กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – บทที่ 390 เป็นตายไม่ทอดทิ้งกัน (1)

บทที่ 390 เป็นตายไม่ทอดทิ้งกัน (1)

เท้าของซูหลีสะดุดกึก ทว่ากลับพูดอะไรไม่ออก

“แม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกก็ดับกระหาย[1] แม้มีหญิงงามมากมายเพียงใด พวกนางก็ไม่ใช่เจ้าอยู่ดี” ตงฟางเจ๋อถอนหายใจอย่างเศร้าโศก “เรื่องที่ข้ากระทำต่อเจ้า ข้าย่อมไม่มีวันลืม ข้าเองก็เคยใช้ตำแหน่งฮองเฮาเป็นการชดเชยแล้ว กลับไม่รู้ว่าเจ้าลืมไปแล้วหรือไม่?”

ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตำแหน่งฮองเฮาแห่งแคว้นเฉิง เกรงว่าชาตินี้ซูหลีคงไม่มีวาสนานั้น เชิญท่านเถิด”

ตงฟางเจ๋อมองนางอย่างลึกซึ้ง “ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่! ไม่มีวัน”

ราวกับเขากำลังสาบานต่อหน้าฟ้าดิน แสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดส่องผ่านกิ่งต้นดอกกุ้ยฮวา กระทบลงบนใบหน้างดงามของเขา ทำให้ความเจ็บปวดในดวงตาเขาฉาบไว้ด้วยรัศมีหนักแน่นราวกับจะไม่มีวันผันเปลี่ยน

ซูหลีอึ้งงัน สายตาติดอยู่ในภวังค์ความรู้สึกอันลึกซึ้งดั่งมหาสมุทร จนมิอาจละออกไปได้

เขาก้าวเข้ามากุมมือนาง คล้ายต้องการแสดงให้เห็นถึงความหนักแน่นของเขา แล้วกล่าวว่า “ซูซู ข้าไม่บังคับให้เจ้ากลับไปกับข้า แต่เจ้าจงจำไว้ ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่ ประตูวังแคว้นเฉิงจะยังคงเป็นที่ของเจ้าไปตลอดกาล วังหลังของแคว้นเฉิงไร้ชายาตลอดกาล ฮองเฮาของข้าตงฟางเจ๋อ มีเพียงเจ้าผู้เดียวตลอดชีวิต! ซูซู ต้องมีสักวัน ข้าจะทำให้เจ้ายอมรับข้าอย่างเต็มใจอีกครั้ง ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร ข้าก็จะไม่มีวันเสียใจ”

“ท่าน…!” ซูหลีเบิกตากว้างจ้องหน้าเขา ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก

เขาปล่อยมือนาง แล้วค่อยๆ หันหลัง พยายามข่มกลั้นเลือดลมที่ป่วนพล่านอยู่ในทรวงอก แล้วกล่าวด้วยใบหน้าซีดขาว “รักษาตัวด้วย”

เย็นวันนั้นที่เต็มไปด้วยภาพทิวทัศน์ยามแสงอาทิตย์อัสดงอันสวยงาม มวลบุปผาเบ่งบาน เขากับสตรีอันเป็นที่รักที่สุดของเขาค่อยๆ ห่างไกลกันออกไปท่ามกลางเสียงฝีเท้าม้า จนหายลับไป ณ เส้นขอบฟ้าในที่สุด กลับไม่รู้เลยว่ายามอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้ เรื่องราวของเขากับนางจะกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานที่ถูกเล่าขาน!

ซูหลีเดินทางหามรุ่งหามค่ำ ขี่ม้าเร็วมาถึงเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน ก็มุ่งหน้าตรงไปยังวังหลวงทันที ถึงแม้หยางเซียวจะมียศเป็นองค์ชาย แต่โทษขัดขืนราชโองการเป็นโทษสถานหนัก หากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกริ้วหนักไม่รู้จะสั่งลงโทษเขาเช่นไร

เพิ่งจะก้าวเท้าเข้าไปในตำหนักฉินเจิ้ง ซูหลีก็สะดุดกึกไปทันที ประตูตำหนักด้านหลังพลันเคลื่อนตัวปิดเสียงดัง นางเงยหน้าเล็กน้อย เห็นเพียงเหล่าทหารสวมหมวกและชุดเกราะเหล็ก มือถือกระบี่คมพรั่งพรูเข้ามาจากสองข้างทาง คนที่อยู่ด้านหน้าสุดเงาร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม สีหน้าเย็นชา ป้ายอักษรสีทองลวดลายประณีตแผ่นหนึ่งห้อยอยู่ตรงเอว ตรงกลางสลักคำว่า ‘อวี่’ เอาไว้

