เขาหมุนกายอย่างเงียบเชียบ บาดแผลเหวอะหวะบนหัวไหล่ปรากฏสู่สายตาทันที
ซูหลีสูดหายใจด้วยความตกใจ แผลของเขาร้ายแรงกว่าที่นางคิด! นางรีบหยิบขวดยาขึ้นมา แล้วจัดการคราบเลือดรอบบาดแผลอย่างระมัดระวัง ก่อนจะโรยผงยาทีละนิดๆ ชั่วขณะหนึ่ง นางรู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกระหว่างนางกับเขา ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามมองข้ามความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ไป ทว่ามือกลับสั่นเทาเล็กน้อย เล็บมือแหลมๆ ของนางข่วนโดนบาดแผลโดยไม่ทันระวัง นางรู้สึกได้ทันทีว่าร่างกายของบุรุษตรงหน้าสั่นสะท้าน ผิวกายตึงเกร็ง
“เจ็บหรือ?” นางชะโงกหน้ามามองด้วยความรู้สึกผิด แต่กลับพบว่านัยน์ตาลึกล้ำของเขาที่จ้องหน้านาง ทำให้นางไม่กล้าสบตาตรงๆ หัวใจของซูหลีสั่นไหว นางรีบก้มหน้าอย่างไม่รู้ตัว แสงสว่างในห้องมืดมาก รอบกายเงียบงัน ความคิดของนางพลันฟุ้งซ่านขึ้นมาทันที “เจ้ามีผ้าพันแผลหรือไม่?” นางมองซ้ายมองขวา พยายามเบี่ยงเบนสายตาตนเองออกไปอย่างสุดกำลัง
“มีขอรับ” เสียงของเขาทุ้มต่ำ เขาเอื้อมมือไปหยิบผ้าสีขาวใต้หมอน ซูหลีนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง เหตุใดเขาจึงต้องเตรียมผ้าพันแผลไว้ใต้หมอนด้วยเล่า? หรือคาดเดาไว้แต่แรกแล้วว่าอาจต้องบาดเจ็บ? แต่นางไม่มีเวลาคิดมาก เงยหน้าก็เห็นสายตาร้อนแรงของเขาที่มองมา จึงทำได้เพียงรับผ้าผืนนั้นมา แล้วช่วยเขาพันแผล มือของนางสาละวนอยู่รอบกายเขา อุณหภูมิบนร่างกายเขาราวกับแผ่ซ่านผ่านปลายนิ้วมือของนางตรงเข้าสู่หัวใจ ซูหลีพยายามสงบสติอารมณ์ รีบพันแผลให้เสร็จโดยเร็ว พลันนั้น รอยแผลเป็นจางๆ บนแผ่นหลังเขาดึงดูดสายตานางทันที รอยแผลนั้นเหมือนเกิดขึ้นมานานมากแล้ว คล้ายแผลถูกธนูยิงอย่างมาก ตำแหน่งเดียวกับที่ตงฟางเจ๋อถูกธนูยิงขณะช่วยนางในเส้นทางลับของเฉินเหมิน…หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน สองมือสั่นเทา
“เป็นอะไรไปขอรับ?” ครั้นเห็นนางไม่มีการตอบสนอง เซี่ยฝูอันก็ถามด้วยความสงสัย
ซูหลีไม่พูดอะไร สายตาจดจ้องอยู่ที่ตำแหน่งหนึ่ง เหม่อลอยไม่ได้สติอยู่เนิ่นนาน ทันใดนั้น นางโยนผ้าในมือทิ้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นสาวเท้ายาวๆ เปิดประตูเดินออกไป
นางเดินเร็วมาก แม้กลับมาถึงตำหนักเซิ่งซิน นางก็ยังไม่อาจสงบจิตใจลงได้ เรื่องบางเรื่องก็มิอาจคิดอย่างละเอียดได้ ยิ่งคิด สมองของนางก็ยิ่งขาวโพลน หัวใจก็ยิ่งสับสนวุ่นวาย
“วันนี้คุณหนูดูจิตใจไม่ค่อยสงบเลย มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือเจ้าคะ?” หวั่นซินถาม
ซูหลีไม่พูดอะไร เอาแต่นั่งเหม่อลอยมองไปนอกหน้าต่าง โดยไม่รู้ตัว เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงมื้อเย็นแล้ว โม่เซียงเดินเข้ามาในห้อง แล้วกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ “เย็นนี้อาหารอุดมสมบูรณ์มาก! ผู้ดูแลเซี่ยลงครัวด้วยตนเอง ทำอาหารเต็มโต๊ะเลยทีเดียว บ่าวเห็นมีแต่ของที่คุณหนูชอบทั้งนั้นเลยนะเจ้าคะ!”
