คำว่า ‘หม่อมฉันเชื่อเขา’ ทิ่มแทงหัวใจเขาอย่างรุนแรง ตงฟางจั๋วหายใจอย่างยากลำบาก เขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อขัดขวางไม่ให้นางแต่งงานกับคนร้ายที่ทำร้ายพวกเขา เขากลัวว่านางจะถูกทำร้ายอีก แต่นางกลับบอกว่านางเชื่อใจคนผู้นั้น! นางไม่เคยเชื่อใจเขาเลย!
อาภรณ์มังกรสีเหลืองอร่ามสะดุดตา ลวดลายมังกรกางกรงเล็บที่ปักด้วยด้ายสีทองแหงนหน้ามองเขา ราวกับกำลังหัวเราะเยาะความไร้เดียงสาของเขา เขาพลันกางแขนออก แหงนหน้าคำรามเสียงดังลั่น กระแสลมรุนแรงพลันปะทุ อาภรณ์สีเหลืองอร่ามและมงกุฎฮ่องเต้อันล้ำค่าทนรับกำลังภายในอันแข็งแกร่งไม่ไหว ฉีกกระจุยกระจายไปคนละทิศคนละทาง ดั่งอาวุธแหลมคมที่สามารถคร่าชีวิตผู้คนได้
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี รีบถอยกรูดทันที คนที่หลบไม่ทันถูกเศษอาภรณ์หรือไม่ก็เศษมงกุฎจู่โจม เสียงกรีดร้องงดังระงมไปทั่วตำหนัก
ตงฟางจั๋วที่ยืนอยู่บนบันไดสู่บัลลังก์ ผมเผ้ายุ่งเหยิง สายตาเศร้ารันทดสุดแสน เหมือนคนบ้าที่ถูกบีบให้จนมุม ถูกความเจ็บปวดแสนสาหัสกัดกินสติปัญญาสุดท้ายที่มีอยู่
“ทหาร!” เสียงคำรามเยือกเย็นน่าเกรงขามของฮ่องเต้ดึงสติของทุกคนในตำหนักกลับมา เขามีสีหน้าตึงเครียด ยกมือขึ้นโบกกลางอากาศเบาๆ หยวนเซี่ยงรีบพาคนวิ่งเข้ามาในตำหนัก
เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างพากันหลีกทางอย่างรวดเร็ว ทหารองครักษ์วิ่งเข้ามาล้อมตงฟางจั๋ว กลับไม่กล้าเข้าใกล้มากนัก เห็นชัดว่ายังหวาดกลัวกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย
ประกายคมปลาบเย็นชาของกระบี่ส่องแสงวิบวับแยงตา
ไม่มีผู้ใดยืนปกป้องอยู่เบื้องหน้าเขา
มีแค่เขาคนเดียว
ตงฟางจั๋วยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาจ้องมองไปยังเก้าอี้มังกรที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุด ยังไม่ทันขึ้นไปถึงตำแหน่งนั้น เขาก็กลายเป็นคนที่อ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างแท้จริงเสียแล้ว! ครั้นหันกลับมามองอีกทาง บนใบหน้าของฮ่องเต้ไม่มีวี่แววปวดใจของผู้เป็นบิดาที่มีต่อบุตรชายตนเองแม้แต่น้อย สิ่งที่มี คือความเย็นชาและโกรธขึ้ง มีเพียงสีหน้าของกษัตริย์ที่ถูกขุนนางของตนเองก่อกบฏเท่านั้น
ครั้นเห็นฮ่องเต้ย่างกรายมาที่บันไดสู่บัลลังก์ทีละก้าวๆ สายตาเขาคมปลาบดั่งมีด ไอพิฆาตที่แทบจะกลายเป็นบ้าคลั่งพาดผ่านหางตา
หยวนเซี่ยงเกลี้ยกล่อมเสียงเย็น “จิ้งอันอ๋อง ท่านไร้หนทางให้เดินต่อแล้ว ยอมจำนนแต่โดยดีเถิด”
ตงฟางจั๋วหัวเราะเย็นชา วันนี้เขาเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมหมดแล้ว สิ่งเดียวที่ไม่ได้เตรียมไว้ ก็คือการยอมแพ้! สองแขนพลันกางออก กำลังภายในอันแข็งแกร่งจู่โจมเหล่าทหารรอบกายจนกระเด็นกระดอน เขาพุ่งตัวไปทางฮ่องเต้ด้วยความเร็วดั่งพายุ หยวนเซี่ยงหน้าเปลี่ยนสี ตะโกนเสียงดัง “ปกป้องฝ่าบาท!”