ใบหน้าของซูหลีเรียบนิ่ง หัวใจกลับตึงเครียด นางเคยได้ยินหยางเซียวพูดว่านอกจากลัทธิธิดาเทพที่เป็นกองกำลังลับแล้ว ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนยังมีหน่วยองครักษ์อวี่หลินเว่ยอันเหี้ยมหาญ ซึ่งมีเพียงผู้ที่ผ่านการฝึกฝนเป็นพิเศษ และผ่านขั้นตอนการคัดเลือกอย่างเข้มงวดหลายขั้นตอนเท่านั้น จึงจะสามารถเข้ามาอยู่ในนี้ได้ องครักษ์เหล่านี้ แต่ละคนท่าทางขึงขัง สายตาคมปลาบ ล้วนเป็นยอดฝีมืออย่างไม่ต้องสงสัย

ผู้นำหน่วยองครักษ์อวี่หลินเว่ยโบกมือ ตะโกนสั่งด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “จับตัวไว้!”

สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา หมายจะเปิดปาก กลับได้ยินคนผู้หนึ่งตวาดสั่งเสียงเกรี้ยว “ถอยออกไปให้หมด!” เสียงนั้นดังก้องจนทุกคนตกตะลึง เงาร่างสีแดงเพลิงสายหนึ่งพุ่งเข้ามาดั่งฝนดาวตก พริบตาเดียวก็มายืนตรงหน้า คิ้วและดวงตาของเขาเย็นชา มีเพียงยามเห็นซูหลีเท่านั้นที่แววยินดีปรากฏบนคิ้วคม

ครั้นเห็นหยางเซียวปรากฏตัวกะทันหัน หัวหน้าหน่วยองรักษ์อวี่หลินเว่ยลังเลเล็กน้อย ทว่ากลับยังคงกล่าวเสียงเย็นชา “ถวายบังคมองค์ชายสี่! กระหม่อมกำลังจับกุมคนทรยศตามรับสั่งของฝ่าบาท องค์ชายโปรดหลีกทางด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

หยางเซียวยิ้มเย็นชา “แม่นางอาหลีเป็นแขกผู้มีเกียรติที่ข้าเชิญมา ข้าย่อมต้องต้อนรับขับสู้ด้วยตนเอง ไม่รบกวนหัวหน้าองครักษ์เฉิน!” ซูหลีเพิ่งจะเดินทางเข้ามาในเมือง เขาก็รู้ข่าวแล้ว จากเทียนเหมินถึงเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนระยะทางห่างไกล นึกไม่ถึงว่านางจะกลับมาเร็วเช่นนี้ คงกลัวเขาจะถูกเสด็จพ่อลงโทษกระมัง? ครั้นนึกได้อย่างนี้ ความผิดหวังที่นางส่งตงฟางเจ๋อออกจากแผ่นดินเปี้ยนด้วยตนเอง ก็พลันจางหายไปกว่าครึ่ง

หัวหน้าองครักษ์เฉินขมวดคิ้ว ลังเลตัดสินใจไม่ถูกไปชั่วขณะ เหล่าองครักษ์อวี่หลินเว่ยเห็นเขาไม่พูดอะไร จึงไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ ใบหน้าของหยางเซียวตึงเครียด “ยังไม่ถอยไปอีก? หรืออยากให้ข้าส่งแขกด้วยตนเอง?”

หัวหน้าองครักษ์เฉินก้มหน้ากล่าวว่า “กระหม่อมมิกล้า! เพียงแต่รับสั่งของฝ่าบาทมิอาจฝ่าฝืน หวังว่าองค์ชายสี่จะไม่ทรงถือโทษ!” พูดๆ อยู่ เขาก็โบกมือ องครักษ์สองนายก้าวออกมา ดึงดาบเหล็กออกจากฝัก หมายจะเข้าไปจับกุมซูหลี หยางเซียวเดือดดาล เงาร่างโฉบไหว ซัดฝ่ามือทั้งสองข้างออกไปพร้อมกัน ได้ยินเพียงเสียง ‘บึ้ม’ ดังก้อง ดาบที่เพิ่งถูกชักออกมาของสองคนนั้นพลันหักเป็นสองท่อน หยางเซียวตวาดเสียงเกรี้ยว “ผู้ใดบังอาจแตะต้องนาง?”