ซูหลีอึ้งงัน เขาบาดเจ็บ แต่กลับไปทำอาหารที่ห้องครัว?
หวั่นซินกล่าวอย่างครุ่นคิด “เซี่ยฝูอันผู้นี้ ช่างน่าแปลกยิ่งนัก คุณหนูไม่เคยบอกว่าชอบอะไร แต่เขากลับรู้ความชอบของคุณหนูเป็นอย่างดี!”
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ ลุกพรวด แล้วสาวเท้าเดินเร็วๆ ไปที่ห้องอาหาร
ยังไม่ทันเดินเข้าไปในห้อง กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยโชยมาแตะจมูกกระตุ้นความอยากอาหาร แต่ในกลิ่นหอมเย้ายวนใจนี้ กลับมีกลิ่นหอมจางๆ กลิ่นหนึ่งปะปนอยู่ด้วย ซูหลีสะดุดใจ ชะงักเท้าทันที
เซี่ยฝูอันเปลี่ยนมาสวมอาภรณ์สีน้ำหมึก ยืนเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังสูงใหญ่ดูมั่นคงหนักแน่นดั่งภูผาเมื่ออยู่ภายใต้แสงเงาสลัว ดูไม่ออกว่าเขากำลังบาดเจ็บอยู่
ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าของซูหลี เขาก็ค่อยๆ หันกลับมา นัยน์ตาลึกล้ำสบเข้ากับสายตาของซูหลี ดวงหน้าที่ดูเรียบเฉย ราวกับกำลังเปล่งประกายเจิดจรัสภายใต้แสงเทียนสีเหลืองนวล เครื่องหน้าทั้งห้าค่อยๆ สะท้อนใบหน้าหล่อเหลาสมบูรณ์แบบอีกใบหน้าหนึ่งทับซ้อนขึ้นมา
หัวใจของซูหลีเต้นอย่างบ้าคลั่ง เลือดลมทั่วกายสูบฉีดขึ้นมาบนหน้าอก นางแทบหายใจไม่ออก รีบหลับตาลงทันที ครั้นลืมตาดูอีกครั้ง เซี่ยฝูอันก็ยังคงเป็นเซี่ยฝูอัน ใบหน้าของบุรุษตรงหน้ายังคงธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น ไม่ใช่ดวงหน้าของคนที่อยู่ในความทรงจำนางแต่อย่างใด
“ท่านธิดาเทพ เชิญขอรับ” เซี่ยฝูอันเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม
ซูหลีจ้องตาเขานิ่งๆ หัวใจยังคงสั่นไหวไม่หาย นางเดินผ่านเขาไป แล้วไปหยุดยืนข้างโต๊ะ บนโต๊ะมีอาหารแปดอย่างน้ำแกงหนึ่งชาม อาหารแต่ละจานล้วนถูกทำขึ้นอย่างประณีต เทียบได้กับอาหารที่นางเคยกินยามอยู่ในจวนเจิ้นหนิงอ๋องเลยก็ว่าได้!
“คุณหนู ข้าไม่ได้โกหกใช่ไหมล่ะเจ้าคะ?” โม่เซียงกระซิบข้างหูนางด้วยเสียงเบิกบาน
ซูหลีกลับยิ้มไม่ออกแม้แต่น้อย ราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่กดทับอยู่ในใจ ทำเอานางแทบหายใจไม่ออก นางยืนนิ่งอยู่ข้างโต๊ะ กลิ่นหอมของอาหารลอยคลุ้งไปทั่วห้อง นางกลับจ้องมองอาหารเพียงจานเดียวบนโต๊ะ หัวใจเต้นรัว ไม่พูดอะไรสักคำ
เมฆสีเหลืองเรืองรองก้อนสุดท้าย ณ เส้นขอบฟ้าได้ลาลับหายไปแล้ว ราตรีมาเยือน ผืนฟ้ามืดมิด ปกคลุมทุกอย่างรอบกายให้กลายเป็นสีที่ยากจะแยกแยะ ใบหน้าของซูหลีก็เหมือนกับยามอาทิตย์อัสดงอันมืดมนนี้ ที่เลือนรางไม่ชัดเจน “อาหารพวกนี้ เจ้าทำเองกับมือหมดเลยหรือ?”
เซี่ยฝูอันรับคำเสียงเบา “ขอรับ” นัยน์ตาที่จ้องมองนางลึกซึ้งขึ้นหลายส่วน เขาแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ท่านธิดาเทพไม่ชอบหรือขอรับ?”