ทหารองครักษ์รีบพุ่งตัวเข้าไปปกป้องฮ่องเต้ ตงฟางจั๋วกลับตีลังกาพลิกกายไปด้านหลังเก้าอี้มังกรในพริบตา ในฝ่ามือใหญ่พลันปรากฏประกายไฟ กลับเป็นตะบันไฟที่ถูกจุดแล้ว เขาหันกลับมาตวาดเสียงเกรี้ยว “ห้ามเข้ามา! ไม่เช่นนั้นทุกคนที่นี่จะต้องตายไปพร้อมกับข้า!”
สีหน้าเหี้ยมเกรียม น้ำเสียงเย็นชา เหล่าทหารองครักษ์ที่ไล่ตามมาชะงักเท้าทันที
ชนวนระเบิดที่ถูกติดตั้งไว้ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ถูกเขาดึงออกมาจากด้านหลังเก้าอี้มังกร แล้วกำไว้ในมือแน่น
ทุกคนต่างตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง พากันวิ่งหนีออกจากตำหนักอย่างล้มลุกคลุกคลาน ตงฟางจั๋วกระตุกมุมปาก แค่นยิ้มอย่างเย็นชา กล่าวว่า “พวกเจ้าคงคิดไม่ถึงว่าข้าจะซ่อนระเบิดไว้ตรงนี้”
ซูหลีตกใจ ตงฟางจั๋วในยามนี้ดวงตาแดงก่ำ ความโกรธแค้นและสิ้นหวังบนใบหน้าเขาชัดเจนกว่าวันนั้นที่ลานประหารมาก แม้แต่ตงฟางเจ๋อที่ใจเย็นมาตั้งแต่ต้นก็ยังหน้าเปลี่ยนสีโดยไม่รู้ตัว
ฮ่องเต้หน้าเขียวทันที ตวาดตำหนิเสียงดังลั่น “ทรพียิ่ง! เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ากลับยังไม่สำนึกผิดอีก! เสียแรงที่ข้ารักและเอ็นดูเจ้ามาตลอดหลายปี ข้าอุตส่าห์คาดหวังในตัวเจ้า เจ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนี้ ช่างทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก!”
เสียงตะคอกตำหนิอย่างจงเกลียดจงชัง หากเป็นแต่ก่อนตงฟางจั๋วจะต้องรู้สึกทุกข์ใจมากแน่นอน แต่ยามนี้เขากลับรู้สึกเพียงน่าขันยิ่งนัก
“ท่านน่ะหรือรักและเอ็นดูข้า?” ตงฟางจั๋วแสยะยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาที่แดงก่ำเต็มไปด้วยความชิงชัง เขาหัวเราะเสียงดังอย่างไม่หวาดกลัวสิ่งใด ฮ่องเต้หน้าบึ้งตึงกว่าเก่า หมายจะระเบิดโทสะแต่ก็อดทนไว้
เสียงหัวเราะเงียบลง สายตาเย็นชาของตงฟางจั๋วจ้องมองฮ่องเต้ “ตอนหกขวบ ท่านพูดต่อหน้าพระอาจารย์ว่าข้ามีคุณสมบัติไม่เทียบเท่าตงฟางเจ๋อ เพราะประโยคนี้ ข้าจึงพยายามทุกอย่างอย่างสุดความสามารถ แม้แต่ในความฝันก็ยังท่องตำราฝึกวรยุทธ์…ท่านรู้หรือไม่?”
สายตาฮ่องเต้ขรึมลงเล็กน้อย ไม่พูดอะไร
ตงฟางจั๋วหัวเราะเย็นชา แล้วกล่าวอีกว่า “เพื่อให้ได้รับคำชมเพียงประโยคเดียวจากท่าน ข้ากลับไม่รู้ต้องทุ่มเทความพยายามตั้งมากมายเท่าใด!…ตั้งแต่เล็ก เสด็จแม่เลี้ยงดูข้าอย่างเข้มงวด คำที่นางพูดบ่อยที่สุดในแต่ละวัน คือเสด็จพ่อโปรดสิ่งนี้ ไม่โปรดสิ่งนั้น ข้าไม่อาจทำสิ่งใด ทำแล้วเสด็จพ่อจะกริ้ว…”
ฮ่องเต้หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ทว่ากลับเพียงหลุบตา ยังคงไม่พูดอะไร
“เพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากท่าน หลายปีมานี้ ข้าไม่กล้าเกียจคร้านแม้แต่วันเดียว กดดันตัวเองให้พยายามอย่างสุดชีวิต ยอมทิ้งความชอบทุกอย่าง ผลสุดท้าย…ข้าเป็นคนอารมณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนแทบไม่อาจควบคุมตนเองได้! แต่ไม่ว่าข้าจะพยายามเท่าไร ในหัวใจของท่าน ข้าก็ยังไม่มีอะไรสู้ตงฟางเจ๋อได้สักอย่าง!” เขากำหมัดแน่น ความเศร้าเสียใจและไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแผ่ปุกคลุมรอบตัว
