กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – บทที่ 417 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (8)

บทที่ 417 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (8)

แววเย็นชาพาดผ่านดวงตาซูหลี นางถอนหายใจเบาๆ ย่อกายประคองหรูอวิ๋นขึ้น แล้วกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเพียงอยากรู้รายละเอียด”

นางกุมข้อมือของหรูอวิ๋นอย่างเงียบงัน สายตาหลุบต่ำ เห็นเพียงภายใต้แขนเสื้อนิ่มนวลของหรูอวิ๋นมีเค้าโครงของสร้อยข้อมือเส้นหนึ่งนูนขึ้นมารางๆ นางออกแรงบีบทันที หรูอวิ๋นหลุดร้องด้วยความเจ็บปวด

ซูหลีกล่าวขอโทษ “ข้าไม่ทันระวัง ทำเจ้าเจ็บเสียแล้ว ไม่เป็นไรกระมัง?”

หรูอวิ๋นรีบส่ายหน้า ซูหลีฉวยโอกาสเปิดแขนเสื้อนางขึ้น บนข้อมือบอบบางของนางสวมสร้อยทองเปล่งประกายระยิบระยับไว้เส้นหนึ่ง ตรงตะขอมีด้ายสีเหลืองขนาดเท่าเส้นผมติดอยู่หนึ่งเส้น

สายตาของซูหลีเย็นชาดั่งน้ำแข็งพันปีในพริบตา นางจ้องหน้าหรูอวิ๋นแน่นิ่ง ใบหน้าของนางงามลออ ละเอียดอ่อนกว่านางกำนัลทั่วไป ดูเหมือนเป็นคนว่าง่ายยิ่งนัก เพียงแต่ในความว่าง่ายนี้…กลับดูเหมือนมีความจงใจซ่อนอยู่

ครั้นสัมผัสได้ถึงสายตาของซูหลี ดวงตาของหรูอวิ๋นไหวระริกเล็กน้อย นางอยากสลัดมือซูหลีออก แต่ซูหลีกลับกุมมือนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย นิ้วมือแตะลงกลางข้อมือหรูอวิ๋นเบาๆ คล้ายไม่ได้ตั้งใจ ชีพจรนางเต้นอย่างมั่นคงและทรงพลัง

ซูหลีกำมือนางแน่น แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอย่างแช่มช้า “ข้าขอถามเจ้า เจ้าได้แตะต้องสิ่งของบนเตียงมังกรหรือไม่?”

หรูอวิ๋นเงยหน้าอย่างแตกตื่น ครั้นเห็นสีหน้าซูหลีแฝงแววดุดัน นางก็ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา คล้ายตกใจกลัว “บ่าวเปล่าเจ้าค่ะ…”

“เจ้าโกหก!” ซูหลีตัดบทนาง ถอดสร้อยทองบนข้อมือนางออก แล้วชี้ให้นางดูเส้นด้ายสีทองที่ติดอยู่บนตะขอ ก่อนจะถามเสียงเย็นชา “นี่คืออะไร?”

นัยน์ตาของหรูอวิ๋นหดตัว หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

ซูหลีกล่าวเสียงเย็นชา “หมอนนุ่มบนเตียงมังกรทำขึ้นจากผ้าไหมอวิ๋นจิ่น ผ้าไหมอวิ๋นจิ่นมีสัมผัสนุ่มลื่น แต่มันมีจุดอ่อนอยู่หนึ่งข้อ คือทันทีที่สัมผัสถูกของแหลมคม มันก็จะถูกกรีดขาดได้อย่างง่ายดาย หากเจ้าไม่เคยแตะต้องของบนเตียงมังกร เหตุใดบนสร้อยข้อมือของเจ้าจึงมีเศษผ้าไหมอวิ๋นจิ่นติดอยู่เล่า?”

ใบหน้าของหรูอวิ๋นซีดขาวเหมือนกระดาษ “บ่าว…”

“สวีกงกง หยิบหมอนนุ่มใบนั้นมา” ซูหลีตะโกนสั่งเสียงเข้ม

“ขอรับ” สวีฉางรีบไปหยิบหมอนนุ่มมา

ซูหลีชูหมอนนุ่มขึ้น แล้วชี้ไปยังจุดที่มีรอยขีดข่วน ทุกคนเพ่งมอง แล้วก็ค้นพบว่าเส้นด้ายสีทองเส้นนั้นเหมือนเศษผ้าไหมจากหมอนนุ่มใบนั้นไม่มีผิด!

ฉีมู่เอ่อร์ตวาดถามเสียงเกรี้ยว “หรูอวิ๋น เหตุใดเจ้าต้องโกหก? หรือว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของฝ่าบาท?”

เสียงตวาดอันทรงพลังของท่านอัครเสนาบดีทำให้หรูอวิ๋นเข่าอ่อนล้มนั่งบนพื้น น้ำตาคลอเบ้า ส่ายหน้าสุดชีวิต นางพูดอะไรไม่ออกสักคำ ราวกับใกล้จะคุมสติไม่อยู่แล้ว

แม่ทัพหงพลันหัวเราะเสียงดัง เขาส่ายหน้าแล้วกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ “ท่านอัครเสนาบดีฉี นางเป็นเพียงนางกำนัล ท่าทางขี้กลัวเหมือนหนูขนาดนี้ จะกล้าสังหารคนได้เช่นไร! ถึงแม้ให้นางหยิบยืมความกล้าไปอีกร้อยส่วน นางก็ไม่มีวันกล้าปลงพระชนม์ฝ่าบาทแน่นอน!”

ขุนพลผู้หนึ่งเองก็กล่าวเสริมว่า “ถึงแม้หรูอวิ๋นจะเคยแตะต้องหมอนนุ่มแล้วอย่างไรเล่า นางอาจเกี่ยวโดนโดยไม่ได้ตั้งใจ วิชาสกัดจุดลมปราณทวนวัฏจักรต่างหากที่เป็นหลักฐานสำคัญ!”

หรูอวิ๋นเช็ดคราบน้ำตา คล้ายเพิ่งตั้งสติได้บ้างแล้ว นางกล่าวเสียงสั่นเครือ “บ่าว บ่าวนึกออกแล้วเจ้าค่ะ…บ่าวจับหมอนนุ่มจริงๆ เจ้าค่ะ บ่าวเพียงต้องการจับมันรองพระขนองของฝ่าบาท เพื่อให้ฝ่าบาทลุกขึ้นมาเสวยยาได้ง่ายขึ้น…”

“ยังสำบัดสำนวนอีกหรือ!” ซูหลีไม่สนใจว่าคนรอบข้างพูดอะไรบ้าง นางจ้องหน้าหรูอวิ๋นแน่นิ่ง ไม่ยอมละสายตา แล้วจู่ๆ นางก็คลี่ยิ้ม กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าโกหกเจ้า ผ้าไหมอวิ๋นจิ่นมีสัมผัสเรียบลื่น หากสัมผัสเบาๆ มิอาจทำให้ผ้าไหมขาดลุ่ยได้ การที่มีเศษผ้าไหมอยู่บนสร้อยข้อมือเจ้าได้ มีเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้น! นั่นก็คือเจ้าใช้หมอนนุ่มปิดใบหน้าฮ่องเต้ แล้วเจ้าก็ใช้แรงกดลงไป สร้อยข้อมือของเจ้าจึงได้เกี่ยวเอาเศษผ้าไหมติดมาด้วย”

หรูอวิ๋นส่ายหน้าทันที นางกล่าวด้วยความหวาดกลัว “เปล่านะเจ้าคะ บ่าวไม่ได้ทำ”

ซูหลียัดหมอนนุ่มใส่มือหรูอวิ๋น ยิ้มเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ไม่เชื่อหรือ? เจ้าจะลองดูก็ได้!” น้ำเสียงนางหนักแน่นถึงเพียงนี้ ราวกับมั่นอกมั่นใจเต็มที่

ครั้นเห็นนางไม่พูดอะไร ซูหลีก็ถามนางอย่างบีบคั้นอีกครั้ง “เจ้ากลัว หรือไม่กล้ากันแน่?”

