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ซูหลีตกใจ รีบประคองนางขึ้น “เหยาเอ๋อร์ทำอะไร? มีเรื่องใดก็พูดมาตรงๆ เถิด!”
“พี่สาวซู…” นางสะอื้นไห้ พูดอะไรไม่ออก
ซูหลีสังเกตสีหน้านาง ในใจพลันสงสัย เอ่ยถามเสียงเบา “เจ้า…เป็นห่วงว่าเรื่องของฮองเฮา จะเดือดร้อนไปถึงจวนเซ่อเจิ้งอ๋องใช่หรือไม่? เจ้าวางใจเถิด เจิ้นหนิงอ๋องไม่ใช่คนจิตใจคับแคบ เขาชื่นชมความกล้าหาญชาญชัยของเซ่อเจิ้งอ๋องมาโดยตลอด เขาเคยพูดให้ข้าฟังไม่ใช่เพียงครั้งเดียว ว่าหากมีท่านอ๋องคอยช่วยเหลือ อนาคตแคว้นเฉิงอาจสามารถรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งได้!”
หลีเหยาได้ยิน ก็เงยหน้ามองนางอย่างตกตะลึง คล้ายดีใจสุดแสน แต่ก็เหมือนไม่อยากจะเชื่อ น้ำตาหลั่งไหลออกมาทันที
“เจ้าอย่าร้องไห้เลย” ซูหลีรีบดึงนางมานั่งข้างกาย พลางเอ่ยปลอบเสียงเบา “เจ้าวางใจได้ เซ่อเจิ้งอ๋องจะต้องไม่เป็นไรแน่นอน”
หลีเหยากลับส่ายหน้า กล่าวอย่างเจ็บปวด “วันนี้ข้ามาหาพี่สาว ที่จริงแล้วเพราะเรื่องอื่นเจ้าค่ะ พี่สาว…ยังจำได้หรือไม่เจ้าคะ ก่อนที่ท่านแม่ของข้าจะตาย นางได้มอบกำไลหยกของนางไว้ให้ข้าดูต่างหน้า?”
ซูหลีชะงักไปเล็กน้อย หันมองก็เห็นกำไลหยกสีมรกตที่อยู่บนข้อมือบอบบางของหลีเหยาทันที ภาพเหตุการณ์อันน่าอนาถในยามนั้น พลันผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง ทำให้นางขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว ดูจากสีหน้าของหลีเหยาแล้ว หรือกำไลหยกวงนี้มีปัญหาอะไร?
ใบหน้าหลีเหยาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นางลูบกำไลหยกบนข้อมือเบาๆ แล้วกล่าวอย่างหนักแน่น “นางทิ้งของสิ่งนี้ไว้ก่อนจากไป เดิมทีข้านึกว่านางเพียงอยากทิ้งไว้ให้ข้าดูต่างหน้า แต่นึกไม่ถึงว่าท่านแม่จะซ่อนความลับไว้ในนี้ ความลับที่เกี่ยวข้องกับฮองเฮา!”
“ฮองเฮา?!” ซูหลีมองนางด้วยความตกตะลึง
หลีเหยาน้ำตาไหลพราก “พี่สาวซู ท่านแม่ของข้า…ท่านแม่ของข้าถูกฮองเฮาบีบบังคับให้ต้องตาย!” นางถอดกำไลหยก แล้วกล่าวเสียงร้อนใจ “พี่สาว ท่านดูด้านในของกำไลวงนี้ สลักอักษรสองตัวไว้ใช่หรือไม่?”
ซูหลีเพ่งมอง ด้านในของหยกสีเขียวมรกต สลักอักษรสองตัวที่เล็กมากไว้จริงๆ ‘จื๋อสุ่ย’
จื๋อสุ่ย? นี่มันหมายความว่าเช่นไร? นางมองหลีเหยาด้วยสายตาสงสัยระคนตกใจ
หลีเหยากล่าวด้วยเสียงเศร้าสร้อย “ข้าจำได้ว่ากำไลวงนี้ฮองเฮาเป็นคนมอบให้ท่านแม่ของข้า ตอนแรกด้านในไม่ได้สลักอักษรไว้ ก่อนจะไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักนางสังหรณ์ใจไม่ดี จึงได้แอบสลักอักษรไว้ ก่อนตายมอบมันให้กับข้า แสดงว่าจะต้องมีความหมายที่สำคัญมากแน่ๆ ต่อมาข้าเก็บกวาดของของท่านแม่ พลันนึกขึ้นได้ว่าท่านแม่มีสร้อยคอเส้นหนึ่งชื่อว่าจื๋อสุ่ย”
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ อวี้หลิงหลงมีสร้อยคอหยกที่สวยมากอยู่เส้นหนึ่งจริงๆ จี้สร้อยเป็นรูปคล้ายหยดน้ำ จึงตั้งชื่อว่าจื๋อสุ่ย เป็นของขวัญวันเกิดที่หลีเฟิ่งเซียนมอบให้นาง
“ข้าแปลกใจมาก จึงหยิบจื๋อสุ่ยขึ้นมาตรวจสอบดูอย่างละเอียด แล้วจึงพบว่ากล่องไม้ที่เก็บจื๋อสุ่ยมีความลับซ่อนอยู่!” สายตาเคียดแค้นปรากฏในดวงตาของนางหลายส่วน ลมหายใจกระชั้นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว สองมือกำแน่น สีหน้าเริ่มซีดขาว
ซูหลีหัวใจเต็นเร็วขึ้น ความลับ? ความลับที่เกี่ยวข้องกับฮองเฮา จะเป็นอะไรกันนะ?
“ท่านแม่ของข้าทิ้งกระดาษข้อความแผ่นเล็กมากๆ แผ่นหนึ่งไว้ที่ก้นกล่อง พี่สาวซู ท่านอยากดูหรือไม่?!” ใบหน้าซีดเผือดของนางหันมองซูหลี สายตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ซูหลีกลับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ได้แต่มองนางคลี่นิ้วมืออย่างเหม่อลอย กระดาษข้อความแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งพลันปรากฏกลางฝ่ามือดังคาด สิ่งของเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตานี้ อาจซ่อนความลับสะท้านฟ้าสะเทือนแผ่นดินเอาไว้! ซูหลีสูดหายใจลึก แล้วรับมาอย่างระมัดระวัง
………………………………………….