ซูหลีแค่นเสียงเย็นชา ยามนี้เอง หวั่นซินเดินเข้ามากล่าวเสียงเย็น “นี่คือท่านหญิงหมิงซี เหตุใดจึงเสียมารยาทเยี่ยงนี้!”
รองหัวหน้าทหารผู้นั้นหน้าเปลี่ยนสีทันที ท่านหญิงหมิงซี ว่าที่พระชายาในเจิ้นหนิงอ๋อง ยามนี้ชื่อเสียงของนางเลื่องระบือไกลไปทั่วเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้น นางอาจกลายเป็นว่าที่ฮองเฮาในอนาคตอีกด้วย! เขารีบประสานมือคารวะทันที “ที่แท้ท่านหญิงมาเยือน ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว” ท่าทางนอบน้อมอย่างยิ่ง ต่างจากก่อนหน้านั้นโดยสิ้นเชิง
ซูหลีลอบสงสัย คนผู้นี้รู้ทั้งรู้ว่าซูฉุนคือคุณชายใหญ่แห่งจวนอัครเสนาบดี กลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา แต่ครั้นได้ยินว่านางเป็นใคร กลับเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว เพราะเหตุใดกัน?
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านไม่ต้องมากพิธี พักนี้มีเรื่องใดเกิดขึ้นงั้นหรือ? เหตุใดการตรวจสอบที่ประตูเมืองจึงเข้มงวดกวดขันเช่นนี้?”
คนผู้นั้นลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบอย่างมีมารยาท “นี่เป็นคำสั่งของเจิ้นหนิงอ๋อง หากผู้ใดออกจากเมือง ไม่ว่าจะเป็นขบวนคน หรือรถม้า ล้วนต้องตรวจสอบให้ละเอียด ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้นขอรับ”
ตงฟางเจ๋อ! เขากำลังตรวจสอบสิ่งใดอยู่? ซูหลีขมวดคิ้ว หันมองรถม้าด้านหลังโดยสัญชาตญาณ ม่านรถปิดสนิท ไร้เสียงใดๆ นางกล่าวเสียงเรียบ “พี่ใหญ่ของข้าได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาท กล่องเหล่านี้ล้วนบรรจุตำราสำคัญเอาไว้ ไม่อาจทำให้เสียหายได้แม้แต่น้อย หากท่านยังต้องการตรวจสอบดูทีละกล่อง เช่นนั้นก็ขอให้ระวังสักนิด อย่าปล่อยให้ลมพัดปลิวอีก!”
คนผู้นั้นพยักหน้ารับคำอย่างกระตือรือร้น หมุนกายหันกลับไปเปิดฝากล่อง ท่าทางระมัดระวังขึ้นไม่น้อย เพียงเปิดออกดูเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าด้านในเป็นกระดาษจริงๆ ก็รีบปิดฝากล่องทันที รองหัวหน้าทหารผู้นั้นเงยหน้ามองรถม้าด้านหลังแวบหนึ่ง พลางกล่าวว่า “รถม้าด้านหลังก็ต้องตรวจสอบด้วย!”
ซูฉุนขมวดคิ้วกล่าว “นั่นเป็นรถม้าของท่านหญิง!”
รองหัวหน้าทหารชะงักงัน คล้ายลังเลเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “ท่านหญิงหมิงซีโปรดเข้าใจข้าน้อยด้วย คำสั่งของท่านอ๋อง ข้าน้อยไม่กล้าขัดขืน”
ซูหลียิ้มอ่อนโยน เอ่ยว่า “ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว ในกล่องเหล่านั้นล้วนเป็นกระดาษตำราเช่นกัน ท่านระวังหน่อยก็แล้วกัน”
รองหัวหน้าทหารประสานมือคารวะ ก่อนจะพาทหารนายหนึ่งเดินไปยังรถม้าคันนั้น กล่องขนาดค่อนข้างใหญ่สองกล่องถูกวางไว้ด้านหลังรถม้า และถูกมัดไว้ด้วยเชือกอย่างแน่นหนา สีหน้าของเขาพลันขรึมลง กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะคล้ายไม่ใส่ใจ “รถม้าของท่านหญิงเล็กเพียงนี้ กลับมัดกล่องขนาดใหญ่อย่างนี้ไว้ถึงสองกล่อง เหตุใดไม่วางไว้ในรถม้าเล่า?”