ทุกคนตกตะลึง พากันผงะถอยหลัง องค์ชายท่านนี้มักชอบทำหน้าทะเล้น คล้ายไม่เคยจริงจัง แต่หากมีผู้ใดทำให้เขาโกรธ เขากลับไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย แผ่นดินเปี้ยนช้าเร็วก็ต้องเป็นของเขา ผู้ใดจะกล้ามีปัญหากับกษัตริย์องค์ต่อไปกันเล่า?! พวกเขาพากันคุกเข่า ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้อีก สายตาเย็นชาของหยางเซียวตวัดมองมา หัวหน้าองครักษ์เฉินหน้าซีด มือที่กำด้ามดาบแทบจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรสักคำ รอบกายเงียบสงบจนน่ากลัว ซูหลีไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมายจะเปิดปากเกลี้ยกล่อม กลับเห็นคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในตำหนัก ค้อมกายต่ำ กล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “กระหม่อมสวีฉาง ถวายบังคมองค์ชายสี่”

หยางเซียวยิ้มเย็นชาพลางกล่าวว่า “ท่านมาพอดี ไปทูลเสด็จพ่อ บ่าวเหล่านี้ไม่เชื่อฟังคำสั่งของข้า สมควรไล่ออกให้หมด!”

สวีฉางกล่าวว่า “องค์ชายสี่โปรดระงับโทสะ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้องค์ชายทบทวนความผิดตนเองในตำหนักบูรพา หากไม่มีรับสั่งห้ามออกมา องค์ชายเสด็จมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”

ใบหน้าหยางเซียวตึงเครียด เขากล่าวอย่างหงุดหงิด “ข้ามีเรื่องที่ต้องทูลเสด็จพ่อ รีบไปรายงานเสด็จพ่อเดี๋ยวนี้”

สวีฉางถอนใจ แล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทมีรับสั่ง องค์ชายสี่เสด็จกลับตำหนักบูรพาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ใบหน้าของหยางเซียวขรึมลง เขาตวาดเสียงดัง “ข้าบอกให้ท่านไปก็ไปสิ อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง!”

สวีฉางตะลึงงัน ขณะที่เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นั้น ซูหลีก็ถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อฝ่าบาทมีรับสั่ง องค์ชายสี่มิอาจขัดขืนได้ ท่านก็กลับไปเถิด วันนี้ซูหลีเข้ามาในวังหลวง ก็เพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาท และให้คำอธิบาย” นางเงยหน้าเล็กน้อย ท่าทางสงบเยือกเย็น สายตามองข้ามเหล่ากำแพงมนุษย์ไปยังตำหนักฉินเจิ้งอันสูงตระหง่านตรงหน้า ประตูสีแดงบานใหญ่เปิดอ้า แสงและเงาด้านในตำหนักวูบไหวไปมา ทำให้ยากจะมองเห็นด้านใน

หยางเซียวอดหันไปมองนางไม่ได้ สายตาแฝงแววลังเล “อาหลี เจ้าไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อกับข้า ต่อหน้าเสด็จพ่อย่อมมีข้าคอยรับผิดชอบ”

ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย “ท่านทำมามากพอแล้ว เรื่องที่เหลือจากนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า เชื่อข้าเถิด”

หยางเซียวขมวดคิ้ว จ้องหน้านางแล้วกล่าวว่า “ไม่ได้ หากเจ้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ข้าต้องไปกับเจ้าด้วย”

ความอบอุ่นพลันบังเกิดในหัวใจซูหลี นางรู้ว่าเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง กลัวว่าฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจะกริ้ว และลงโทษนาง อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหาเขา “ท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”

หยางเซียวอ้าปากจะพูดแต่ก็หยุด เห็นขันทีน้อยผู้หนึ่งเดินเข้ามากระซิบอะไรบางอย่างกับสวีฉาง ใบหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยน ร้องเสียงดังขึ้นมาทันที “ฮ่องเต้มีรับสั่ง ให้องค์ชายสี่กับแม่นางอาหลีไปเข้าเฝ้าพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ”

ด้านในตำหนักฉินเจิ้ง ประตูและหน้าต่างทุกบานถูกเปิดออก ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนประทับอยู่ด้านหลังโต๊ะทรงงานมังกรอันสูงส่ง เขากำลังอ่านฎีกา ซูหลีกับหยางเซียวเดินเข้ามาในตำหนักพร้อมกัน ก่อนจะก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วคุกเข่าคารวะ “ซูหลีถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”

ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนทำราวกับไม่ได้ยิน ยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านฎีกาฉบับแล้วฉบับเล่า ผ่านไปครู่หนึ่ง หยางเซียวทนไม่ไหว เดินมาข้างกายฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน ยิ้มประจบอย่างระมัดระวัง แล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อ อาหลีกลับมาแล้ว ท่าน…”

พู่กันในมือสะดุดกึก ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตาคมปลาบตวัดมองเขาแวบหนึ่ง “ใครให้เจ้าขึ้นมา? ลงไป!”

…………………………………….

[1] แม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกก็ดับกระหาย เป็นสำนวนจีน มีความหมายว่าต่อให้คนบนโลกมีมากมายเพียงใด จะขอรักเจ้าเพียงผู้เดียว

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท