หยางเจิ้นตกตะลึง เห็นเพียงเสวียนฟงพลิกข้อมือ ประกายสีเงินสายหนึ่งพาดผ่าน กริชเล่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมือเสวียนฟง! เขาเบิกตากว้าง ถมึงตาจ้องหยางเจิ้นอย่างโกรธเกรี้ยว “ท่านอ๋องคิดจะสังหารคนปิดปากงั้นหรือ?”
ครั้นถูกจับได้ หยางเจิ้นจึงกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเย็นชา “เหอะ เจ้าทำภารกิจล้มเหลว เดิมทีก็สมควรตายอยู่แล้ว!” พูดไป เขาก็ชิงจู่โจมก่อน ไอเหี้ยมเกรียมแผ่กำจายรอบตัว ทุกกระบวนท่าพุ่งเป้าไปที่จุดสำคัญของเสวียนฟง ไม่อาจปกปิดจุดประสงค์ที่ต้องการสังหารคนไว้ได้อีกต่อไป
เสวียนฟงตั้งสมาธิ ราวกับไร้ความเกรงกลัว พุ่งตัวเข้าไปปะทะกับอีกฝ่ายอย่างดุเดือด สายลมแรงพัดผ่านที่ใด ก้อนหินดินทรายเป็นอันต้องแหลกละเอียด ฝุ่นควันลอยคละคลุ้ง ราวกับว่าฟ้าดินได้แปรปรวนไปในชั่วเสี้ยววินาที
พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายสิบกระบวนท่า กลับตัดสินได้ยากว่าผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะ เสวียนฟงโฉบกายหลบการจู่โจมของหยางเจิ้น ฉวยโอกาสพาตนเองลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วพุ่งทะยานออกจากถ้ำไป
คิดหนีงั้นหรือ? ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก! แววโหดเหี้ยมพาดผ่านดวงตาหยางเจิ้น เขารีบตามไปโดยไม่ลังเล
เสวียนฟงหลบหนีอย่างรวดเร็ว ระหว่างรีบเร่งก็รู้สึกได้ว่าเบื้องหน้าไร้หนทางไปต่อแล้ว เขาพลันชะงักเท้า หันกลับไปจ้องหยางเจิ้นที่ไล่ตามมาติดๆ ด้วยแววตาเคียดแค้น พลันตะโกนเสียงดัง “หลายปีมานี้ เสวียนฟงเสี่ยงชีวิตทำงานให้ท่านอ๋องมากมาย ท่านอ๋องรู้ดีกว่าผู้ใด ยามนี้เสวียนฟงล้มเหลวเพียงครั้งเดียว ท่านอ๋องกลับหมายจะปลิดชีวิตกระหม่อมโดยไม่ลังเล ใช่เหี้ยมโหดเกินไปหรือไม่!”
ครั้นเห็นเขาหยุดหลบหนีอย่างไม่ลืมหูลืมตา หยางเจิ้นจึงกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเย็นชา “แล้วอย่างไรเล่า? ที่เจ้าทำไปทั้งหมดก็ไม่ใช่เพื่อข้า อย่าลืมเสียล่ะ ชีวิตของบุตรชายเจ้ายังอยู่ในกำมือข้า หากเจ้ายังอยากให้เขามีชีวิตต่อไป วันนี้ก็จงก้มหน้ายอมรับความตายแต่โดยดีเสียเถิด!” ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค เงาร่างของหยางเจิ้นก็พุ่งเข้ามา เขาลงมืออย่างรวดเร็วปานสายลม เสวียนฟงเห็นเพียงเงาร่างทับซ้อนมากมาย ยากจะแยกแยะตำแหน่งที่แท้จริงของหยางเจิ้น
เขารีบหลับตา แล้วเงี่ยหูฟังทันที ไม่ปล่อยให้เสียงใดเล็ดลอดผ่านโสตประสาทไปได้ พลันนั้น เสวียนฟงลืมตา สายตาแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบดั่งมีดดาบ เงาลวงตาทั้งหมดพลันเลือนหายไป มีเพียงเงาร่างที่อยู่เยื้องออกไปทางซ้ายเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยังคงชัดเจนอยู่
หยางเจิ้นลอยตัวอยู่กลางอากาศ ก่อนจะทิ้งตัวลงพื้นด้วยความเร็วดังสายฟ้า พร้อมกับซัดฝ่ามือออกไป สายตาของเสวียนฟงแน่วแน่ ซัดฝ่ามือทั้งสองข้างเผชิญหน้าเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัว
ฝ่ามือทั้งสี่ข้างปะทะกัน กำลังภายในอันแข็งแกร่งสองขุมระเบิดอย่างรุนแรง หยางเจิ้นรู้สึกชาไปทั้งแขน เสียหลักเซถอยไปหลายก้าว เสวียนฟงกลับยืนอยู่ที่เดิม ไม่สะเทือนแม้แต่น้อย ยืนมองเขาด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์
หยางเจิ้นตื่นตะลึง เสวียนฟงมีกำลังภายในแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? เขาพลันตระหนักได้ถึงบางอย่าง ลอบคิดในใจท่าไม่ดีเสียแล้ว ชี้หน้าเสวียนฟงแล้วตะโกนถามเสียงเกรี้ยว “เจ้าเป็นผู้ใด? ถึงได้กล้าปลอมตัวเป็นเสวียนฟงมาหลอกข้า!”
“เสด็จน้า”
เสียงขานเรียกแผ่วเบาของสตรีดังมาจากข้างหลัง
เสียงนี้แม้จะแผ่วเบา แต่กลับเหมือนดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจหยางเจิ้น บนโลกใบนี้ คนที่จะขานเรียกเขาว่าเสด็จน้าได้ นอกจากซูหลี ก็ไม่มีผู้ใดอีกแล้ว!
บนโขดหินขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้ง เงาร่างบอบบางสายหนึ่งโฉบลงมาอย่างแช่มช้า นางสวมหน้ากาก ดวงตาดำขลับ อาภรณ์ขาวสะอาดดังหิมะ สง่างามดั่งเทพธิดา นางคือซูหลี ธิดาเทพคนใหม่ผู้ปกครองทั้งแปดสำนักของลัทธิธิดาเทพนั่นเอง
หยางเจิ้นหลังจากตื่นตะลึง ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความสับสน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามเสียงเข้ม “อาหลี เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“ประโยคนี้ หม่อมฉันเองก็อยากถามเสด็จน้าเช่นกันเพคะ” ซูหลีจ้องเขาแน่นิ่ง เดินเข้ามาทีละก้าวๆ ถึงแม้คาดเดาไว้แล้วว่าอาจเป็นเขา แต่ครั้นพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง นางก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่ดี นับแต่อดีตการแย่งชิงบัลลังก์ไม่มีคำว่าครอบครัว จะไม่มีผู้ใดอยู่นอกเหนือความจริงข้อนี้สักคนเลยหรืออย่างไร?
สายตาของหยางเจิ้นสับสนแปรเปลี่ยนภายในเสี้ยววินาที พริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติ เขากล่าวเสียงเข้ม “ข้าได้ข่าวว่าเสวียนฟงหลบหนี เจ้าส่งคนตามหาทั่วทิศ ในฐานะน้าของอาหลี ข้าจึงอยากช่วยเจ้าอีกแรง นึกไม่ถึงว่ากลับเป็นกับดักที่เจ้าร่วมมือกับคนนอกสร้างขึ้นมา!”
“เสด็จน้าเพคะ” ซูหลีขานเรียกเขาด้วยเสียงปวดใจ “วาจาที่พวกท่านคุยกันในถ้ำเมื่อครู่ หม่อมฉันได้ยินหมดแล้วเพคะ”
สายตาของหยางเจิ้นพลันเปลี่ยน ตอนแรกก็ตกหลุมพราง ต่อมาก็ถูกจับโกหกได้ เขาอับอายจนพานโกรธขึ้ง สีหน้าบึ้งตึงสุดขีด กำหมัดแน่น แล้วกล่าวว่า “อาหลี เจ้าทำอย่างนี้หมายความว่าเช่นไร? เจ้าอย่าได้ลืม ข้าต่างหากที่เป็นครอบครัวของเจ้า!”
“เป็นเพราะพระองค์คือเสด็จน้าของหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงยิ่งต้องถามให้แน่ชัด เหตุใดพระองค์จึงต้องทำเช่นนี้?” หัวใจของซูหลีเดือดพล่านอย่างไม่อาจควบคุม “ยามนี้ลัทธิธิดาเทพอยู่ภายใต้การปกครองของหม่อมฉัน พระองค์กลับสั่งให้คนวางยาลอบปลงพระชนม์องค์ชายสี่ซึ่งเป็นหลานแท้ๆ ของพระองค์ในตำหนักเซิ่งซิน…เป็นเพราะอะไรกันแน่เพคะ?”
ครั้นเผชิญหน้ากับคำถามอันปวดใจของนาง สีหน้าของหยางเจิ้นแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง แววโกรธขึ้งบนใบหน้าจางหายไปไม่น้อย “อาหลี น้าไม่มีวันทำร้ายเจ้า”
“เช่นนั้นหรือเพคะ?” เสียงของนางเบามาก และเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นางจ้องตาหยางเจิ้นแล้วกล่าวต่อ “บางทีหลังจากแผนการสำเร็จ เสด็จน้าอาจเห็นแก่ความเป็นญาติ ไม่เอาชีวิตหม่อมฉัน แต่นับจากนี้ แผ่นดินเปี้ยนกลับต้องตกอยู่ท่ามกลางสงครามนองเลือด! เพียงเพื่อการแย่งชิงอำนาจ ทำให้เสด็จน้ามองข้ามคนในครอบครัว และยอมทำได้ทุกวิถีทางเชียวหรือเพคะ!”
