กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – บทที่ 307 รักร้าวใจสลาย (ตอนจบ) (3)

บทที่ 307 รักร้าวใจสลาย (ตอนจบ) (3)

หัวใจของตงฟางเจ๋อสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม คิ้วกระบี่คมเฉี่ยวพลันขมวดเข้าหากันแน่น เห็นเพียงนางหันไปกล่าวกับหลางฉ่างด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หม่อมฉันไม่ใช่ท่านหญิงแล้วเพคะ องค์รัชทายาททรงเรียกหม่อมฉันว่าซูหลีเถิดเพคะ”

นับจากวันที่ตงฟางเจ๋อกำหนดวันอภิเษกสมรส นี่ก็เพิ่งผ่านมาได้เพียงสิบวันเท่านั้น นึกไม่ถึงองค์รัชาทายาทแห่งแคว้นติ้งกลับเดินทางมาร่วมงานได้ทันเวลา แต่ยามนี้นางกลับไม่รู้เลย ว่าที่หลางฉ่างขี่ม้าเร็วเดินทางติดต่อกันหลายวันหลายคืนมาที่นี่ ก็เพื่อนาง

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นท่านหญิงหรือไม่ ในใจหลางฉ่าง เจ้าก็ยังคงงดงามและสูงส่งเสมอ ไม่มีผู้ใดเทียบเทียม!” นิ้วมือเรียวยาวและงดงามกุมหัวไหล่บอบบางของสตรีตรงหน้า ฝ่ามือของเขาถ่ายทอดพลังอันแข็งแกร่งมาถึงตัวนาง เพื่อจะบอกนางว่า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด นางไม่มีทางตัวคนเดียวไร้ที่พึ่งอย่างแน่นอน

ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย สายตาสดใสและอบอุ่นของเขา กลับสะท้อนความห่วงใยอย่างบอกไม่ถูก พาให้สะท้านไปทั้งใจ

“เจ้ามาได้อย่างไร?” ไม่รอให้ทั้งสองคุยกันไปมากกว่านั้น ตงฟางเจ๋อถามเสียงเข้ม เซิ่งฉินกลับเฝ้านางไว้ไม่ได้!

ซูหลีเงยหน้า แล้วคลี่ยิ้มเย็นชา “องค์รัชทายาททรงอภิเษกสมรส ทุกคนต่างมาร่วมยินดี ซูหลีมาไม่ได้หรือเพคะ?” นางก้าวเข้ามาในตำหนัก ใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ มีเพียงความเย็นชาที่แผ่กำจายออกมารอบกาย

ตงฟางเจ๋อตึงเครียด อารมณ์มากมายพาดผ่านดวงตาเขา สับสนยากแยกแยะ เขาหมายจะเดินไปหานางโดยสัญชาตญาณ ทว่ากลับถูกรั้งไว้ก่อน เขาขมวดคิ้วหันมามอง หยางเสวียนที่สวมชุดแต่งงานสีแดงและมีผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาส่ายหน้าให้เขาเบาๆ อารมณ์สับสนพลันจางหายไปจากดวงตาลึกล้ำของเขาอย่างรวดเร็ว

“เซิ่งฉินอยู่ที่ใด?!” ตงฟางเจ๋อตวาดเสียงเย็น ยามนี้เอง เซิ่งฉินที่ถูกหวั่นซินหลอกล่อค้นพบว่าเป็นแผนล่อเสือออกจากภูเขา จึงรีบย้อนกลับมา ครั้นเห็นซูหลียืนอยู่หน้าตำหนัก เหงื่อเย็นพลันไหลท่วมกาย คุกเข่าแล้วกล่าวว่า “กระหม่อมไร้ความสามารถ องค์รัชทายาทโปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

ตงฟางเจ๋อไม่มองเขา เพียงออกคำสั่งเสียงเย็น “เซิ่งเซียว พวกเจ้าสองคนรีบพานางกลับไปเดี๋ยวนี้”

“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา เชิญพ่ะย่ะค่ะ” เซิ่งฉิน เซิ่งเซียว ต่างเดินขนาบเข้ามาจากทั้งด้านซ้ายและด้านขวา แล้วค้อมกายให้นางอย่างนอบน้อม

เซี่ยงหลีและเจียงหยวนที่อยู่อีกด้านหนึ่งหันหน้าสบตากันโดยมิได้นัดหมาย ในดวงตามีประกายเย็นชาซ่อนอยู่

ซูหลีไม่ขยับ เซิ่งฉินกัดฟัน เดินเข้าไปหานางหนึ่งก้าว หมายจะลากนางออกไปจากที่แห่งนี้ หลางฉ่างรีบก้าวเข้ามาด้านหลังนาง กล่าวเสียงเย็นชา “ช้าก่อน”

ตงฟางเจ๋อหน้าเครียด กล่าวแฝงเสียงตักเตือน “นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของข้า องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งอย่ายื่นมือเข้ามาแทรกจะดีกว่า!”

หลางฉ่างกลับกล่าวว่า “เดิมทีนางกับท่านมีสัญญาแต่งงานกันก่อน ท่านกลับทอดทิ้งนางแล้วสู่ขอหญิงอื่น ซ้ำยังสั่งกักบริเวณนางด้วยความผิดที่ไม่สมเหตุสมผล! ดูแล้วท่านไร้ความปรานีต่อนาง มิสู้ใช้โอกาสนี้ยกเลิกสัญญาแต่งงาน แล้วให้นางกลับแคว้นไปพร้อมกับข้า หลางฉ่างจะปฏิบัติต่อนางเฉกเช่นองค์หญิงแน่นอน!”

“ที่แท้องค์รัชทายาทเดินทางมาครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อร่วมแสดงความยินดีในพิธีอภิเษกสมรสของข้า แต่มาเพื่อแย่งชิงคน!” ใบหน้าของตงฟางเจ๋อตึงเครียดยิ่งขึ้น เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว สายตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบในพริบตา

หลางฉ่างไม่เกรงกลัว ทำราวกับไม่ได้ยินคำพูดเขา เพียงหันไปประสานมือคารวะฮ่องเต้ “หากฝ่าบาททรงยินยอมทำตามคำขอของหลางฉาง แคว้นเปี้ยนของเราจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไม่มีวันลืม! ภายหน้าหากแคว้นเฉิงต้องการสิ่งใด หลางฉ่างไม่มีทางบ่ายเบี่ยงแน่นอน!”

เขากลับพูดถึงขั้นนี้ แสดงให้เห็นว่าเพื่อจะพานางกลับไป หลางฉ่างยอมทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง

สีหน้าของซูหลีแปรเปลี่ยนเล็กน้อย มองเขาอย่างประหลาดใจ นางรู้มาโดยตลอดว่าองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งผู้นี้อาจมีที่มาเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับนาง แต่ก็ยังอดตะลึงไม่ได้ที่เขาเอ่ยวาจาเช่นนี้เพื่อนาง!

ผู้คนรอบกายตกตะลึง ท่านหญิงหมิงซีที่กำลังรอคำตัดสินโทษพลันบุกเข้ามาในพิธีอภิเษกสมรส องค์รัชทายาทหลางฉ่างออกหน้าปกป้อง พิธีอภิเษกสมรสในวันนี้คงยากจะดำเนินไปอย่างราบรื่นแน่นอน! สายตาของทุกคนล้วนหันไปมองฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนที่นั่งสูงสุดเป็นตาเดียว

ฮ่องเต้มีสีหน้าเคร่งขรึม เดาอารมณ์ไม่ถูก เขาเอ่ยถามด้วยเสียงแช่มช้า “เพื่อสตรีนางเดียว องค์รัชทายาทกลับกล้าเอ่ยคำสัญญายิ่งใหญ่เพียงนี้ ดูแล้วคงไม่ยอมแพ้จนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ?”

“ฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” หลางฉ่างมีท่าทางหนักแน่น ราวกับหากฮ่องเต้ไม่อนุญาต เขาก็จะหาวิธีอื่นพานางกลับไปให้ได้

ตงฟางเจ๋อพลันหน้าซีด เหวี่ยงผ้าไหมแดงในมือทิ้ง แล้วกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “องค์รัชทายาทหลางคล้ายจะทำเกินไปแล้ว! นางเป็นว่าที่พระชายาของข้า ท่านร้องขอในสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้ ช่างเป็นการไม่รู้จักกาลเทศะเอาเสียเลย!”

หลางฉ่างกลับบอกว่า “วาจานี้ขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นเฉิงต่างหากที่น่าขัน ท่านแต่งภรรยาไปแล้ว ยังมีว่าที่พระชายาอีกเสียที่ไหน? ยามนี้ทูตจากแคว้นเปี้ยนก็อยู่ด้วย ท่านกล่าววาจาเช่นนี้ ไม่กลัวองค์หญิงเจาหวาเสียใจหรือไร?”

ด้านหนึ่งของผ้าไหมสีแดงวาววับหล่นอยู่บนพื้น อีกด้านยังถูกกำไว้ในมือเจ้าสาว หยางเสวียนก้มหน้า ผ้าคลุมสีแดงปกคลุมดวงหน้างาม มองไม่เห็นสีหน้านาง เห็นเพียงมือของนางที่กำลังกำผ้าไหมแน่นขึ้นเรื่อยๆ

ตงฟางเจ๋อไม่ได้หันมามองนาง สายตาเย็นชาของเขาจดจ้องหลางฉ่าง รอบกายราวกับมีไอเย็นแผ่ปกคลุม ตามมาด้วยไอสังหารที่พัดผ่านดังสายลม

ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์พลันตกตะลึง ไม่มีคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น พวกเขาสองคนกลับเผชิญหน้ากัน เพื่อสตรีนางเดียว

เผิงอิง ทูตจากแคว้นเปี้ยนสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เขาเงยหน้ามองฮ่องเต้

ฮ่องเต้เริ่มข่มกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ เขากวาดสายตามองตงฟางเจ๋อและหลางฉ่าง ก่อนจะหยุดจ้องที่ซูหลี แล้วถามว่า “เจ้ายินดีจะติดตามองค์รัชทายาทหลางไปยังแคว้นติ้ง?”

ไอสังหารที่คุ้นเคยพาดผ่านหางตาของฮ่องเต้ ในอดีตสายตาเช่นนี้ของเขาเคยทำให้นางอกสั่นขวัญหาย แต่ยามนี้กลับไม่อาจทำให้นางหวั่นไหวได้แม้แต่น้อย ซูหลียังคงมีสายตาที่เยือกเย็นสุขุม นางจ้องหน้าฮ่องเต้ตรงๆ แล้วกล่าวเสียงเบา “ซูหลีไม่ยินดีเพคะ”

นางตอบอย่างเด็ดเดี่ยว ไร้ซึ่งความลังเล ชวนให้ผู้คนแปลกใจ สถานการณ์ในยามนี้ สองฝ่ายเมื่อเทียบกันแล้ว ฝั่งไหนได้เปรียบกว่ากัน ดูแวบแรกก็รู้แล้ว

สีหน้าของตงฟางเจ๋อคลายลงเล็กน้อย ซูหลีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ในใจอดไม่ได้ที่จะหัวเราะหยัน บุรุษผู้นี้มั่นใจมาโดยตลอด เขาจะต้องคิดว่าหัวใจของนางยังคงอยู่ที่เขา ไม่ว่าเขาจะปฏิบัติต่อนางเช่นไร นางก็ไม่มีทางจากเขาไปแน่นอน ช่างน่าขัน!

หลางฉ่างอึ้งงัน “เพราะเหตุใดกัน? หรือเจ้าจะทนแบกรับความอยุติธรรมไว้กับตนเอง?” บุรุษที่น้อยครั้งจะขมวดคิ้ว ยามนี้คิ้วงามกลับแทบขมวดกันเป็นปมเดียว คล้ายกับว่าการที่นางทนแบกรับความอยุติธรรม ทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าตนเองต้องแบกรับความยุติธรรมร้อยเท่า

ซูหลีที่ใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์มาโดยตลอด หัวใจพลันสั่นไหว นางแย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า “องค์รัชทายาททรงกังวลมากไปแล้วเพคะ ซูหลีไม่เคยปล่อยให้ตนเองแบกรับความอยุติธรรมใดๆ ทั้งสิ้น”

“เช่นนั้นเจ้า…”

“หม่อมฉันมีสถานที่ที่ตนเองต้องการจะไปอยู่แล้วเพคะ” นางต่อบทสนทนาอย่างรวดเร็ว ในรอยยิ้มสดใส พลันมีความเย็นชาและเด็ดเดี่ยวปรากฏในส่วนลึกของดวงตา ลึกจนผู้คนไม่อาจสังเกตเห็น

ลางสังหรณ์บางอย่างแผ่ปกคลุมหัวใจหลางฉ่าง เขาตึงเครียด ขมวดคิ้วแน่น หมายจะเกลี้ยกล่อมอีกครั้งอย่างอดไม่ได้

ซูหลีสาวเท้ายาวๆ เดินผ่านเขาไป แล้วหยุดอยู่ตรงกลางตำหนัก สุดท้ายก็คุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ซูหลีมีเรื่องจะกราบทูลเพคะ”

ฮ่องเต้เหลือบมองตงฟางเจ๋อแวบหนึ่ง แล้วหันไปถามซูหลี “เรื่องใดเร่งด่วนเพียงนี้ จำต้องรายงานในพิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาทเชียวหรือ?”

ซูหลีตอบ “หากวันนี้ไม่กราบทูล เกรงว่าภายหน้าคงไม่มีโอกาสอีกแล้วเพคะ!”

สีหน้าของฮ่องเต้แปรเปลี่ยนเล็กน้อย ซูหลีกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หลายเดือนก่อน ‘คดีหลีซู’ ที่ถูกตรวจสอบ ซูหลีสืบพบเบาะแสใหม่ที่แสดงให้เห็นว่าอวี้หลิงหลงมิใช่ผู้บงการใน ‘คดีหลีซู’ ตัวการที่แท้จริงเป็นผู้อื่นเพคะ!”

หลีเฟิ่งเซียนมีสีหน้าอึ้งงัน เขาเงยหน้า จ้องนางด้วยความสงสัย

“คดีหลีซู?” สายตาของฮ่องเต้ขรึมลงเล็กน้อย กล่าวด้วยความสงสัย “คดีนั้นมิใช่จบสิ้นไปแล้วหรือ? เป็นเจ้าที่สืบจนพบว่าอวี้หลิงหลงก็คือคนร้าย อีกทั้งนางก็ยอมรับกับปากตนเองด้วย! จะกลายเป็นคนอื่นได้อย่างไรเล่า?”

……………………………………………….

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท