ซูหลีลืมตา มึนงงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด นางหันมอง เห็นเงาร่างสีแดงอันคุ้นเคยอยู่ข้างกาย
หยางเซียวหันหลังให้นาง ไม่รู้กำลังก้มหน้าก้มตาทำสิ่งใดอยู่
ซูหลีลุกขึ้นนั่ง หมายจะเอ่ยปาก เขาก็หันมาพอดี ครั้นเห็นนางตื่น สายตาของเขาก็เป็นประกาย กล่าวด้วยความดีใจ “เจ้าตื่นแล้วหรือ พอดีเลย ลองสวมดูเร็วเข้า”
พูดไป ก็เห็นเขาหยิบมงกุฎดอกไม้หลากสีสวมลงบนศีรษะนาง ซูหลีผงะ เบี่ยงตัวหลบโดยสัญชาตญาณ ของที่มีแต่เด็กสาวชอบเช่นนี้ นางเลิกชอบไปนานแล้ว!
นางขมวดคิ้วกล่าวว่า “ได้เวลากลับแล้ว” เอ่ยจบก็หมายจะลุกขึ้น หยางเซียวรีบคว้าตัวนาง ร้องบอกว่า “จะรีบร้อนไปไหน ยังเหลือเวลาอีกเยอะเลยนะ!”
ซูหลีเงยหน้ามองท้องฟ้า ยังเหลือเวลาอีกเยอะ? พระอาทิตย์จะตกดินอยู่รอมร่อแล้ว!
“ข้าสานมันตลอดเวลาที่เจ้านอนหลับ นี่เป็นสิ่งที่ข้าถักด้วยตนเองเป็นครั้งแรก เจ้าดูสิ มือข้าถูกบาดจนเป็นแผลหมดแล้ว!” เขาแบมือให้นางดู นิ้วมือขององค์ชายน้อยผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติมาโดยตลอด ถูกหนามดอกไม้แทงจนเป็นแผลหลายจุด เขามองหน้านางด้วยท่าทางน่าสงสาร สายตาน้อยเนื้อต่ำใจสุดแสน ราวกับว่าหากนางไม่สวมมงกุฎดอกไม้ของเขา ก็จะกลายเป็นความผิดใหญ่หลวงอย่างไรอย่างนั้น
ซูหลีรู้ว่าเขาแสร้งทำ จึงไม่สนใจเขา นึกไม่ถึงจู่ๆ เขากลับดึงตัวนางให้นอนลงไปบนพื้น มงกุฎดอกไม้สวมลงบนศีรษะนางอย่างรวดเร็ว
ซูหลีโมโห ยกฝ่ามือหมายจะตีเขา ยังตีไม่ทันโดนตัวเขา เขาก็ก้มลงมากอดนางแน่นๆ ปากก็ร้องโวยวายเสียงดัง “โอ๊ย เจ็บจังเลยๆ!”
ซูหลีถึงกับพูดไม่ออก เขาเหมือนปลาหมึกยักษ์ กอดนางไว้แน่นจนนางขยับเขยื้อนไม่ได้ ทำได้เพียงขานเรียกอย่างขุ่นเคือง “หยางเซียว!”
“หา” เขากลับเงยหน้าขึ้นจากลำคอนาง แล้วรับคำด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ เขาหัวเราะพลางกล่าวว่า “อาหลีน้อย เรียกข้าทำไมหรือ?”
ซูหลีทั้งตลกทั้งโมโห คนเจ้าเล่ห์! จู่ๆ นางก็นึกอยากจะตีเขาให้รอยยิ้มยียวนบนใบหน้าจางหายไปเสีย
“เจ้าโกรธหรือ?” หยางเซียวหัวเราะแหยๆ แล้วถามนาง
ซูหลีหันหน้าหนีด้วยความขุ่นเคือง ทว่ากลับได้ยินเขาบอกว่า “โกรธก็ดี เจ้ายังสาวยังแส้ วันๆ เอาแต่ปั้นหน้าเย็นเป็นก้อนน้ำแข็งพันปี ทรมานแย่! มีอารมณ์ขึ้นลง โกรธเป็น จึงจะเรียกว่ามีชีวิต! อาหลีน้อย ยามใดที่เจ้าอารมณ์ไม่ดี ระบายกับข้าได้ ข้าไม่โกรธเจ้า!”
หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน ใครที่ไหนจะร้องขอให้ผู้อื่นมาระบายอารมณ์กับตนเองเช่นเขา…
มีอารมณ์ขึ้นลงจึงจะถือว่ามีชีวิตหรือ? บางครั้งนางก็เคยคิดว่านางยังมีชีวิตอยู่จริงหรือ? หลังจากแผนการกระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตายปลอมๆ อันแยบยลครั้งนั้นผ่านพ้นไป แม้ร่างกายของนางยังมีชีวิตอยู่ แต่หัวใจของนาง…ราวกับได้ตายไปพร้อมกับความรักครั้งนั้นแล้ว!
ในขณะที่นางเหม่อลอยอยู่นั้นเอง เขาก็สวมมงกุฎดอกไม้ให้นางสำเร็จ
“สวยจริงๆ!” เขาชื่นชมผลงานของตนเองอย่างเบิกบาน แต่จู่ๆ กลับรู้สึกว่าหน้ากากบนหน้านางช่างเกะกะเหลือเกิน ฉะนั้นจึงยกมือถอดหน้ากากออกทันที
ซูหลีได้สติกลับคืนมา รีบยื่นมือออกมาหมายจะแย่งหน้ากากคืน เขากลับเหลือบมองแวบหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยความไม่พอใจ “หน้ากากนี้อัปลักษณ์เกินไปแล้ว! ข้าไม่ชอบ” เอ่ยจบ เขาก็โยนหน้ากากทิ้งไป
“ท่าน!” ซูหลีเบิกตากว้าง กล่าวเสียงเย็นชา “ใครขอให้ท่านชอบ?!”
นางยกมือขึ้นหมายจะผลักเขาออก สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยน รีบกอดนางไว้แน่นๆ อีกครั้ง แสร้งร้องเสียงดังด้วยความหวาดกลัว “อาหลีน้อยอย่าตีข้า!”
มือของซูหลีค้างเติ่งกลางอากาศ จะหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก
หยางเซียวแอบเงยหน้าเล็กน้อย มองดูใบหน้าของนางหลังผ่านการแปลงโฉมเป็นจิ้งหวั่น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน แล้วกล่าวว่า “นี่ เจ้าช่วยถอดหน้ากากใบนี้ด้วยได้หรือไม่?”
“ท่านจะทำอะไรน่ะ?” นางขมวดคิ้ว ถามด้วยความระแวดระวัง
หยางเซียวหัวเราะแปลกๆ “เจ้าดูสิ ใบหน้าข้าหล่อเหลาคมเข้มถึงเพียงนี้ ให้มากอด…” เขาไม่ได้พูดจนจบประโยค ยกมือชี้มาที่หน้ากากจิ้งหวั่นที่อยู่บนหน้านาง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ “รู้สึกแปลกเกินไปแล้ว!”
“เช่นนั้นท่านก็ปล่อยข้าสิ!” นัยน์ตาของซูหลีขรึมลงเล็กน้อย นางกล่าวเสียงเย็นชา
“ไม่ได้ ถ้าปล่อยเจ้าก็จะหนีไป” เขาหัวเราะมองนาง คนเจ้าเล่ห์เช่นเขา กลับเกิดมามีใบหน้าชั้นเยี่ยมเช่นนี้!
ซูหลีกล่าว “ดึกมากแล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องกลับไปทำ”
“มีเรื่องใดสำคัญกว่าการเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์อีกหรือ?” หยางเซียวพูดพร้อมเบิกตากว้าง ท่าทางเหมือนกำลังพูดสิ่งสมเหตุสมผล “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือมีความสุข! อยากทำอะไรก็ทำ เช่นนี้จึงจะถือว่าเกิดมาไม่เสียเปล่า! เจ้าดูตัวเองสิ อายุยังน้อยแต่กลับใช้ชีวิตเหมือนคนแก่ ไม่อึดอัดบ้างหรือไร?”
อึดอัดหรือ? หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน สายตาหลุบต่ำ ไม่พูดอะไร
“ขอแค่ผ่อนคลายจิตใจ เจ้าก็จะมองเห็นเองว่าข้างกายเจ้ามีคนและเรื่องราวดีๆ อยู่มากมาย อย่างเช่นหุบเขาแห่งนี้ แล้วก็…ข้า องค์ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาปราดเปรื่อง!” เขาชี้ไปที่ตนเองด้วยสีหน้าจริงจัง แย้มยิ้มอย่างสดใสร่าเริง
ซูหลีถึงกับพูดไม่ออก เจ้าคนเจ้าเล่ห์ผู้นี้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่เคยลืมหลงใหลในตนเองจริงๆ
หยางเซียวยิ้มร่า แล้วกล่าวต่ออีกว่า “เจ้าดูสิ ที่แห่งนี้ยามกลางวันงดงามดั่งแดนสวรรค์ แล้วไม่อยากรู้หรือว่ายามกลางคืนจะเป็นเช่นไร?”