ฮ่องเต้ขยับกลีบปากเล็กน้อย แต่จู่ๆ กลับถอนหายใจ ซูหลีอดไม่ได้ที่จะเบือนหน้าหนี ทำใจมองเขาอีกไม่ได้ ถึงแม้เขาจะไม่ดีสักเพียงใด แต่ที่เดินมาจนถึงจุดนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาคนเดียว
“ในหัวใจของข้า เคยนับถือท่านดั่งเทพสวรรค์! ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าเคยขอร้องท่านเพียงสองครั้งเท่านั้น” สายตาของตงฟางจั๋วพลันเย็นเยียบ “ครั้งแรก ข้านั่งคุกเข่าตากฝนอยู่หลายชั่วยาม ขอร้องท่านให้ย้ายสุสานหลีซูพระชายาของข้าเข้ามาในสุสานราชวงศ์ ท่านกลับหยิบถ้วยชาปาหัวข้าอย่างไร้ความปรานี” เขายกมือแตะหน้าผากด้านซ้าย รอยยิ้มบิดเบี้ยวเศร้าโศก “ตรงนี้อย่างไรเล่า”
เสียงอันขมขื่นดังก้องอยู่ในตำหนักอันโอ่อ่าใหญ่โต ทำให้ผู้คนรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งใจ เหตุการณ์ในวันนั้นราวกับวนกลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง ซูหลีลอบถอนใจ นางกลั้นหายใจ รู้สึกหดหู่อย่างมิอาจเลี่ยงได้
“ครั้งที่สอง เสด็จแม่ถูกตัดสินโทษ ข้าคุกเข้าอยู่นอกห้องหนังสือของท่านหนึ่งวันหนึ่งคืน ขอร้องท่านให้ลงโทษนางสถานเบา ถึงแม้นางทำความผิด โทษตายหมื่นครั้งก็ยังไม่สาสม! แต่นางคลอดและเลี้ยงดูบุตรเพื่อท่าน แม้ไร้ผลงานแต่นางก็เคยเพียรพยายามเพื่อท่าน ท่านเห็นแก่ข้า ไว้ชีวิตนางสักหนไม่ได้เชียวหรือ?” เขาส่ายหน้าเบาๆ ดวงตาอันเศร้าสร้อยจนใจเต็มไปด้วยความอ้างว้างเดียวดาย
“ไม่…เรื่องเหล่านี้ไม่เคยอยู่ในใจท่านสักนิด ในสายตาท่าน แม้ไม่มีเสด็จแม่ของข้า ท่านก็ยังมีสตรีอีกมากหน้าหลายตา! แม้ไม่มีข้า ท่านก็ยังมีโอรสองค์อื่น แต่เสด็จแม่ของข้ามีท่านเป็นสวามีเพียงผู้เดียว และมีข้าเป็นโอรสเพียงคนเดียว! เมื่อไม่ได้รับความรักจากสวามี ในวังหลังอันเย็นชาแห่งนั้น สิ่งที่นางพอจะร้องขอได้ ก็เหลือเพียงอนาคตของโอรสเช่นข้าเท่านั้น…”
ทั่วตำหนักเงียบกริบไร้สรรพเสียง
มีเพียงเสียงอันขมขื่นของเขาที่ดังกระแทกหัวใจของทุกคน การแก่งแย่งแข่งขัน บ่อนทำลายซึ่งกันและกันในวังหลัง เกิดขึ้นและสืบเนื่องตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน หัวใจของฮ่องเต้นั้น ความรักและครอบครัวอย่างไรก็ไม่สำคัญเท่าความมั่นคงของบัลลังก์!
ซูหลีเหลือบมอง พลันค้นพบว่าหลีเหยาที่ยืนอยู่ข้างกายหลีเฟิ่งเซียนน้ำตาอาบหน้า ราวกับคำพูดของตงฟางจั๋วได้สะกิดแผลในใจนางเข้าเต็มๆ สายตานางเจ็บปวดเศร้าสร้อย ซูหลีหัวใจสะท้าน อึ้งงันไม่รู้ตัว
นางหันไปมองตงฟางเจ๋อ เห็นเพียงเขาหลุบสายตาต่ำ สีหน้าหม่นหมองยากแยกแยะ คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก ซูหลีอดทอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้ ตงฟางจั๋วรู้เพียงว่าตนเองทุ่มเทไปมากเท่าใด กลับไม่เคยรู้เลย กว่าตงฟางเจ๋อจะเดินมาถึงจุดนี้ได้ด้วยฐานะโอรสสนม กว่าจะได้มาซึ่งความโปรดปรานของฮ่องเต้ แล้วยังต้องคอยระมัดระวังแผนร้ายของฮองเฮาอยู่ตลอดเวลา เบื้องหลังยังต้องทนแบกรับความอยุติธรรมไว้มากมาย เขาต้องทุ่มเทอย่างยากลำบากและเพียรพยายามมากขนาดไหน!
……………………………………………………