ซูหลีจ้องหน้าเขาตาไม่กะพริบ ความกดดันที่มองไม่เห็นกดทับฉู่เว่ยตงเหมือนก้อนหินหนักๆ ก้อนหนึ่ง เขาคุกเข่าค้อมกายอยู่บนพื้น เหงื่อเย็นไหลซึมเสื้อผ้า ได้ยินนางเอ่ยเสียงเย็นชาและเคร่งขรึม “กฎของลัทธิ ผู้เปิดเผยความลับต่อโลกภายนอก มีโทษตายสถานเดียวไม่มีละเว้น เจ้าไปรับโทษที่สำนักท่องโมราด้วยตนเองก็แล้วกัน”
“ธิดาเทพโปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย!” ฉู่เว่ยตงหน้าเปลี่ยนสี รีบอ้อนวอนอย่างแตกตื่น “วรยุทธ์ของพวกเขาลึกล้ำมากจริงๆ ข้าน้อย…ไม่ทันระวังตัวถูกพวกเขาจับกุม จำต้องเผยความลับเรื่องเส้นทางลับ…ธิดาเทพโปรดเมตตาข้าน้อยสักครั้ง แล้วข้าน้อยจะไม่มีวันลืมบุญคุณ ภายหน้าจะทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยเหลือธิดาเทพทุกอย่าง ไม่มีใจคิดเป็นอื่นแน่นอน!”
เหงื่อไหลอาบศีรษะของเขา สายตาเต็มไปด้วยแววอ้อนวอนอย่างสุดชีวิต ดูเหมือนเรื่องของโจวเยวี่ยในวันนี้สร้างแรงสะเทือนขวัญได้ตามที่นางต้องการแล้ว นางสืบทอดตำแหน่งธิดาเทพ จำต้องเอาชนะใจคนไว้ใช้งาน เพื่อจัดการลัทธิธิดาเทพที่วุ่นวายแห่งนี้ให้เข้าที่เข้าทางโดยเร็วที่สุด
ซูหลีครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยกล่าวเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นคนฉลาด บางเรื่องคงไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดมาก เรื่องในวันนี้ ข้าจะไม่สืบสาวเอาเรื่อง แต่ครั้งหน้าจะไม่ละเว้นอีกเป็นอันขาด!” เอ่ยจบ นางก็สาวเท้ายาวๆ เดินจากไป
ฉู่เว่ยตงถอนหายใจโล่งอก รีบผงกศีรษะขอบคุณนาง
“คุณหนู! บ่าวเพิ่งได้รับข่าว องค์ชายสี่เสด็จมาเจ้าค่ะ” เพิ่งจะเดินออกจากเส้นทางลับ หวั่นซินก็รีบเดินเข้ามารายงานทันที
สายตาของซูหลีตึงเครียด หยางเซียวมาเร็วมาก! คาดว่าคงมีคนรายงานสถานการณ์ให้เขารู้เป็นแน่
“ผู้อาวุโสทั้งสองท่านก็อยู่ด้วยเจ้าค่ะ” หวั่นซินขมวดคิ้วกล่าว
สายตาของซูหลีขรึมลง แต่ฝีเท้ากลับไม่หยุดชะงัก คล้ายไม่ได้แปลกใจต่อเรื่องนี้แต่อย่างใด กลิ่นคาวเลือดที่พยายามข่มกลั้นเอาไว้ตีกลับขึ้นมาอีกครั้ง นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“คุณหนูเจ้าคะ” หวั่นซินเหลือบเห็นคราบเลือดที่เสื้อนาง อดตกใจไม่ได้ “คุณหนู…ไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ?”
“เรียกเจียงหยวนมาที่ตำหนักเซิ่งซิน” ในที่สุดซูหลีก็หยุดเดิน นางพ่นลมหายใจเบาๆ
ครั้นเห็นนางมีอาการผิดปกติ หวั่นซินรีบเดินเข้าไปประคองนาง กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยโชยมาตามลม หวั่นซินตกใจ รีบรับคำ แล้ววิ่งออกไปตามหาเจียงหยวน
ตำหนักเซิ่งซินตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเลสาบปี้หู น้ำในทะเลสาบเขียวใสสะอาดตาดั่งหยกมรกต แสงอาทิตย์อัสดงอาบไล้ท้องฟ้า บนทางเดินมีโคมไฟประณีตหลากสีห้อยระย้า แสงเทียนนวลตาเหมือนดังแสงดาวที่สาดกระทบผิวน้ำทะเลสาบ เกิดเป็นประกายระยิบระยับงามตา
สองฝั่งของวิหารกลางน้ำ ล้วนเป็นภาพหญิงสาวและดอกบัวในอิริยาบถมากมาย ดูสูงศักดิ์จนมิอาจละเมิด สง่างามจนพาให้ผู้พบเห็นเลื่อมใสและศรัทธา
ยามนี้ในวิหารหลัก หยางเซียว องค์ชายสี่ผู้ที่อวดอ้างว่าตนเองเป็นบุรุษหล่อเหลาปราดเปรื่องแห่งแคว้นเปี้ยน กำลังนั่งเอนอยู่บนที่นั่งสูงสุดด้วยท่าทางเกียจคร้าน ขาเรียวยาวสองข้างวางก่ายพนักเท้าแขนอีกข้างของเก้าอี้อย่างไร้มารยาท และกำลังจ้องมองลวดลายดอกไม้อันตระการตาในวิหารนิ่งๆ ไม่รู้ว่ากำลังเบื่อหน่ายหรือหรือเหม่อลอยเรื่องใดอยู่
“องค์ชายสี่! บุรุษผู้นั้นมีบารมีสูงส่ง ฐานะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน จะปล่อยให้เขารอดออกไปจากที่นี่ไม่ได้เด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ!” ผู้อาวุโสเห็นเขาไร้การตอบสนอง อดร้อนใจขึ้นมาไม่ได้ จึงกล่าวต่ออย่างไม่ยอมแพ้
“กลัวก็แต่ธิดาเทพจะตัดใจเอาชีวิตเขาไม่ลงน่ะสิ” ผู้อาวุโสเสวียนฟงแค่นเสียงด้วยความดูแคลน “นางส่งสี่ทูตไปเฝ้าห้องลับสองห้องนั้น ไม่ยอมให้คนของเราเข้าใกล้ด้วยซ้ำ! เห็นได้ชัดว่านางต้องการปกป้องคนพวกนั้น!”
“ยามนี้นางเป็นธิดาเทพแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จำต้องตัดใจให้ได้!” แววเหี้ยมเกรียมพาดผ่านดวงตาผู้อาวุโสเสวียนจิ้ง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“พวกท่านทั้งสองทะเลาะกันมาสิบกว่าปี แล้วนี่กลายเป็นพวกเดียวกันตั้งแต่เมื่อใด?” จู่ๆ หยางเซียวก็เอ่ยปาก แม้น้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายหยอกล้อ แต่สายตากลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม
เสวียนจิ้งและเสวียนฟงอึ้งไปเล็กน้อย พวกเขารีบกล่าวขึ้นพร้อมกัน “ข้าน้อยเพียงแต่เห็นแก่ลัทธิของเรา องค์ชายสี่โปรดตัดสินพระทัยโดยเร็วด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“เรื่องใดกันถึงไม่รายงานธิดาเทพ แต่กลับรบกวนองค์ชายสี่ให้ตัดสินใจแทนเช่นนี้?!” หยางเซียวยังไม่ทันพูดอะไร เสียงเย็นชาของซูหลีก็ดังเข้ามาจากนอกประตู นางสาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามาในวิหาร กวาดมองสองคนนั้นด้วยสายตาคมปลาบดั่งใบมีดอย่างแช่มช้า
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ!” ครั้นได้ยินเสียงนาง หยางเซียวก็กระตือรือร้นขึ้นมา เขารีบลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปหานางทันที
ซูหลีไม่สนใจเขา เดินตรงไปนั่งที่ตำแหน่งสูงสุด แล้วจึงค่อยจ้องหน้าหยางเซียว ถามด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ท่านมาทำอะไรที่นี่?” ยามนี้นางเปลี่ยนไปสวมใส่อาภรณ์ที่สะอาดสะอ้านทั้งตัวแล้ว
ความเฉยชาของนาง หยางเซียวเองก็ไม่ใส่ใจ เพียงยิ้มร่าเดินเข้าไปหานาง แล้วกล่าวว่า “ข้าหรือ? แน่นอนว่าคิดถึงเจ้า เลยมาเยี่ยมเจ้าอย่างไรเล่า! เป็นอย่างไรบ้าง ยังอยู่ในช่วงปรับตัวอยู่อีกหรือ?”
ซูหลีกระตุกมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความอบอุ่น “ข้าสบายดี แต่เกรงว่าคนที่ปรับตัวไม่ได้จะเป็นผู้อื่นเสียมากกว่า”
วาจาของนางแฝงความหมาย เสวียนฟงและเสวียนจิ้งหน้าเปลี่ยนสีทันที
ใบหน้าของซูหลีเคร่งขรึม “ผู้อาวุโสทั้งสองท่านมีเรื่องใดสงสัย เหตุใดจึงไม่ถามให้กระจ่าง? ในเมื่อข้าเป็นธิดาเทพ เรื่องเล็กใหญ่ในลัทธิ ข้าก็ควรเป็นคนตัดสินด้วยตนเอง! หากทั้งสองท่านไม่พอใจในตัวข้า ไปทูลฝ่าบาทให้เลือกผู้อื่นมาเป็นธิดาเทพแทนข้าย่อมได้”
“ธิดาเทพเข้าใจผิดแล้ว…” ผู้อาวุโสเสวียนฟงโต้แย้งทันที แต่เขายังพูดไม่ทันจบประโยคก็ถูกหยางเซียวตัดบทเสียก่อน เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นธิดาเทพ เรื่องในลัทธินี้ย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า คนอื่นมีสิทธิพูดมากเสียที่ไหน”
เสวียนฟงกับเสวียนจิ้งอึ้งงันไปทันที ฟังจากที่เขาพูด เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว? ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งกล่าวด้วยความตกใจ “องค์ชายสี่! เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ใช่ควรทูลฝ่าบาทแล้วค่อยตัดสินพระทัยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หยางเซียวหันไปมองเขา สายตาลึกล้ำแฝงความนัย แต่กลับกล่าวกลั้วหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “สงครามชายแดนยังไม่สงบ เสด็จพ่อมีราชกิจยุ่งเหยิง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มีอยู่มากมาย หรือจำต้องทูลให้เสด็จพ่อทราบทุกเรื่อง? ในเมื่อนางเป็นธิดาเทพที่เสด็จพ่อเลือกแล้ว ข้าเชื่อว่านางย่อมมีความสามารถนี้ มีเหตุผลใดให้ต้องแคลงใจอีกหรือ?”
ครั้นวาจานี้ถูกเขากล่าวออกไป ทั้งสองตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าองค์ชายสี่จะเข้าข้างนางจนถึงขั้นอ้างชื่อฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเช่นนี้ วาจาของเขากระจ่างชัดอย่างไม่มีที่เปรียบแล้ว หากแคลงใจในตัวซูหลีก็เท่ากับแคลงใจในฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน!
“เอาละ เรื่องนี้จบลงเพียงเท่านี้เถิด” หยางเซียวโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการพูดอะไรอีก
เสวียนฟงและเสวียนจิ้งเคร่งเครียดทันที พวกเขาลอบขมวดคิ้ว ทว่ากลับไม่สามารถโต้แย้งได้ ทำได้เพียงรับคำเสียงขุ่นเคือง “พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงแสดงออกถึงความไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าไม่ยินยอม
ซูหลีสังเกตเห็นอย่างชัดเจน นางยิ้มเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว พวกท่านออกไปเถิด”
ใบหน้าของเสวียนฟงและเสวียนจิ้งขรึมลงทันที แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงค้อมกายกล่าวลา
หยางเซียวเดินมานั่งข้างกายซูหลี ยิ้มกว้างมองนาง เห็นได้ชัดว่ายังไม่คิดจะจากไป
ซูหลีกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า “ท่านยังไม่ไปอีกหรือ?”
“โห เจ้าช่างใจร้ายนัก คนเขาเพิ่งมาถึงก็จะไล่กันแล้วหรือ?” หยางเซียวโวยวายอย่างน้อยอกน้อยใจ สายตาดำขลับมีรอยยิ้มย่ามใจพาดผ่าน “ข้าตั้งใจมาช่วยเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ”
ซูหลีเหล่มองเขา “ช่วยข้า? ท่านช่วยอะไรข้าได้?”
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาพลันโน้มเข้ามาใกล้ ไม่ได้ตอบคำถามนางทันที กลับกุมมือนางเบาๆ ซูหลีไม่ทันตั้งตัว หมายจะชักมือออก แต่กลับไม่สำเร็จ เห็นเพียงนิ้วมือเขาขยับเล็กน้อย แล้วแตะไปที่แหวนหยกขาวบนนิ้วมือเรียวยาวของนางเบาๆ
ความอบอุ่นในฝ่ามือเขาห่อหุ้มผิวอันเย็นชืดของนาง ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย หมายจะสะบัดมือเขาออก แต่เขากลับโน้มกายเข้ามาใกล้นางอีก กลิ่นหอมสดชื่นของหญ้าติดอยู่บนตัวเขา สายตาหยอกเย้ามีแววจริงจังเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน นัยน์ตากระจ่างใสไร้ซึ่งสิ่งเจือปน หนักแน่นแน่วแน่จนสามารถมองทะลุทุกสิ่งกีดขวางในโลกนี้ได้
…………………………………………………