“หากเจ้าผิดคำพูดจะทำเช่นไร”
อวี๋เชียนจียิ้มหวาน แล้วชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูเซี่ยงหลี รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้าเซี่ยงหลี เขาพยักหน้าหลายครั้ง แล้วปล่อยมือจากเอวนาง
อวี๋เชียนจีจัดแจงเสื้อผ้าอาภรณ์ ชำเลืองมองเซี่ยฝูอันเล็กน้อย ก่อนจะสาวเท้าเดินออกจากหอซือหยวนเร็วๆ ไม่นานเงาร่างของนางก็หายลับไปในทางเดินที่ทอดยาวกลางทะเลสาบอย่างรวดเร็ว
เซี่ยงหลีหยักยิ้มมุมปากเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น
เซี่ยฝูอันลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าตนเองแรงๆ แล้วกล่าวเสียดสี “ทูตมั่งคั่งเป็นยอดฝีมือด้านถนอมบุปผาดังคาด”
เซี่ยงหลีหันมาเหล่พิจารณาเขาด้วยหางตา แล้วกล่าวอย่างมีความนัยแฝง “ชายชาตรีล้วนเป็นเช่นนี้ กลับเป็นท่านเสียมากกว่า หญิงงามอยู่ตรงหน้าก็ยังทนเฉยอยู่ได้ ท่านเป็นชายหรือไม่กันแน่?”
เซี่ยฝูอันเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากเบาๆ กล่าวด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ “บนอักษรคำว่า ‘เซ่อ[1]’ มีมีดแขวนอยู่ ทูตมั่งคั่งอย่าปล่อยให้เรื่องชู้สาวคร่าชีวิตตนเอง” เขาเงยหน้ามองไปยังทิศที่อวี๋เชียนจีเดินจากไป แววตาคมปลาบเย็นชาพาดผ่าน
“ท่านหมายความว่า…สตรีนางนี้มิอาจแตะต้องได้?” เซี่ยงหลีหรี่ตา ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านดูเบาข้าเกินไปแล้ว ไม่เคยได้ยินหรือ ตายใต้ดอกโบตั๋น แม้เป็นผีก็คุ้มค่า หากข้าสนใจนางจริงๆ ก็คงไม่กลัวทักษะการใช้พิษอันยอดเยี่ยมของนางหรอก”
เซี่ยฝูอันเหลือบมองเขาเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอีก
ไม่ใช่บุรุษทุกคนที่จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการยั่วยวนของสตรี! ดูท่าการที่อวี๋เชียนจีมาหาเซี่ยฝูอัน คงเป็นการเสียแรงเปล่าเสียแล้ว
ระหว่างออกจากหอซือหยวน ซูหลีพลันนึกประโยคหนึ่งขึ้นมาได้
‘ยามอยู่ต่อหน้าสตรีที่ตนเองไม่ได้ชื่นชอบเท่านั้น บุรุษจึงจะสามารถควบคุมตนเองได้ดี…’
เซี่ยฝูอันเฉยชาแม้อยู่ต่อหน้าหญิงงาม เขาควบคุมตนเองได้ดีถึงเพียงนี้ เพราะเป็นดังประโยคนี้งั้นหรือ?
ซูหลีลอบตึงเครียด นางให้เซี่ยงหลีทดสอบเขาในครั้งนี้ ยังคงไม่อาจทดสอบได้ว่าวรยุทธ์ของเซี่ยฝูอันเป็นเช่นไร ซูหลีรู้สึกว่าคนผู้นี้ภายนอกดูธรรมดา แท้จริงความคิดลึกล้ำดั่งมหาสมุทร สุขุมเยือกเย็น จนมิอาจมองทะลุปรุโปร่ง โดยเฉพาะความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกนั้น มักทำให้หัวใจของนางสับสนวุ่นวายโดยไม่รู้สาเหตุ
ครั้นกลับถึงตำหนักเซิ่งซิน เพิ่งจะย่างท้าวเข้าไปบนทางเดินลอยน้ำ โม่เซียงก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหา กล่าวอย่างร้อนใจ “แย่แล้วเจ้าค่ะ เกิดเรื่องกับองค์ชายสี่แล้ว!”
สายตาของซูหลีพลันเปลี่ยน นางเร่งฝีเท้าทันที เพิ่งจะเดินไปถึงตำหนักข้าง ยังไม่ทันเข้าไปข้างใน ก็ได้ยินเสวียนจิ้งขานเรียกอย่างร้อนใจ “องค์ชายสี่! องค์ชายสี่พ่ะย่ะค่ะ…”
“เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน? ยามนี้จะทำเช่นไรดี?” เสวียนฟงโกรธเกรี้ยวสุดขีด “ทูตวิญญาณ อาการขององค์ชายสี่เป็นเช่นไรบ้าง?!”
