บนโลกใบนี้ มีสตรีเพียงนางเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเขาพกยาวิเศษติดตัวไว้ที่เอว ไม่ว่าสตรีตรงหน้าจะปฏิเสธตัวตนของตนเองเช่นไร ปิดบังความรู้สึกอย่างไรก็ตาม แต่พฤติกรรมและการกระทำทุกอย่างของนางล้วนกำลังบ่งบอกว่านางก็คือนาง!
“ซูซู!”
หัวใจของซูหลีพลันสะดุด นางรีบหดมือกลับทันที ที่แท้เขาก็ฟื้นแล้ว! ซูหลีพลันเคืองขุ่น ผลักเขาออกแล้วลุกขึ้นยืน หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง
จนถึงตอนนี้ แม้ความตายมาเยือนตรงหน้าแล้ว เขากลับยังไม่ยอมหยุดทดสอบนางอีก? หรือการยืนยันตัวตนของนาง สำคัญกว่าความเป็นความตายของเขา? เขารู้หรือไม่ ว่าสตรีผู้นั้นไม่ใช่นาง ที่จะจงใจเบี่ยงคมดาบออกยามที่แทงเขา!
ซูหลีหลับตาแน่นๆ อยากจะจากไปเสียตอนนี้ ไม่สนใจว่าเขาจะเป็นหรือตายอีก ทว่าดวงตาอันมุ่งมั่นของเขาที่อยู่ท่ามกลางความมืดโอบรัดร่างกายนางไว้แน่น ทำให้นางก้าวเท้าไม่ออก
นางขมวดคิ้วถาม “ท่าน ไม่กลัวตายสักนิดจริงๆ หรือ?”
“เจ้าเล่า?” เขาถาม “กลัวว่าข้าจะตายหรือไม่?” เขานั่งพิงผนัง นัยน์ตาคมปลาบจ้องตรงเข้ามาในหัวใจ
ซูหลีสะท้านไปทั้งตัว ราวกับกลัวถูกคนอ่านใจออก นางแค่นหัวเราะเย็นชา แล้วกล่าวว่า “น่าขัน! ท่านจะตายหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับข้า?”
เขาไม่พูดอะไร รอบข้างเงียบสงัดราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ มีเพียงลมหายใจอันแผ่วเบาของเขาที่ดังก้องอยู่ห้องนี้ บีบคั้นและกดดันหัวใจของซูหลี ความเจ็บปวดอันคุ้นเคยค่อยๆ แผ่ปกคลุมหัวใจ ซูหลีสูดหายใจลึกๆ เห็นนิ้วมือซีดขาวของเขาไถลตกพื้นอย่างอ่อนแรง จมอยู่ในกองเลือดอันหนาวเหน็บ ความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นอีก หัวใจของนางบีบรัด รีบเบนหน้าหนี ไม่กล้ามองภาพตรงหน้าอีก
ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เดิมทีตัวข้าอยู่ท่ามกลางความมืดมิด มองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือตนเอง ไม่รู้กระทั่งว่าตนเองควรเดินไปทางไหน ควรทำอะไร? จนกระทั่ง ข้าได้ยินเสียงหนึ่งที่ร้องเรียกชื่อของข้า…” เขาหยุดพูด นัยน์ตาดำขลับมองตรงไปที่นาง “ข้าจำได้ว่าฝันถึงเสียงนั้นทุกค่ำคืน เอาแต่เฝ้าฝันและปรารถนาที่จะได้พบหน้าเจ้าของเสียงนั้นอีก”
ร่างกายของซูหลีแข็งค้าง ทว่ากลับไม่พูดอะไร
“ฉะนั้นข้าจึงออกวิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต พร่ำบอกตนเองไม่หยุดว่าข้าจะไปตามหานาง ตามหานางให้พบ ไม่อาจสูญเสียนางไปอีกครั้ง…” เสียงของเขาแผ่วเบา สายตากลับเปล่งประกายขึ้นเรื่อยๆ “แต่ข้าไร้ซึ่งทิศทาง ข้านึกว่าตนเองสิ้นหวังแล้ว ในยามนั้น มือของนางกลับยื่นเข้ามา ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนดังเช่นในอดีต…”
“หยุดพูดได้แล้ว!” ซูหลีเบนหน้าหนี ทว่าขอบตากลับร้อนผ่าวอย่างไม่อาจควบคุมได้
เขาหยุดพูดดังคาด ในห้องขังอันมืดมิด มีเพียงเสียงลมหายใจอันปั่นป่วนของทั้งคู่ ที่กำลังเปิดเผยความลับซึ่งซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจพวกเขา
“เหตุใดต้องช่วยข้า?” เขายิ้มอย่างอ่อนแรง ซูหลีกลับพูดอะไรไม่ออก
นางจะมองดูเขาตาย หรือค่อยมาดูเขาหลังจากตายไปแล้วก็ย่อมได้ แต่นางกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
เขาพยายามหยัดกายลุกขึ้นยืน แล้วก้าวมาหานางทีละก้าวๆ ฝีเท้าแผ่วเบา ราวกับจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ
“เหตุใดจึงต้องดึงข้ากลับมาจากความมืดมิดอันไร้จุดสิ้นสุดนั้นด้วย?”
