ใบหน้าของเขาค่อยๆ ผุดขึ้นมาในความคิดอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุม เขากำลังจ้องมองนางนิ่งๆ คิ้วคมเข้มดั่งสีน้ำหมึก ดวงตาเปล่งประกาย สันจมูกสูงโด่ง แล้วยังมีกลีบปาก…ที่เผยอยิ้มเล็กน้อย
ยามเขาแย้มยิ้ม มุมปากจะเผยอยกขึ้นเล็กน้อย ม่านตาสีดำเหมือนบ่อน้ำลึกที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ลึกล้ำน่าดึงดูด
นางคว่ำคันฉ่องลงบนโต๊ะทันที หลับตาไม่กล้ามองอีก รายละเอียดทางสีหน้าเหล่านั้น ล้วนสลักลึกลงในใจนางนานแล้ว จะลืมได้เช่นไรเล่า? ความทรงจำเด่นชัดมาก เด่นชัดจนนางรู้สึกกลัว
สายลมอ่อนโชยผ่าน ผ้าโปร่งริมหน้าต่างปลิวไหวเริงระบำ คล้ายคลื่นทะเลที่ซัดสาดไม่เป็นจังหวะ
มือคู่หนึ่งดึงนางเข้าไปในอ้อมแขนอันอบอุ่น ลมหายใจอันคุ้นเคยพัดพาเอาความอบอุ่นที่ชวนใจสั่นเป่าผ่านใบหู
ร่างกายของซูหลีสั่นสะท้าน นางกลั้นหายใจ ยังไม่ทันหันกลับไป นิ้วมืออุ่นๆ ก็ลูบไล้ดวงหน้างามละเอียดของนางเบาๆ
“ซูซู”
เสียงนี้มัน…ซูหลีอึ้งงัน ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย ถึงแม้จะสังหรณ์ใจแต่แรกแล้ว แต่ ณ วินาทีนี้ นางก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมาจริงๆ!
ความอบอุ่นที่ห่างหายไปนาน ให้ความรู้สึกที่ทั้งคุ้นเคยแต่ก็แปลกประหลาด เขากับนางด่ำดิ่งสู่ห้วงภวังค์อย่างไม่รู้ตัว กระทั่งเขาทนไม่ไหว จุมพิตกลีบปากนางเบาๆ
ซูหลีสะท้านไปทั้งตัว ผลักเขาออกอย่างแรง แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “ปล่อยข้า ตงฟางเจ๋อ”
แสงเทียนถูกจุดอีกครั้ง ภายใต้แสงสว่างเหลืองนวล ตงฟางเจ๋อแต่งกายเรียบง่าย ไม่หรูหราเช่นในยามปกติ มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ยังคงเปล่งประกายดังเช่นในอดีต ปิดบังความยินดีไว้ไม่มิด
สีหน้าของซูหลีสับสน นางจ้องหน้าที่ขาวซีดเล็กน้อยของเขา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังพูดอะไรไม่ออก เมื่อครู่ทั้งสองแนบชิดกันมาก นางได้กลิ่นยาอ่อนๆ จากกายเขา เจ็บหนักเพียงนี้ แล้วยังเดินทางมาไกลโพ้น เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ หรืออย่างไร?! ผ่านไปครู่หนึ่ง นางกลับกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านกลับไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดยังต้องกลับมาอีก?”
ตงฟางเจ๋อจ้องหน้านางตาไม่กะพริบ พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “เจ้าขัดขืนราชโองการเพื่อข้า ข้าจะวางใจได้อย่างไร”
นางกลับฉีกยิ้มเย็นชา “เช่นนั้นท่านเห็นแล้วหรือยัง ข้าสบายดี ไม่จำเป็นต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น ท่านไปได้แล้ว”
ตงฟางเจ๋อชะงักไปเล็กน้อย เขาดูผิดหวัง ทว่ากลับกล่าวอย่างใจเย็น “เช่นนั้นหรือ? เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงถูกทำโทษให้ทบทวนความผิดอยู่ที่นี่เล่า? การกระทำนี้ของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน เห็นชัดว่ามีเจตนาอื่นแอบแฝง”
ซูหลีหันหน้าหนี ไม่ยอมมองหน้าเขา นางเอ่ยเสียงเย็นชา “ไม่ว่าเขาจะมีเจตนาแอบแฝงหรือไม่ ข้าย่อมดูแลตนเองได้”
ตงฟางเจ๋อถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “เจ้าฉลาดปราดเปรื่อง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนรับมือได้ เพียงแต่ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกับเซียวอ๋องมิได้บาดหมางกันเพียงวันสองวัน เจ้าคิดว่าด้วยนิสัยของเซียวอ๋อง จะกล้าสังหารหยางเซียวเพียงเพราะเรื่องในอดีตจริงหรือ?”
ซูหลีตึงเครียดทันที นี่เป็นเรื่องที่นางกำลังกังวลอยู่จริงๆ แม้ยามเอ่ยถึงเรื่องในอดีตหยางเจิ้นจะจริงใจสักเพียงใด แต่เห็นได้ชัดว่าเจตนาในการหยั่งเชิงมีมากกว่า วาจาของเขาบ่งบอกว่าต้องการให้นางแสดงท่าที เห็นได้ชัดว่ามีจิตใจทะเยอทะยาน
เขาจ้องหน้านางแล้วกล่าวต่อว่า “เซียวอ๋องผู้นี้ ความคิดลึกล้ำรอบคอบ จิตใจเหี้ยมหาญ โอรสสวรรค์เช่นฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน จะปล่อยให้คนที่มีจิตใจทะเยอทะยานเช่นเขาอยู่ข้างกายได้อย่างไร? ภายหน้าสถานการณ์ในแคว้นเปี้ยนจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน เมื่อถึงยามนั้น เจ้าจะเลือกข้างใดกันเล่า?”
สายตาของซูหลีหม่นหมอง หากวันนั้นมาถึงจริงๆ นางควรทำเช่นไร? หากว่ากันถึงเรื่องสายสัมพันธ์ หยางเจิ้นย่อมใกล้ชิดกับนางมากกว่า ถึงแม้ทั้งสองเพิ่งพบกันได้ไม่นาน แต่ก็ถือว่ามีความรู้สึกที่ดีต่อกันไม่น้อย แต่เขาโต้เถียงกับฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเพื่อนาง กระทั่งใช้ป้ายทองคำละเว้นโทษตายอย่างไม่คิดเสียดาย สาบานว่าแม้ตายก็จะปกป้องนางให้จงได้ บุญคุณครั้งนี้ แม้มีเจตนาแฝง ก็มิอาจลืมเลือนได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นน้องชายแท้ๆ เพียงคนเดียวของเสด็จแม่อีกด้วย นางจะยืนมองเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเหมือนเป็นคนนอกได้เช่นไรกัน?
ส่วนหยางเซียว เด็กหนุ่มที่คำนึงถึงนางเสมอ และทุ่มเทเพื่อนางมากมายผู้นั้น นางจำต้องยอมรับ ว่ามาถึงตอนนี้ สำหรับนาง เขาได้กลายเป็นคนสำคัญไปแล้ว หากเกิดเรื่องกับเขา นางก็จะไม่มีทางนิ่งดูดายเช่นกัน
ซูหลีเงียบงันเนิ่นนาน ตงฟางเจ๋อถอนหายใจเบาๆ เหตุใดเขาจะไม่เข้าใจว่านางลำบากใจ? เขาเดินเข้าไปกุมมือนาง แล้วนั่งบนเก้าอี้ “เจ้าไม่ต้องกังวลมากไป เรื่องราวยังไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้น ข้าเพียงต้องการบอกเจ้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไร จะเลือกข้างใคร ข้า จะอยู่ข้างเจ้าเสมอ”
หัวใจของซูหลีพลันแตกตื่นลนลาน พยายามดึงมือกลับ แต่กลับถูกเขากุมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย สายตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ปล่อยข้า มิเช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจท่านแล้วจริงๆ!”