ซูหลีสูดหายใจลึกๆ หัวใจเจ็บปวดยากจะทานทน การเข่นฆ่ากันอย่างโหดเหี้ยมที่เกิดจากการแย่งชิงบัลลังก์กันในแคว้นเฉิง ยังคงชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้น มีคนมากมายต้องสังเวยชีวิตเพื่อสิ่งนี้ ตงฟางเจ๋อใช้ความคิดวางอุบายอย่างสุดกำลัง สุดท้ายก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์สมใจ แต่แล้วอย่างไรเล่า? เขาไม่เหลือคนในครอบครัวสักคน เป็นเพียงคนที่อ้างว้างโดดเดี่ยวเท่านั้น
“ความผิดพลาดครั้งใหญ่ยังไม่เกิดขึ้น เซียวอ๋องรีบวางมือโดยเร็วเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เสวียนฟงตัวปลอมที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง กล่าวอย่างทอดถอนใจด้วยนัยน์ตาเศร้าหมอง
“หุบปาก!” หยางเจิ้นตวาดเสียงเกรี้ยว “เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ ถึงได้บังอาจสั่งข้าเช่นนี้?! ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง!” ไอสังหารพาดผ่านดวงตาของเขา พาร่างกายโฉบขึ้นกลางอากาศโดยพลัน นิ้วมือทั้งห้าขดงอเข้าหากันดั่งตะขอ ก่อนจะตะครุบไปที่หน้าผากของเสวียนฟง
จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคิดแต่จะสังหารคนปิดปาก!
หัวใจของซูหลีหนักอึ้ง รีบพาร่างทะยานขึ้นกลางอากาศ หมายจะขัดขวางการจู่โจมของหยางเจิ้น ก่อนที่เสวียนฟงตัวปลอมจะลงมือ
เสวียนฟงตัวปลอมหน้าเปลี่ยนสี เมื่อครู่เขาต่อสู้กับหยางเจิ้นอย่างดุเดือด รู้ดีว่าพลังของคนผู้นี้ไม่อาจดูเบา ยิ่งยามนี้จู่โจมเข้ามาด้วยความโกรธแค้น เกรงว่าอานุภาพของพลังจะร้ายแรงยิ่งกว่าเมื่อครู่หลายเท่า หากนางวู่วามเข้ามาต้านรับกระบวนท่าแทนรังแต่จะเป็นการทำร้ายตัวนางเอง เขาจึงร้องเตือนออกไปทันที “ระวัง!”
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หยางเจิ้นมองเห็นไม่ชัดเจน ซูหลีถูกเสวียนฟงตัวปลอมโอบเอว แล้วพานางทะยานถอยไปด้านหลัง ทว่ากลับช้าไปเล็กน้อย ฝ่ามือของหยางเจิ้นตะครุบเข้าที่ไหล่ซ้ายของเขา แขนเสื้อฉีกดัง ‘แควก’ นิ้วมือทั้งห้าดั่งตะขอเหล็ก เกี่ยวผิวกายอันเรียบลื่นจนฉีกขาด เลือดสีแดงสดทะลักออกมาทันที
ซูหลีตกตะลึง หลุดร้องเสียงหลง “เซี่ยฝูอัน!”
นัยน์ตาของหยางเจิ้นหดตัว นึกไม่ถึงว่าคนที่ปลอมตัวเป็นเสวียนฟง กลับเป็นเซี่ยฝูอันผู้ดูแลแท่นบูชาหลัก!
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซูหลีประคองเขา แล้วถามอย่างร้อนใจ เที่ยงวันนั้น นางเสนอให้เขาเข้าหาอวี๋เชียนจี ถึงแม้เขาจะเดินหนีไปอย่างไม่พอใจ แต่สุดท้ายกลับยังคงทำตามคำสั่งของนาง โดยการเล่นละครตามน้ำ ทำให้อวี๋เชียนจีเข้าใจผิดว่าเขาสนใจนาง และเผยความลับเรื่องที่เสวียนฟงหลบหนีให้นางรู้ หากอวี๋เชียนจีเป็นหนอนบ่อนไส้จริง ย่อมต้องส่งนกพิราบส่งสารไปให้ผู้บงการเบื้องหลังทราบเรื่องอย่างแน่นอน
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น เพียงแต่ เดิมทีซูหลีคิดว่าหากหยางเจิ้นถูกเปิดโปงแผนชั่ว คงจะหวาดกลัวบ้าง กลับนึกไม่ถึงว่าต่อหน้านาง แม้แต่เสวียนฟงตัวปลอมเขาก็ยังไม่คิดจะละเว้น!
นางหันไปมอง เห็นเพียงหัวไหล่ของเซี่ยฝูอันกลายเป็นบาดแผลเหวอะหวะ เลือดไหลทะลัก หัวใจพลันบีบรัดแน่น แต่เขากลับไม่แม้แต่จะมองแผลตนเอง ตรงกันข้าม แขนที่โอบเอวนางไว้กลับยิ่งรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ คล้ายยังหวาดกลัวไม่หาย กลัวว่านางจะบาดเจ็บ
………………………