ชอบ ทำไมนางจะไม่ชอบเล่า เหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่เมื่อก่อนนางเคยโปรดปรานทั้งสิ้น โดยเฉพาะรากบัวยัดไส้สองสหายจานนั้น เป็นอาหารจานที่นางเคยชอบกินที่สุด แต่กลับเป็นอาหารจานเดียวท่ามกลางอาหารเลิศรสเต็มโต๊ะนี้ที่นางไม่อาจสัมผัสได้!
บุรุษตรงหน้ามีดวงตาที่ลึกล้ำเหมือนบ่อน้ำ รัศมีเปล่งประกาย เขามองนางเช่นนี้ ไม่มีคำพูดสื่อสารใดๆ แต่นางกลับรู้สึกราวกับเขากำลังมองคนรักในดวงใจอย่างไรอย่างนั้น
ซูหลีผงะถอยหลังหนึ่งก้าว มองหัวไหล่ที่บาดเจ็บของเขา ความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายถาโถมใส่หัวใจ จนแทบทนไม่ไหว นางกำหมัดแน่น พยายามกล่าวอย่างใจเย็น “ผู้ดูแลเซี่ยลงครัวด้วยตนเองทั้งที่บาดเจ็บ ข้าจะไม่ชอบได้อย่างไร? โดยเฉพาะรากบัวยัดไส้สองสหายจานนี้ หน้าตางดงามถึงเพียงนี้ คงลงแรงไปไม่น้อย! ไม่รู้ว่ารสชาติจะเป็นเช่นไรบ้าง?”
นางถือตะเกียบขึ้นมา จากนั้นคีบรากบัวมาแผ่นหนึ่ง แล้วเหล่มองบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกายเงียบๆ เห็นเพียงนัยน์ตาของเขาหดเล็กลงทันที ประกายเจิดจ้าในดวงตาพาดผ่านและหายลับไปอย่างรวดเร็ว ซูหลีหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะวางรากบัวแผ่นนั้นคืนกลับลงไปในจาน ใบหน้าของเขาผ่อนคลายลงทันที คล้ายรู้ว่านางไม่อาจสัมผัสอาหารจานนี้ได้
หัวใจของซูหลีพลันเจ็บแปลบ คำตอบหนึ่งค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมาในใจจนมิอาจมองข้าม
“ตักอาหารให้ข้า” นางออกคำสั่งเสียงขรึม
โม่เซียงอึ้งไปเล็กน้อย รีบเดินเข้าไปหยิบตะเกียบ แต่กลับได้ยินซูหลีกล่าวว่า “ไม่ได้หมายถึงเจ้า”
“หา?” โม่เซียงทำได้เพียงถอยหลังกลับไป แล้วมองหวั่นซินอย่างประหลาดใจ นางพึมพำเสียงเบา “วันนี้ท่านธิดาเทพเป็นอะไรไป?”
หวั่นซินจ้องรากบัวยัดไส้สองสหายจานนั้นนิ่ง กลิ่นหอมจางๆ ที่แทบจะไม่ได้กลิ่นของดอกฉา (ดอกคาเมเลีย) ลอยปะปนอยู่ในอากาศ สีหน้านางแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
“ผู้ดูแลเซี่ย” ซูหลีกำชับโดยไม่เงยหน้ามอง “เจ้ามาตักอาหารให้ข้า”
เซี่ยฝูอันอึ้งงัน ทว่าไม่นานเขาก็ก้าวเข้ามา แล้วตักอาหารแต่ละอย่างใส่จานเล็กๆ หลายใบ ไม่รู้ว่าบังเอิญ หรือเพราะความตั้งใจ แต่ตำแหน่งอาหารเหล่านั้นถูกจัดวางตามความชอบของนางได้อย่างพอดี
ซูหลีจ้องรากบัวยัดไส้สองสหายจานเล็กๆ ที่อยู่ใกล้นางที่สุด หัวใจเจ็บปวดเหมือนถูกมีดกรีดแทง จำได้ว่าโม่เซียงเคยบอกว่าร่างกายของนางแพ้ดอกฉา แม้สัมผัสเพียงเล็กน้อยก็จะมีผื่นแดงขึ้นทั่วตัว หากไม่ระวังกินเข้าไป ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น! เมื่อก่อนซูชิ่นก็เคยใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนนี้ของนาง ด้วยการใส่ดอกฉาเข้าไปในชามยา นางอาศัยความรู้เรื่องสมุนไพรเอาตัวรอดมาได้หนหนึ่ง แต่ยามนี้ หากเป็นอย่างที่นางคาดเดาไว้ เกรงว่าไม่ว่านางจะใช้วิธีใดก็คงหลีกเลี่ยงการหยั่งเชิงนี้ไปไม่ได้
…………………………