เขาหลับตา ยังคงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ซูซู ข้าเพียงต้องการ ต้องการคุยกับเจ้าก็พอ”
ซูหลีเอ่ยเสียงเย็น “ตงฟางเจ๋อ อย่าคิดว่าข้าเคยช่วยท่าน แล้วท่านจะทำตัวได้คืบจะเอาศอกเช่นนี้ได้นะ!” พูดไปพลาง นางก็ลอบรวบรวมพลังตรงกลางฝ่ามือ แล้วซัดเขาออกไป
ยามนี้นางฝึกวรยุทธ์สำเร็จแล้ว กำลังภายในแข็งแกร่งขึ้นมาก ตงฟางเจ๋อไม่ทันตั้งตัว นึกไม่ถึงว่านางจะลงมือจริงๆ เขาล้มนั่งบนพื้น ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด
ซูหลีตกใจ คิดแต่จะสลัดพันธนาการของเขาออกไปให้พ้น กลับลืมไปว่าเขากำลังบาดเจ็บ! หัวใจนางเต้นรัว อยากจะเข้าไปประคองแต่กลับข่มใจไม่ให้ตนเองขยับ
เขาหยัดกายลุกขึ้นยืน เลื่อนมือออกจากอก เผยให้เห็นอาภรณ์สีเข้มตรงหน้าอก มีรอยสีแดงเป็นจุดๆ
หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน ทนไม่ไหวอีกต่อไป รีบเข้าไปประคองเขาให้นอนลงบนเตียง “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” น้ำเสียงของนางสั่นอย่างปิดบังไม่มิด หัวใจของเขาพลันอบอุ่น เหงื่อเย็นไหลอาบหน้าผาก ใบหน้ายิ่งซีดเผือดกว่าเดิม แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
ซูหลีค่อยๆ เปิดสาบเสื้อออกอย่างระมัดระวัง แผงอกกำยำเรียบลื่นเผยสู่สายตา รอยแผลที่เพิ่งสมานตัวได้ไม่นานฉีกขาดอีกครั้ง เลือดสีแดงซึมออกมา นางรีบหยิบผ้าสะอาดมาเช็ดคราบเลือดอย่างเบามือ จากนั้นก็หยิบยาที่เหน็บไว้ตรงเอวเขามาบดให้ละเอียด แล้วโรยบนแผลบางๆ
หลังจัดการบาดแผลเสร็จ นางพลันรู้สึกว่าแผ่นหลังตนเองมีเหงื่อผุดพราย หันหน้าเล็กน้อย เห็นเพียงดวงตาของตงฟางเจ๋ออ่อนโยนสุดแสน แฝงรอยยิ้มจางๆ ราวกับกำลังจ้องมองเข้ามาในหัวใจนาง
ซูหลีสงบใจ แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “ท่านพักสักครู่แล้วรีบลงจากเขาไปเถิด ต่อไปอย่ามาอีก เรื่องของข้า ไม่รบกวนท่านให้ต้องเป็นห่วง” เอ่ยจบ นางก็หมุนกายหมายจะเดินจากไป แต่กลับถูกเขากุมมือไว้แน่น
ฝ่ามือของเขาเย็นเฉียบ หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน นางไม่หันกลับไป เพียงได้ยินเขากล่าวอย่างหนักแน่น “ในเมื่อข้ามาแล้ว ย่อมไม่มีทางจากไปง่ายๆ ซูซู ในใจข้า ไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าเจ้าแล้ว!”
ซูหลีสะบัดมือเขาออกไป แล้วตะโกนสุดเสียง “ท่านต้องการอะไรกันแน่?”
เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ใบหน้าซีดเผือดไร้ซึ่งสีเลือดฝาด นัยน์ตาเปล่งประกายทว่ากลับดำขลับดั่งน้ำหมึก จ้องหน้านางแน่นิ่ง “ข้าเพียงหวังว่าวาจาที่ข้ากล่าวไป เจ้าจะจดจำมันไว้ขึ้นใจ ถึงแม้จะต้องเป็นศัตรูกับทุกคนในโลก ข้าก็จะทำให้เจ้ากลับมาอยู่ข้างกายข้าให้ได้”
ซูหลีอึ้งงัน ลอบเกลียดแค้นเขาที่ยืนหยัดไม่ยอมปล่อยมือเช่นนี้ แต่นางกลับเอ่ยวาจาโหดร้ายไร้เยื่อใยเหล่านั้นไม่ออก ทำได้เพียงหมุนกายเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วเหมือนกำลังวิ่งหนีบางสิ่ง นางยืนพิงประตู รู้สึกเรี่ยวแรงหดหายไปจากร่างกายจนหมดสิ้น
ยามท้องฟ้าสาง ในห้องก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ซูหลีมองจุดที่เขาเคยนั่ง คล้ายยังเหลือความอบอุ่นของเขาอยู่ หัวใจพลันปั่นป่วน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจสงบใจลงได้
สามวันติดต่อกันหลังจากนั้น ตงฟางเจ๋อไม่ได้มาหานางอีก กระทั่งยามเที่ยงวันของวันที่สี่ หวั่นซินเดินเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน กล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ “คุณหนูเจ้าคะ เกิดเรื่องขึ้นที่โรงเตี๊ยมแล้วเจ้าค่ะ”
……………………….