นางเบิกตากว้าง มองดูเขาก้าวเข้ามาทีละก้าวๆ ทว่านางกลับไม่อาจขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เหตุใดต้องช่วยเขา? นางเองก็ไม่รู้เช่นกัน ทั้งที่เขาเป็นศัตรูของนาง การมองดูเขาตายอย่างทรมาน ควรเป็นเรื่องที่นางสมควรดีใจแท้ๆ! แต่ว่านาง…กลับไม่อาจดีใจได้ แม้มีเหตุผลนับพันนับหมื่นให้เกลียดแค้นเขา แต่ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดนางก็มักจะนึกถึงแต่ความดีของเขาที่มีต่อนาง!
หากเขาตายจริงๆ บนโลกใบนี้ ก็จะไม่มีตงฟางเจ๋ออีกต่อไปแล้ว
หัวใจของนางเจ็บปวดอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดโจมตีหัวใจนางทันที ที่แท้ไม่ว่านางจะเกลียดชังเพียงใด ทว่าสุดท้ายกลับมิอาจสังหารคนที่เคยรักได้อยู่ดี นางสูดหายใจลึกๆ เอื้อมมือออกไปหยิบขวดยาจากตัวเขา หมายจะเทยาเม็ดหนึ่งออกมาแล้วป้อนใส่ปากเขา ทว่าข้างในขวดยากลับว่างเปล่า หัวใจของซูหลีจมดิ่งทันที นางอุทานด้วยความตกใจ “ยาเล่า?”
“หมดแล้ว” น้ำเสียงของเขาแหบพร่าและแผ่วเบา ใบหน้ากลับยังคงสงบนิ่งเยือกเย็น คล้ายปลงต่อความตายนานแล้ว แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดเขาจึงต้องหมกมุ่นกับนาง แม้ตายก็ยังไม่ยอมปล่อยมือเช่นนี้?
“ตงฟางเจ๋อ ท่าน…” นางบีบขวดยาในมือแน่นจนแทบแตก นางเงยหน้ามองเขา พูดอะไรไม่ออก
ตงฟางเจ๋อยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ซูซู หากข้าตาย เจ้า…จะอภัยให้ข้าได้หรือไม่?”
“ไม่ได้” ซูหลีตอบโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด น้ำเสียงของนางเย็นชาและแข็งกร้าว แต่กลับสั่นเครือเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุม
นึกย้อนไปถึงตอนแรก เขาเคยถูกเฉินเหมินไล่ล่าสังหาร ถูกอดีตฮองเฮาวางแผนลอบทำร้าย บ้างก็บาดเจ็บสาหัส บ้างก็ถูกขัง มีครั้งใดบ้างที่ไม่อันตราย? สุดท้ายเขาก็พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ทุกครั้งไป คนที่ว่ายน้ำในเดือนสามติดต่อกันเจ็ดวันแต่ไม่ตาย จิตตานุภาพ ความอดทน และพลังชีวิตของเขาล้วนไม่ธรรมดา ขอเพียงเขาอดทน ก็ต้องผ่านมันไปได้แน่!
ตงฟางเจ๋อไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ แน่นอน บนโลกใบนี้ หากเขาไม่ยอม ก็ไม่มีผู้ใดเอาชีวิตเขาได้!
ราวกับอ่านใจนางออก กลีบปากเผยรอยยิ้มขมขื่น บนโลกใบนี้ไม่มีผู้ใดเอาชีวิตเขาได้จริงๆ ยกเว้นแค่คนคนเดียวเท่านั้น เขายินยอมพร้อมใจเป็นแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟเพื่อนาง ทำได้ทุกอย่างทุกวิถีทางเพื่อนาง เขาฉลาดปราดเปรื่องไม่เป็นสองรองใคร วรยุทธ์ล้ำเลิศในปฐพี ทว่ากลับไม่อาจต้านทานวาจาตัดเยื่อใยเพียงประโยคเดียวของนาง หากต้องการปลิดชีพเขา เพียงแปลงโฉมเป็นนางเท่านั้น เพียงหนึ่งดาบ ก็เห็นผลแล้ว
รู้ทั้งรู้ว่าเป็นตัวปลอม แต่เขาก็ยังติดกับดัก ใบหน้านั้น เป็นใบหน้าที่เขาเฝ้าฝันถึงและไม่อาจลืมเลือน เขาอยากพบและยืนยันอยู่ทุกวินาที ทว่าสุดท้ายกลับไม่อาจสมปรารถนา ยามนี้จู่ๆ ก็ได้เห็น แล้วเขาจะไม่ติดกับดักได้เช่นไรเล่า?
“เช่นนั้น ก่อนข้าตาย ข้ามีเรื่องขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย” เขาดูเหมือนทนไม่ไหวอีกต่อไป เซถอยหลังไปข้างผนัง สายตากลับยังคงจดจ้องนาง จ้องใบหน้าที่สวมหน้ากากของนาง
“ข้าจะส่งท่านกลับแคว้นเฉิง” น้ำเสียงใจเย็นของนาง ทำให้เขาอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ สุดท้ายเขาก็หยัดยืนต่อไปไม่ไหว ล้มลงตรงมุมกำแพง เขากระอักเลือดออกมาอีกครั้ง กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นจนทำให้รู้สึกถึงพญามัจจุราชที่ใกล้เข้ามาทีละก้าวๆ
ซูหลีจ้องมองเขาไม่วางตา แต่กลับไม่กล้าก้าวเท้าเข้าไปหาอีก
“ถ้าหาก คำขอของข้า คือหลังตายขออยู่เคียงข้างเจ้าไปตลอดกาล…” เขาหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงเริ่มเลือนรางไม่ชัดเจน
ซูหลีกัดฟัน “ท่านบ้าไปแล้ว!”
เขาพยายามหยัดร่างกายไว้ แต่ศีรษะกลับก้มต่ำลงทุกที คล้ายดวงวิญญาณกำลังล่องลอยออกไปไกลเรื่อยๆ “คำขอสุดท้าย…ของข้า เจ้ามิอาจปฏิเสธ…”
ในที่สุดซูหลีก็ทนไม่ไหว นางพุ่งตัวเข้าไปจับไหล่เขา “ข้าไม่รับปาก! ไม่รับปาก! ได้ยินหรือไม่? ท่านฟื้นเดี๋ยวนี้!” นางเริ่มตบหน้าเขา พยายามให้เขาครองสติเอาไว้ แต่เขากลับหลับตาลง
ซูหลีแตกตื่น น้ำตาอุ่นร้อนพรั่งพรูออกจากดวงตาทันที “ตงฟางเจ๋อ! ตงฟางเจ๋อ! ท่านจะตายไม่ได้! ฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
“เจ้าสำนัก!” เซี่ยงหลี หวั่นซิน และเจียงหยวนเพิ่งจะเข้ามา เลือดสีแดงสดที่เลอะไปทั่วพื้นทำให้พวกเขาตกตะลึงไปทันที
ซูหลีข่มกลั้นความเจ็บปวดในใจอย่างสุดความสามารถ “คนเล่า?”
“นางปลิดชีพตนเองแล้วเจ้าค่ะ” หวั่นซินกล่าว “นางกล้าทำเรื่องเช่นนี้ ย่อมรู้ว่าตนเองไม่รอดแน่”
ซูหลีกล่าวเสียงเย็น “ส่งศพของนางกลับไปที่วังหลวง”
หวั่นซินอึ้งงัน “เจ้าสำนัก…”
“ไป!” ซูหลีตวาด
หวั่นซินถอนหายใจ ทำได้เพียงทำตามคำสั่ง เจียงหยวนเข้ามาตรวจอาการบาดเจ็บของตงฟางเจ๋อ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ “ไอกระบี่ทำลายไปถึงชีพจรหัวใจแล้ว เกรงว่า…”
………………….