“รู้แล้วทำอะไรได้เล่า?” นางย้อนถามเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉวยโอกาสตอนเขาเผลอ ผลักเขากระเด็นอออกไป
“โอ๊ย” หยางเซียวร้องครวญเสียงดัง องค์ชายน้อยผู้ที่อวดอ้างว่าตนเองหล่อเหลาปราดเปรื่อง ยามนี้ถูกนางผลักเต็มแรง ล้มกลิ้งจนหน้าทิ่มพื้น
“เจ็บจัง!” เขาเงยหน้าขึ้นยกมือกุมหน้าอก แล้วโวยวายเหมือนได้รับบาดเจ็บ “อาหลีน้อย เจ้าตีข้าจริงๆ หรือ! ใจร้ายเกินไปแล้ว! โอ๊ย หน้าข้า…”
ซูหลีเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง เพลิงโทสะในใจดับไปกว่าครึ่ง ช่อผมเปียบนศีรษะหยางเซียวเต็มไปด้วยเศษดินและใบหญ้า แล้วยังมีกลีบดอกไม้หลากสีปะปนอยู่ด้วย ครั้นประกอบกับอาภรณ์สีแดงเพลิงบนกายเขาแล้ว คนผู้นี้…เต็มไปด้วยสีสันอันหลากหลายแลดูมีชีวิตชีวาจริงๆ
ใบหน้าบึ้งตึงจ้องมองนางอย่างน้อยอกน้อยใจ ท่าทางดูน่าขบขันไม่น้อย
“ไปได้แล้ว” ซูหลีลุกขึ้นยืน แล้วเดินตรงไปนอกหุบเขา
ครั้งนี้หยางเซียวไม่ได้รั้งนาง เพียงมองดูแผ่นหลังที่หายลับไปของนาง แววเจ้าเล่ห์พาดผ่านนัยน์ตางาม รอยยิ้มผุดพราย เขาพลิกตัวนอนหงายอยู่บนพื้นอย่างผ่อนคลาย รู้สึกเจ็บตรงหน้าอกเล็กน้อย ฝ่ามือของนางเมื่อครู่ไม่ได้เบาเลย แต่เขากลับไม่ใส่ใจ พึมพำท่วงทำนองเพลงที่ไม่รู้ชื่อ และคาบต้นหญ้าเส้นหนึ่งไว้ในปาก ยกขาไขว่ห้าง แกว่งเท้าไปมาอย่างสบายใจ
ผ่านไปไม่นาน เงาร่างอันคุ้นเคยของนางก็ปรากฏในครรลองสายตาเขาอีกครั้งดังคาด เขาแย้มยิ้มยิงฟันให้นาง
สายตาของนางแสดงแววขุ่นเคือง “เรือเล่า?”
“หา?” ดวงตาดำขลับของเขากะพริบปริบๆ คล้ายไม่เข้าใจว่านางกำลังพูดสิ่งใด
ซูหลีข่มกลั้นความโกรธ แล้วถามอีกครั้งว่า “ข้าถามท่านว่าเรือหายไปไหนแล้ว?” น้ำเสียงของนางแฝงแววไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าเริ่มโกรธแล้ว
หยางเซียวรีบลุกขึ้น แล้วตะโกนด้วยความประหลาดใจ “เรือหายไปแล้ว?” เขารีบเดินไปดูตรงทางเข้าหุบเขา ชายฝั่งว่างเปล่าดังคาด เรือเล็กลำนั้นหายไปตั้งนานแล้ว
เขาหันกลับมาตะโกนเสียงดังด้วยความประหลาดใจ “เอ๋? เรือหายไปไหนแล้วเล่า?”
เสแสร้งแกล้งทำ!
ซูหลีจ้องหน้าเขาอย่างเย็นชา “ท่านพาข้ามาที่นี่ แล้วปล่อยให้เรือลอยหายไป มีจุดประสงค์ใดกันแน่?”
“ข้า…” สายตาของหยางเซียวไหวระริก เขากลอกตาไปมาหลายครั้ง ดูไม่เป็นตนเอง ไม่นานก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าจะมีจุดประสงค์ใดได้…อาหลีน้อย เจ้าอย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ได้หรือไม่ มันน่ากลัว!” เขาตบหน้าอกตนเองด้วยท่าทางเกินจริง เหมือนนางทำให้เขาตกใจจริงๆ
…………………………………………………