หัวใจของหรูอวิ๋นแทบกระเด็นออกจากอก นางเหมือนไม่กล้าเงยหน้า สายตาไหวระริก เอาแต่หอบหายใจสุดชีวิต

สายตาของซูหลีพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก นางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเหมือนสายฟ้า เอื้อมมือไปที่หน้าผากของหรูอวิ๋นทันที

หรูอวิ๋นตกตะลึง รีบหลบโดยสัญชาตญาณ ครั้นนางหลบพ้น ก็ตระหนักได้ว่าตนเองตกหลุมพรางของซูหลีเสียแล้ว นางรีบหันกลับมาจ้องหน้าซูหลีอย่างเคียดแค้น

ซูหลีแสยะยิ้มเย็นชา “เจ้ามีวรยุทธ์จริงๆ ด้วย!”

เหล่าขุนนางแตกฮือ ในวังหลวงมีกฎ นางกำนัลและขันทีไม่ได้รับอนุญาตให้ฝึกวรยุทธ์ ผู้ใดฝึกวรยุทธ์ห้ามเข้าวัง การหลบเลี่ยงของหรูอวิ๋นเมื่อครู่ ดูจากความเร็วในการเคลื่อนไหว เห็นได้ชัดว่าวรยุทธ์ของนางอยู่ในขั้นไม่ธรรมดา

เมื่อถูกเปิดโปง หรูอวิ๋นไม่ปิดบังตัวตนอีก ดวงตาสะท้อนกลิ่นอายเหี้ยมโหดต่างจากท่าทางอ่อนแอเมื่อครู่ ราวกับเป็นคนละคน

“เวลาครึ่งเค่อ นานพอที่คนมีวรยุทธ์จะสังหารฮ่องเต้ที่กำลังประชวรหนักได้ หลังจากนั้นนางก็แสร้งแสดงละครโจรร้องจับโจร ป้ายความผิดให้ผู้อื่น วิชาสกัดจุดทวนวัฏจักร ก็อาจไม่ได้มีเพียงเซียวอ๋องและองค์ชายสี่เท่านั้นที่ใช้เป็น” ซูหลีเงยหน้าช้าๆ มองหน้าหยางเจิ้น เสด็จน้าของนางอย่างใจเย็น

หยางเจิ้นเองก็จ้องนางด้วยสายตามืดมน สายตาของทั้งสองไม่เหลือความอบอุ่นดังเช่นในอดีต เหลือก็แต่เพียงความเย็นชาเท่านั้น

คนผู้หนึ่งตั้งคำถามด้วยความสงสัย “แต่อย่างไรก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าคนร้ายคือหรูอวิ๋น”

ซูหลีหมุนกายไปทางต้นเสียง กล่าวเสียงเคร่งขรึม “ข้าเพียงต้องการพิสูจน์ว่าคนร้ายไม่ใช่องค์ชายสี่เท่านั้น! ฝ่าบาทประชวรหนัก และทรงทิ้งพระราชโองการสละราชบัลลังก์ไว้แล้ว องค์ชายสี่บริหารราชการแผ่นดิน มีอำนาจอยู่ในมือแล้ว มีเหตุผลใดต้องปลงพระชนม์ฝ่าบาทอีก?”

“แม่นางอาหลีกล่าวมีเหตุผล” จ้าวหลู่ก้าวออกมา แล้วกล่าวเสริมว่า “องค์ชายสี่ไม่ใช่คนร้ายแน่นอน! และนางกำนัลหญิงหรูอวิ๋นผู้นี้ก็แต่งเรื่องโกหก เผยพิรุธมากมาย นางมีวรยุทธ์ได้เช่นไร? ตัวตนของนางไม่ชัดเจน ไม่แน่ว่า…อาจเป็นสายลับของผู้ประสงค์ร้ายคนใดคนหนึ่ง ที่ถูกส่งตัวมาแฝงกายอยู่ข้างกายฝ่าบาท!”

เขาชำเลืองมองหยางเจิ้น ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนเข้าใจความหมายในวาจาของเขา

ซูหลีตวาดเสียงเกรี้ยว “หรูอวิ๋น ผู้ใดบงการเจ้าให้ลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท แล้วป้ายสีองค์ชายสี่? ยังไม่รีบสารภาพมาอีกหรือ!”

หรูอวิ๋นไม่แม้แต่จะเงยหน้า ใบหน้าของนางเย็นชา ทำราวกับไม่ได้ยิน

จ้าวหลู่กล่าวด้วยความเดือดดาล “ทหาร เตรียมการทรมาน ดูซินางจะพูดหรือไม่!”

ใบหน้าของหรูอวิ๋นซีดเผือด ลมหายใจกระชั้นถี่ นิ้วมือสั่นเทา ทว่ากลับยังคงไม่ยอมพูดอะไรสักคำ

ไม่นานเครื่องทรมานก็ถูกนำมาวางไว้นอกตำหนัก เครื่องมือทรมานสารพัดรูปแบบถูกวางอยู่ตรงหน้า เพียงมองแวบเดียว ก็ทำให้อกสั่นขวัญหายแล้ว

หรูอวิ๋นเงยหน้ามองหยางเจิ้น ทำท่าคล้ายจะเอ่ยปากแต่ก็หยุด แล้วจู่ๆ นางก็เบิกตากว้าง กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกสั่น บิดเบี้ยวผิดรูป ไม่นาน เลือดก็ไหลออกจากมุมปากของนาง ก่อนจะล้มลง และสิ้นใจไปทันที!

จ้าวหลู่ที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งหมายจะเข้าไปขัดขวาง แต่กลับไม่ทันเสียแล้ว ครั้นตรวจสอบดู เขาก็ตะโกนอย่างเจ็บใจ “น่ารังเกียจยิ่งนัก นางกัดลิ้นตนเองตายไปแล้ว!”

แม่ทัพหงกล่าวอย่างยินดีในความเคราะห์ร้ายของผู้อื่น “คราวนี้จะทำอย่างไรเล่า พยานถูกบีบบังคับให้ฆ่าตัวตาย เกรงว่าคงจะไม่มีวันรู้ความจริงแล้วกระมัง”

“นั่นก็ไม่แน่เสมอไป!” เสียงกังวานใสดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มคน บุรุษหนุ่มรูปงาม สวมอาภรณ์สีฟ้าอ่อน ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า เป็นหลินเทียนเจิ้งนั่นเอง

“ใต้เท้ามิทราบหรือ บางครั้งคนตายพูดเก่งยิ่งกว่าคนเป็นเสียอีก” หลินเทียนเจิ้งยิ้ม เขาเดินไปย่อกายลงข้างหรูอวิ๋น แล้วตรวจสอบช่องปากของนางอย่างละเอียด ผ่านไปครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “เคยมีเรื่องเล่าในยุทธภพ คนเลวทรามต่ำช้ากลุ่มหนึ่ง เพื่อป้องกันความลับไม่ให้รั่วไหล จะนำเข็มลนยาพิษวิเศษชนิดหนึ่งฝังไว้ในต้นคอของอีกฝ่าย ผู้ที่ถูกฝังเข็มพิษ จะสูญเสียการควบคุมและกัดลิ้นตนเอง ทำให้ดูเหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย ทุกท่านกรุณาดูนี่!”

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท