“ข้าเชื่อ ข้าเชื่อเจ้า” ครั้นเห็นหลีเหยาหายใจรวยรินขึ้นทุกที ซูหลีรู้สึกปวดใจแสนสาหัส
โลหิตสีแดงเข้มไหลออกจากร่างกายนางอย่างรวดเร็ว ดวงหน้าซีดขาวเริ่มมืดมน แต่ดวงตาของนางกลับค่อยๆ เป็นประกายขึ้นมา “ท่านเชื่อข้าแล้ว ท่านคือพี่สาวจริงๆ…ดีเหลือเกิน ที่แท้พี่สาวก็ไม่ได้ตาย ไม่ได้ตาย…”
“เหยาเอ๋อร์!” ซูหลีข่มกลั้นความปวดร้าวไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาไหลรินออกจากหางตาเป็นสาย
“ตอนเด็ก…พี่สาวเก่งกว่าข้าทุกด้าน ดีกว่าข้าทุกเรื่อง ข้าเคยคิดว่าเพราะเหตุใด ข้าจึงต้องมีพี่สาวด้วย? แต่ว่า…ท่านดีกับข้าเสมอมา ดีจนทุกครั้งที่ข้าอิจฉาท่าน ข้าก็จะรู้สึกละอายใจจนรับตัวเองไม่ไหว ได้แต่เกลียดตัวเองที่ไม่เอาไหน…”
ซูหลีปวดใจยิ่งนัก อดไม่ได้ที่จะร้องห้าม “อย่าพูดอีกเลย! พวกเรากลับจวนกัน เสด็จพ่อจะช่วยเจ้าเอง ข้า ข้าจะไปหาเจียงหยวน เขาเป็นหมอเทวดา เขาช่วยเจ้าได้…”
หลีเหยายิ้ม มือที่กุมมือนางพลันไถลลง คล้ายจะตกลงไป ซูหลีตกใจรีบคว้ามือนางมากุมไว้ “ไม่นะ เหยาเอ๋อร์ เจ้าต้องอดทนไว้”
หลีเหยาส่ายหน้าเบาๆ “ตอนเด็ก ข้าไม่ระวังทำวัตถุโบราณชิ้นโปรดของเสด็จพ่อแตก ข้ากลัวมาก ได้แต่แอบซ่อนตัวไม่กล้าพบหน้าใคร ท่านเป็นคนดึงข้าออกมาจากใต้เตียง บอกกับข้าว่า…เมื่อทำผิดยังแก้ตัวใหม่ได้ แต่เจ้าไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะรับผิด ข้าผิดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก” สายตาของหลีเหยาอ่อนล้าและเลื่อนลอยมากขึ้นทุกที คล้ายดวงวิญญาณกำลังเลือนหายไปจากร่างนางอย่างช้าๆ “ประโยคนี้ ท่านยังจำได้หรือไม่? ทุกประโยคและน้ำเสียงที่ท่านกล่าว เหมือนในปีนั้นไม่มีผิด”
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ ผ่านมาหลายปี เรื่องนี้นางลืมไปนานแล้ว แต่เหยาเอ๋อร์กลับยังจำได้ชัดเจนถึงเพียงนี้! ซูหลีกอดนางไว้แน่น หัวใจเจ็บปวดจนพูดไม่ออก
“นับตั้งแต่นั้น ข้าก็จำประโยคนั้นขึ้นใจ ย้ำเตือนตัวเองตลอดเวลาว่าอย่าทำให้ท่านผิดหวัง”
“เหยาเอ๋อร์เด็กโง่…” ซูหลีหลับตาอย่างปวดใจ กล่าวปนเสียงสะอื้น “เหตุใดจึงโง่ถึงเพียงนี้?”
หลีเหยาพยายามจะคลี่ยิ้ม แต่ดวงหน้านางกลับซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง “พี่สาว ในใจของข้า ท่านสำคัญพอๆ กับเขา พวกท่านล้วนเป็นคนที่ข้ารักที่สุด สิ่งที่ทำเพื่อเขาได้ ข้า…ก็ทำเพื่อท่านได้เหมือนกัน”
ซูหลีส่ายหน้าอย่างโศกเศร้า “ไม่ ข้าไม่ต้องการให้เจ้าตาย!” ความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียครอบครัวราวกับฉีกหัวใจของนางทั้งเป็น นางแบกรับมามากเหลือเกิน มากเหลือเกิน ไม่อาจแบกรับได้อีกต่อไปแล้ว นางรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดอุ้มหลีเหยาขึ้น หมายจะวิ่งไปข้างหน้า ทว่ากลับล้มลงไปอีกครั้ง
หลีเหยาอ้าปากเล็กน้อย ดวงตากลับเบิกกว้างทันใด มองท้องฟ้าอันเวิ้งว้างกว้างไกล ราวกับกำลังบอกเล่าวาจาในใจที่นางไม่อาจพูดออกมาให้โลกได้รับรู้…
ชาตินี้ นางอ่อนแอขี้ขลาด มีเพียงสามครั้งที่กล้าหาญ ครั้งแรกคือตอนที่นางรับผิดแทนท่านแม่ แต่กลับทำให้ท่านแม่จากไปอย่างเปล่าประโยชน์ ครั้งที่สองคือตอนที่รับดาบแทนตงฟางจั๋ว ทว่านางกลับไม่อาจขวางฝีเท้าของเขาที่ก้าวเดินสู่ความตายไว้ได้! ครั้งที่สาม…คือตอนที่นางทำเพื่อพี่สาวที่ตนเองเคยอิจฉาและริษยาผู้นี้…ไม่ใช่ว่าไม่เคยรู้สึกเกลียดชัง เพียงแต่บนโลกใบนี้ นอกจากท่านแม่แล้ว ก็มีเพียงพี่สาวคนเดียวเท่านั้นที่ดีกับนาง…
นางแย้มยิ้มอย่างเศร้ารันทด ชาตินี้ของนาง สิ่งที่อยากทำไม่อาจทำได้ สิ่งที่อยากได้ก็ไม่อาจครอบครอง บางทีจุดจบเช่นนี้ อาจเป็นจุดจบที่ดีที่สุดสำหรับนางแล้วก็ได้!
“พี่สาว ชาติหน้า…พวกเรามาเป็นพี่น้องกันอีกนะ…” มือบางร่วงลงไปอย่างอ่อนแรง พร้อมกับเสียงของหลีเหยาที่เลือนหายไป อากาศหนาวเหน็บ จนแช่แข็งแสงตะวันให้กลายเป็นดั่งน้ำแข็ง
“เหยาเอ๋อร์!” เสียงร้องเรียกอันเจ็บปวดของซูหลีกลบทุกอย่างรอบกายจนแทบมิด น้องสาวที่นางรักทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กผู้นี้ ได้จากโลกนี้ไปพร้อมกับรอยยิ้มอันงดงามของนางตลอดกาล! ไม่ต้องเกลียดแค้น ไม่ต้องริษยาผู้ใดอีก
สายลมแรงพลันพัดผ่านริมแม่น้ำ น้ำในแม่น้ำป่วนพล่าน ราวกับกำลังระบายความเจ็บปวดรวดร้าวในใจคนที่ไม่อาจปล่อยวางได้
นี่เป็นครั้งที่สองที่นางมองดูคนในครอบครัวสิ้นลมในอ้อมแขนตนเอง…โดยทำอะไรไม่ได้เลย นางทำได้เพียงกอดร่างบางของหลีเหยาที่ค่อยๆ เย็นชืดเอาไว้ ไม่มีน้ำตาให้ไหลออกมาอีกแล้ว
หวั่นซินมองนางด้วยความตกใจ คล้ายไม่เคยเห็นนางเจ็บปวดรวดร้าวถึงเพียงนี้มาก่อน กลับไม่กล้าเข้าไปพูดอะไรกับนาง ผ่านไปเนิ่นนาน ซูหลีจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สายตาเย็นชาตวัดมองหลีเหยาตัวปลอมที่ถูกหวั่นซินจับตัวไว้แล้ว
โฉมหน้าที่แท้จริงที่อยู่ใต้หน้ากากแปลงโฉม ทำให้นางปวดใจและตกใจไม่แพ้กัน คำตอบที่ผุดขึ้นมาเลือนรางถูกพิสูจน์ในยามนี้
เหลียนเอ๋อร์ ดวงหน้าหมดจด คิ้วและดวงตาที่คุ้นเคย ยามนี้กลับบิดเบี้ยวน่ากลัว คล้ายเต็มไปด้วยความเจ็บใจและเคียดแค้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ซูหลีลุกขึ้นยืนช้าๆ หยิบกริชที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วก้าวไปหาเหลียนเอ๋อร์ทีละก้าวๆ หวั่นซินรั้งนางไว้โดยสัญชาตญาณ แต่กลับถูกนางผลักออกมา
เหลียนเอ๋อร์จ้องซูหลีที่ย่างกรายใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซูหลีไม่พูดอะไรสักคำ เพียงเงื้อกริชขึ้น แล้วแทงไปที่ร่างนางเต็มแรง!
ประกายคมมีดพาดผ่าน เลือดสีแดงสดไหลทะลัก เหลียนเอ๋อร์หวีดร้องอย่างเจ็บปวด ซูหลีดวงตาแดงก่ำ ดึงกริชออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแทงลงไปอีกสองครั้ง! เหลียนเอ๋อร์เกลือกกลิ้งไปกับพื้น กรีดร้องโหยหวนไม่หยุด
“นี่สำหรับที่เจ้าทำกับเหยาเอ๋อร์” ซูหลีลุกขึ้น มองนางอย่างเย็นชา ก่อนจะทิ้งกริชในมือ
ร่างกายเหลียนเอ๋อร์เต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปเพราะความเจ็บปวดทรมาน ทว่าดวงตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น กลับยังคงจดจ้องซูหลีเขม็ง
“บอกมา! ผู้ใดสั่งให้เจ้ามาทำร้ายท่านหญิง?!” หวั่นซินตวาดถามเสียงเกรี้ยว
เหลียนเอ๋อร์พลันหัวเราะเสียงดังลั่น “ผู้ใดสั่ง? ข้าเองอย่างไรเล่า! ซูหลี เจ้าต้องไม่ได้ตายดีเหมือนกับหลีซู! ข้าฆ่าคนในตระกูลหลีของเจ้า ถือว่าคุ้มทุนแล้ว! ปล่อยให้เจ้าจิ้งจอกเฒ่าหลีโดดเดี่ยวไปจนตายเถิด!” เอ่ยจบ นางก็กัดลิ้นตัวเองสุดแรง และสิ้นลมไปทันที!
หวั่นซินตกใจ เอื้อมมือออกไปคว้านางแต่ก็ไม่ทันกาลแล้ว นางขมวดคิ้วกล่าวว่า “หญิงสาวที่วางเพลิงก่อนหน้านั้น คนที่เป็นผู้สมคบคิดในจวนก็คือนาง นางแสร้งทำเป็นสติไม่สมประกอบ ทุกคนจึงไม่ระแคะระคายนาง นางเข้ามารื้อของของสำนักเฉินเหมินในห้องข้า แล้วนำหลักฐานปลอมออกมาหลอกล่อให้คุณหนูไปตรวจสอบหลีเหยา จากนั้นก็มาซุ่มสังหารอยู่ที่ข้างแม่น้ำ คนผู้นี้เจ้าแผนการ นางต้องคิดร้ายมานานมากแล้วแน่ๆ เจ้าค่ะ”
ซูหลีกัดฟัน ตอนนั้นที่เห็นปิ่นปักผมสองอันนั้น นางเหมือนโดนฟ้าผ่า ท่ามกลางความสิ้นหวังนางไม่อาจเชื่อใจหลีเหยาได้เต็มร้อย ตอนนี้มานึกดู ทั้งหมดเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่เหลียนเอ๋อร์สร้างขึ้นเพื่อการลอบสังหารครั้งนี้เท่านั้น! ชาวโลกมีแต่จะเข้าใจว่า ซูหลีพบหลักฐานที่บ่งบอกว่าหลีเหยาเป็นคนร้าย ทั้งสองเจรจาไม่ลงรอย จึงเข่นฆ่ากันเองจนตายตกกันไปทั้งคู่! ช่างเจ้าเล่ห์และชั่วร้ายยิ่งนัก! ชั่วร้ายยิ่งกว่าคดีหลีซูหลายเท่า!
สายตาของหวั่นซินไหวระริก นางร้องด้วยความตกใจ “คุณหนูดูนี่สิเจ้าคะ!”
สายตาของซูหลีค้างเติ่ง เสื้อด้านหลังของเหลียนเอ๋อร์ถูกฉีกขาดจุดหนึ่ง บนผิวกายที่โผล่พ้นร่มผ้า มุมหนึ่งของรอยสักรูปปีกหลากสีสันปรากฏสู่สายตา!
ทั้งสองรีบฉีกอาภรณ์ของนาง แล้วก็ค้นพบรอยสักรูปนกนางแอ่นเต็มตัวอย่างตกตะลึง สีสันหลากหลาย สยายปีกเตรียมโบยบิน
ซูหลีหัวใจเต้นรัว ป้ายทองขององค์หญิงเยวี่ยหยางพลันผุดขึ้นมาในสมอง บนป้ายทองแผ่นนั้นก็มีรูปนกนางแอ่นอยู่เช่นกัน
หวั่นซินร้องด้วยความตกใจ “เมื่อครู่ยังไม่มีรอยสักนี้!”
ซูหลีกล่าวเสียงเฉียบขาด “นำไปให้เจียงหยวนตรวจสอบดูอย่างละเอียด นางมีเรื่องประหลาดอยู่ไม่น้อย”
หวั่นซินรับคำ แบกศพของนางหมายจะจากไป ครั้นหมุนกายหันมาเห็นหลีเหยา ก็กล่าวอย่างทอดถอนใจ “เรื่องคุณหนูหลี…จะแจ้งให้คนในจวนเซ่อเจิ้งอ๋องทราบหรือไม่เจ้าคะ?”
………………………………………………………