เจียงหยวนปล่อยมือหยางเซียว สีหน้าเคร่งเครียด คล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ไม่มีเวลาสนใจเขา
เสวียนฟงหมายจะอาละวาด กลับเห็นซูหลีเดินเข้ามา รัศมีคมปลาบเยือกเย็นแผ่กำจายรอบกายนาง เสวียนฟงตกตะลึง รีบหุบปากทันที ก่อนจะเดินเข้าไปค้อมกายให้นางพร้อมกับเสวียนจิ้ง
ซูหลีสาวเท้าเร็วๆ เดินไปที่เตียงหยางเซียว เห็นเขานอนแน่นิ่งไม่ขยับ หลับตาสนิท ใบหน้าเขียวคล้ำเล็กน้อย ความมีชีวิตชีวาในยามปกติหายไปจนสิ้น
“เกิดเรื่องใดขึ้น?” ซูหลีขมวดคิ้วถาม
ทุกคนในตำหนักเงียบกริบ บรรยากาศกดดันราวกับพายุฝนกำลังจะมาเยือน
เสวียนฟงกล่าว “เรียนท่านธิดาเทพ ข้าน้อยเองก็ไม่ค่อยทราบนัก ยามที่พวกข้าน้อยมาถึง องค์ชายสี่ก็หมดสติไปแล้ว ทูตวิญญาณ เจ้าวินิจฉัยได้ความว่าเช่นไรบ้าง?”
เจียงหยวนเห็นว่าซูหลีมาถึงแล้ว จึงเอ่ยว่า “องค์ชายสี่ถูกวางยาพิษ อาการ…ไม่สู้ดีนัก”
ครั้นวาจานี้หลุดจากปาก สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยน หยางเซียวเป็นองค์ชายแห่งแคว้นเปี้ยน ฐานะสูงศักดิ์เพียงใดทุกคนย่อมทราบดี หากเกิดข้อผิดพลาดใดขึ้นมา แม้ทุกคนในลัทธิธิดาเทพจะยอมตายถวายชีวิตก็ยังมิอาจชดใช้ความผิด! เสวียนจิ้งหน้าซีดเผือด องค์ชายสี่ผู้นี้ปราดเปรื่องและขี้เล่นมาโดยตลอด เหตุใดจู่ๆ จึงถูกวางยาพิษได้เล่า? เขากำลังเล่นตลกอะไรอยู่หรือไม่?
สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ นางก้าวเข้าไปขานเรียกเสียงดัง “หยางเซียว! หยุดล้อเล่นได้แล้ว! หากท่านยังไม่ลุกขึ้นมา ข้าจะโยนท่านเป็นอาหารให้ปลาในทะเลสาบเซิ่งซินเดี๋ยวนี้!”
ไม่บ่อยนักที่นางจะเรียกชื่อเขา นางจะเรียกก็ต่อเมื่อโกรธจริงๆ เท่านั้น ทุกครั้งที่เรียกเขา แม้จะเข้านอนแล้ว เขาก็จะรีบลุกพรวดจากเตียง แล้วหันมายิ้มให้นางพร้อมกับเอ่ยว่า ‘เจ้าเรียกข้าหรือ?’
เขามักขี้เล่นและไม่จริงจังอยู่เสมอ เพียงพริบตาเดียวก็หาลูกไม้ใหม่มากวนโมโหนาง และหยอกล้อให้นางมีความสุขได้ไม่หยุดหย่อน ราวกับมีพลังเหลือล้นไม่มีวันหมดอย่างไรอย่างนั้น
ภายในตำหนักเงียบงันมาก หยางเซียวในยามนี้ ไม่ได้ดูแตกต่างจากในยามปกติ เขายังคงสวมอาภรณ์สีแดง แต่กลับนอนเงียบอยู่บนเตียง ไม่มีการตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น
“หยางเซียวท่านลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ!” ไม่รู้ว่าความรู้สึกจุกอกนี้มาจากที่ใด ซูหลีถมึงตาจ้องคนบนเตียง แล้วตวาดเสียงดัง “หากท่านยังไม่ลุกขึ้นมา ข้าจะไม่สนใจท่านอีกตลอดกาล!”
ทุกคนในห้องตกตะลึง ธิดาเทพสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด มีเวลาที่ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้เช่นนี้ด้วยหรือ?
หัวใจของซูหลีเต้นเร็วอย่างไม่อาจควบคุม ราวกับเสียงตีกลองรัวๆ นางก้าวเข้าไปคว้าตัวหยางเซียว แล้วกล่าวอย่างโมโห “ข้าบอกให้ท่านลุกขึ้นมา ท่านไม่ได้ยินหรือ?”
ร่างกายของเขาสั่นไหวไปตามแรงกระชากของนางอย่างอ่อนแรง เป็นการตอบสนองของคนที่ไม่มีสติรับรู้เหลืออยู่แม้แต่น้อย พลันนั้น เลือดไหลออกจากปากและจมูกของเขา ซูหลีอึ้งงัน มืออ่อนแรง ร่างกายของหยางเซียวล้มเข้ามาในอ้อมแขนนาง
ซูหลีจึงเพิ่งรู้สึกได้ว่า ใบหน้าเขาที่แนบติดไหล่นางเย็นชืดไปเสียแล้ว
ซูหลีตะลึงงัน ราวกับไม่อยากเชื่อ นางยกมือประคองใบหน้าเขา เหมือนต้องการพิสูจน์ว่าตนเองเข้าใจผิดไป
เพียงแต่มือของนางกลับสัมผัสถูกคราบเลือดตรงมุมปากเขา ผิวกายของเขาเย็นเฉียบ มีเพียงเลือดตรงมุมปากเขาเท่านั้นที่ยังคงอุ่นอยู่
นางก้มหน้า มองเลือดสีแดงสดที่ปลายนิ้ว น้ำตาไหลอาบหน้ากากสีทองโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
เขาเพิ่งกลับมาวันนี้ ชะโงกหน้าเข้ามาในประตูตำหนัก แล้วกล่าวกับนางด้วยรอยยิ้มสดใส ‘ข้ากลับมาแล้ว อาหลีน้อย เจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่?’
ทว่าผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วยาม เขาก็นอนอยู่ตรงนี้ ด้วยร่างที่ไร้ลมหายใจ
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?
แสงสว่างเริ่มจางหาย ท้องฟ้าสว่างสดใสค่อยๆ มืดลง ก็เหมือนกับชีวิตของคนเรา จากมีจนไม่มี ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
ครั้นความมืดปกคลุมผืนฟ้า ปกคลุมแผ่นดินผืนนี้ แสงโคมไฟเหลืองนวลที่ถูกจุดนอกตำหนักส่องสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ เหมือนดวงวิญญาณจากขุมนรกที่โลดแล่นอยู่ท่ามกลางความมืด
“ไหนท่านบอกภายหน้าจะปกป้องข้า ผู้ชายเชื่อไม่ได้สักคน ท่านเองก็เหมือนกัน!” นางพลันกัดฟันยิ้มเย็นชา เหมือนกำลังโศกเศร้า ขณะเดียวกันก็เหมือนกำลังเย้ยหยันตนเอง
นางลุกพรวด ร่างกายของหยางเซียวล้มนอนบนเตียงอย่างอ่อนแรงอีกครั้ง ราวกับความโกรธแค้นในใจไร้ที่ระบาย ซูหลีสะบัดแขนเสื้อกลางอากาศ เตียงไม้สั่นสะเทือน หยางเซียวที่นอนอยู่บนเตียงถูกพลังงานขุมนี้พลิกร่าง ทั้งคนและผ้าห่มถูกม้วนเข้าด้วยกันจนมีสภาพเหมือนบ๊ะจ่าง และกลิ้งเข้าไปด้านในของเตียง
พยับเมฆแผ่ปกคลุมท้องฟ้า นัยน์ตาดำขลับดั่งน้ำหมึกพลันปรากฏไอสังหาร
ยามนี้ บรรดาผู้มีอำนาจสูงสุดในลัทธิธิดาเทพมารวมตัวกันที่ตำหนักเซิ่งซิน ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไรสักคำ กลิ่นอายเย็นยะเยือกแผ่กำจายรอบกายซูหลี ราวกับชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมทุกอย่างไว้
เสวียนฟงขมวดคิ้วเล็กน้อย ลอบสังเกตสีหน้านางเงียบๆ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ก้าวออกมาแล้วกล่าวว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านธิดาเทพโปรดระงับความเศร้าโศก ยามนี้ควรตรวจสอบโดยเร็วที่สุดว่าผู้ใดเป็นคนวางยาพิษองค์ชายสี่ จะได้ทูลฝ่าบาทได้ถูก”
“ตรวจสอบนั้นอย่างไรก็ต้องตรวจสอบ!” ซูหลีจ้องคนตรงหน้า สายตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ
“เมื่อครู่องค์ชายสี่กินสิ่งใดและใช้อะไรไปบ้าง?” ทันใดนั้น คนผู้หนึ่งถามขึ้น ทุกคนหันไปมอง ที่แท้ก็เป็นเซี่ยฝูอัน ไม่รู้เขาเข้ามาในตำหนักตั้งแต่เมื่อใด
……………………
[1] เซ่อ (色) แปลว่า เรื่องเชิงชู้สาว บนตัว 巴 มีอักษร 刀 ซึ่งแปลว่ามีดอยู่ด้านบน