หวั่นซินกล่าวเสียงเย็นชา “ที่นั่งของท่านหญิง จะปล่อยให้สกปรกได้เช่นไรเล่า? มัดไว้ข้างนอกก็ไม่เสียหาย”
รองหัวหน้าทหารยกมือทุบกล่องเบาๆ เสียงที่สะท้อนกลับมาทุ้มต่ำ คล้ายว่าข้างในถูกบรรจุสิ่งของไว้อย่างแน่นขนัด เขาส่งสายตาให้นายทหารด้านหลัง “ปลดลงมาตรวจสอบดูอย่างละเอียด อย่าได้พลาดสิ่งใดไปเด็ดขาด”
นายทหารคนนั้นรับคำ จากนั้นก็เรียกทหารอีกคนมาปลดกล่องลง เมื่อเปิดฝากล่องออก ก็พบว่าด้านในล้วนเป็นตำรา ไม่มีสิ่งอื่นใดปะปนดังคาด ทหารนายนั้นส่ายหน้าเบาๆ รองหัวหน้าทหารหรี่ตาเล็กน้อย เงยหน้ามองม่านรถที่ปิดสนิทแวบหนึ่ง
“หยิบตำราเหล่านี้ออกมาตรวจสอบดูให้ละเอียด”
ซูฉุนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เขากล่าวอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้ ตำราในกล่องนี้สำคัญที่สุด หากนำออกมาแล้วสูญหายจะทำเช่นไร?”
รองหัวหน้าทหารเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายไม่ต้องเป็นห่วง พวกข้านำตำราออกมา ก็จะวางไว้ในรถม้าของท่านหญิง รับประกันว่าจะไม่สูญหายแม้แต่แผ่นเดียว ในรถไม่มีผู้ใดกระมัง?” พูดไป เขาก็เอื้อมมือไปหมายจะแหวกม่านรถขึ้น มือข้างนั้นเพิ่งจะสัมผัสโดนม่านรถ ก็ถูกหวั่นซินคว้าไว้ก่อน
“รถม้าของท่านหญิง ไม่อนุญาตให้แตะต้องส่งเดช” น้ำเสียงเย็นชาของนางแฝงไว้ด้วยสัญญาณเตือนรางๆ
รองหัวหน้าทหารหมายจะชักมือกลับ ทว่ากลับไม่เป็นผล เขาพลันตกใจ สตรีนางนี้มีวรยุทธ์เยี่ยมยอดยิ่งนัก! สีหน้าของเขาพลันบึ้งตึงทันที “ข้าน้อยเพียงทำตามคำสั่ง หวังว่าท่านหญิงจะไม่ทำให้ข้าน้อยลำบากใจ”
ซูหลียิ้มเย็น กล่าวว่า “ข้าไม่ทำให้ท่านลำบากใจ ท่านจะนำตำราออกมาตรวจสอบย่อมได้ แต่ไม่อนุญาตให้แตะต้องรถม้าของข้า หากตำราเสียหายแม้เพียงน้อยนิด ข้าจะทูลฝ่าบาทว่าท่านเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น ไม่มีทางทำให้ท่านลำบากใจแน่นอน”
รองหัวหน้าทหารอึ้งงัน อากาศหนาวเย็น แต่จู่ๆ กลับมีเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นบนหน้าผากเขา ครั้นหันไปเห็นว่าเหล่าลูกน้องต่างกำลังมองมาทางเขา ก็อดรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่ได้ ฉะนั้นจึงจำต้องทำใจดีสู้เสือ “ท่านอ๋องมีรับสั่ง ไม่ว่าผู้ใดออกจากเมืองล้วนต้องถูกตรวจสอบ! ท่านหญิง ข้าน้อยจำต้อง…ขอล่วงเกินแล้ว!”
เอ่ยจบ ก็เกี่ยวฝากล่องเอาไว้อย่างแน่นหนา แล้วหันไปตะโกนสั่ง “ทหาร! นำตำราเหล่านี้ออกมา แล้วนำไปวางไว้ในรถม้า!”
ม่านรถพลันขยับไหว สายลมแรงพัดผ่าน ฝากล่องสองกล่องที่เพิ่งถูกเปิด พลันเคลื่อนปิดเสียงดัง ‘ปัง’ ทุกคนตกตะลึง รองหัวหน้าทหารรีบชักดาบออกมา แล้วหันไปตะคอกถามด้านในรถม้า “ผู้ใดกัน?”
“หึ” เสียงแค่นหัวเราะเย็นชาดังออกมาจากในรถ
รองหัวหน้าทหารสะดุ้ง ตะโกนสั่งทันที “ผู้ใดอยู่ในรถม้าจงฟัง ท่านอ๋องมีรับสั่ง ผู้ที่ออกจากเมืองต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด!” เขาโบกมือ ทหารสิบกว่านายพลันพุ่งตัวล้อมรถม้าทันที
“ดี” คนที่อยู่ในรถพลันหัวเราะ “ซื่อสัตย์ดังคาด เจ้าชื่อแซ่ว่ากระไร?”
รองหัวหน้าทหารผู้นั้นอึ้งงัน กลับไม่ตอบทันที ซูฉุนหันไปมองซูหลีด้วยสายตาสงสัย นางรีบกระโดดลงจากรถม้า แล้วเดินไปเปิดม่านรถ
บุรุษสวมอาภรณ์สีดำรัดเกล้าสีทองนั่งอย่างเกียจคร้านอยู่ในรถ ใบหน้าหล่อเหลาไม่แสดงอารมณ์ สายตาเย็นชากวาดผ่าน พาให้ผู้ถูกมองตัวสั่นงันงก รองหัวหน้าทหารครั้นเห็นเขา ก็ตกใจจนรีบคุกเข่ากับพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงแตกตื่นลนลาน “กระหม่อมไม่รู้ว่าท่านอ๋องเสด็จมา จึงได้รบกวนท่านอ๋องโดยไม่ตั้งใจ ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นวาจานี้กล่าวออกไป เหล่าทหารที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเมืองต่างพากันคุกเข่าทันที
“เจ้าทำผิดอันใดกัน?” ตงฟางเจ๋อมองเขาอย่างไม่ใส่ใจ แต่เมื่อหันไปมองซูหลี ความอบอุ่นพลันบังเกิดในสายตา “ซูซูขึ้นมานี่”
เขาเอื้อมมือดึงนางขึ้นรถม้า มองดูเหล่าทหารที่คุกเข่าก้มหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลุกขึ้นเถิด เจ้าทำตามหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ ข้าย่อมไม่มีทางถือโทษ วันนี้ใต้เท้าซูรับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้ออกจากเมือง ข้ากับท่านหญิงอยากไปส่งเขาสักครั้ง รีบเก็บกวาดให้เรียบร้อย อย่าทำให้ใต้เท้าซูเสียเวลาอีก”
รองหัวหน้าทหารรีบโบกมือออกคำสั่ง “เร็วเข้า!”
ทุกคนรีบช่วยหวั่นซินมัดกล่องเป็นพัลวัน ไม่นานรถม้าสองคันก็วิ่งออกจากประตูเมืองไปอย่างรวดเร็ว หลังออกจากเมืองได้ครู่หนึ่ง ซูฉุนสั่งให้หยุดรถ ก่อนจะลงจากรถม้า แล้วเดินมากล่าวอย่างทอดถอนใจ “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เสด็จมาส่ง นี่ก็สายมากแล้ว กระหม่อมคงต้องขอทูลลาเพื่อออกเดินทาง”
ม่านรถถูกแหวกเปิด สายตาเย็นชาของตงฟางเจ๋อมีแววคมปลาบพาดผ่านรางๆ ทว่าเขากลับเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ขอให้ใต้เท้าซูเดินทางปลอดภัย อย่าทำให้เสด็จพ่อผิดหวังเล่า”
ใบหน้าของซูฉุนขรึมลงเล็กน้อย สายตาอันซื่อตรงมีแววสับสนพาดผ่านชั่วขณะ ก่อนจะหันไปมองซูหลี แล้วกล่าวว่า “ซูซู พี่ใหญ่มีวาจาประโยคหนึ่งจะกล่าวกับเจ้า”
ซูหลีรีบกระโดดลงจากรถม้า แล้วเอ่ยเสียงเบา “พี่ใหญ่เชิญกล่าว”
เขาดึงนางเดินไปด้านหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบา “ถึงแม้ยามนี้เจ้าเป็นที่โปรดปราน ผู้คนต่างพากันประจบสอพลอ แต่สถานการณ์ในราชสำนักเปลี่ยนผันอยู่ตลอดเวลา เรื่องในอนาคตเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา เจิ้นหนิงอ๋องมีความรักและจริงใจต่อเจ้าจริง แต่ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็มีความคิดลึกล้ำยากจะคาดเดา มีจิตคิดระแวงสงสัย อย่างไรเจ้าก็จงระวังตัวให้มาก!”
ซูหลีพลันอบอุ่นหัวใจ นางยิ้มอย่างซาบซึ้ง “ข้าจะจำคำพี่ใหญ่ไว้เจ้าค่ะ พี่ใหญ่รักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ”
ซูฉุนพยักหน้าอย่างอ่อนโยน ทั้งสองกล่าวลากันแต่เพียงเท่านั้น มองดูซฉุนเดินทางห่างออกไป หัวใจของซูหลีพลันรู้สึกหดหู่ขึ้นมา
“ซูฉุนเป็นผู้มีอัจฉริยภาพ เพียงแต่น่าเสียดาย…” ตงฟางเจ๋อหยุดพูดอย่างเจตนา นัยน์ตาดำขลับหันมองซูหลี
“พี่ใหญ่เป็นสหายกับจิ้งอันอ๋องมาตั้งแต่เด็ก เดินทางจากไปครานี้ เกรงว่าคงไม่คิดหวนคืนราชสำนักอีก ท่านอ๋อง ถือเสียว่าพี่ใหญ่เป็นคนว่างงาน ปล่อยให้เขาทำตามใจดีไหมเพคะ?” ซูหลีมองเขาด้วยความรู้สึกยากจะเอ่ย บุรุษผู้นี้ชำนาญการวางแผน มีความคิดรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง ซูฉุนไม่อาจทำงานให้เขาได้ แต่ก็ไม่มีทางเป็นศัตรูหัวใจของเขา
……………………………………………………